บทที่ 126 สำนักวารีอำพัน

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 126

สำนักวารีอำพัน

ระหว่างที่เย่เย่เดินทางมายังจิ้นเฉิง ได้มีการจัดประชุมขึ้นอย่างลับๆโดยกลุ่มภาคีจิ้นเฉิงปลดแอกที่ตำหนักแสงจันทร์

“ท่านทั้งหลาย บัดนี้เมืองจิ้นเฉิงกำลังตกอยู่ภายใต้การปกครองของหอการค้าหยูเย่ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พวกเราต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องเมืองที่เรารัก”

กู๋หยูหลง ประมุขแห่งพรรคแสงจันทร์กล่าวขึ้นท่ามกลางฝูงชนจากหลายขั้วอำนาจที่ตอบรับคำเชื้อเชิญของเขา ชายแซ่กู๋ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามหัวหน้าพรรคที่แข็งแกร่งที่สุดอันดับที่ 3 แห่งเมืองจิ้นเฉิง ซึ่งเป็นรองแค่เพียงตระกูลมู่หรง และสำนักวารีอำพันเท่านั้น ด้วยอิทธิพลและความน่าเชื่อถือของเขาทำให้ได้รับการไว้วางใจจากชาวจิ้นเฉิงอย่างล้นหลาม

สาเหตุหนึ่งที่ผู้คนจำนวนมากยอมเข้าร่วมกับภาคีปลดแอกนี้ นอกจากที่พวกเขาให้การเคารพแก่ตระกูลมู่หรงแล้ว พวกเขาไม่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของคนนอกอย่างเย่เย่ด้วยเช่นกัน เมื่อสิ้นตระกูลมู่หรงจึงยากที่ทำให้พวกเขาทำใจยอมรับได้โดยง่าย

“พวกหอการค้าหยูเย่จะแน่สักแค่ไหนกันเชียว? ทำไมพวกเราไม่บุกเข้าโจมตีมันรวดเดียวไปเลยล่ะ?” ทันทีที่กู๋หยูหลงพูดจบ หยวนเซียงเจี่ยจ้าวสำนักพยัคฆ์คำรามพูดแทรกขึ้นอย่างเถรตรง ทั่วทั้งโถงประชุมพลันเงียบลงในทันที ไม่มีใครแสดงท่าทีเห็นด้วยกับข้อเสนอของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ท่านหยวน ท่านกล่าวผิดไปเสียแล้ว ความแข็งแกร่งของหอการค้าหยูเย่เป็นของจริง โดยเฉพาะประธานของพวกเขาเย่เย่ที่เอาชนะท่านมู่หรงได้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรทำอะไรผลีผลามอย่างที่ท่านว่ามา” จางซวนจี๋ จ้าวสำนักไพรสัณฑ์ทมิฬ ผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับหยวนเซียงเจี่ย ก็ถอนหายใจให้กับความเบาปัญญาของชายอารมณ์ร้อน ก่อนจะพูดชี้แจงขึ้นพลางใช้นิ้วม้วนผมดำยาวของตน โดยมีสายตาของชายผู้โดนหักหน้าจ้องเขม็งมาที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยว

ผู้คนในโถงประชุมต่างพาหันกันไปพูดคุย ถกเถียงกันภายในกองกำลังของตน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดที่รอบคอบของจางซวนจี๋ ทันใดนั้นกู๋หยวนหลงก็กล่าวเสริมขึ้น

“ที่ท่านจางพูดมาก็ไม่ผิดไปนัก แต่จะให้พวกเราอยู่เฉยๆรอดูสถานการณ์ต่อไปอย่างเดียวก็คงไม่ใช่เรื่อง จากข้อมูลที่สายของข้ารายงานมาหอการค้าหยูเย่ในจิ้นเฉิงมีเพียงซูฉีเจี่ยและพรรคพวกที่แข็งแกร่งไม่กี่คนเท่านั้น หากพวกเราวางแผนอย่างรอบคอบ และโจมตีโดยไม่ให้พวกเขาตั้งตัวก็คงเอาชนะได้ไม่ยาก” คำพูดของผู้นำภาคีได้จุดประกายความหวังแก่พวกเขาได้อีกครั้ง สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่กู๋หยูหลงอย่างสนอกสนใจ

“หากพวกเราได้ความร่วมมือจากหูจือเป่าจ้าวสำนักวารีอำพันด้วยแล้วละก็ จะทำให้แผนการทั้งหมดยิ่งง่ายดายขึ้นไปอีก แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าข้าส่งคนไปชักชวนเขาเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ภาคีของพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งเขาอีกต่อไป ข้ามั่นใจว่าด้วยกำลังความสามารถของพวกเราจะสามารถนำความสงบสุขกลับมาสู่จิ้นเฉิงได้อีกครั้ง” แม้ว่าพวกเขาจะเสียดายที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหูจือเป่าและสำนักวารีอำพัน แต่พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะดำเนินการตามปณิธานเดิมที่ภาคีตั้งเอาไว้ หลังจากปรึกษาหารือจนได้ความเห็นที่ตรงกันแล้วพวกเขาจึงเริ่มกางแผนที่และวางแผนในทันที ขณะเดียวกันนั้นเองเย่เย่ได้เดินทางมาถึงจิ้นเฉิงอย่างลับๆโดยที่ไม่มีผู้ใดในภาคีล่วงรู้แม้แต่คนเดียว

ทางด้านหอการค้าหยูเย่สาขาสอง เมื่อเย่เย่ทราบสถานการณ์โดยรวมจากรายงานของซูฉีเจี่ยและจางเสี่ยวยู่แล้ว เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปยังสำนักวารีอำพันเพื่อพบกับหูจือเป่าในทันที

สาเหตุที่สำนักนี้ได้รับขนานนามว่า ‘สำนักวารีอำพัน’ เพียงเพราะสำนักของพวกเขาตั้งปลีกวิเวกจากตัวเมืองโดยมีทะเลสาบที่กว้างใหญ่กั้นอยู่ ราวกับเป็นเอกเทศจากเขตปกครองของจิ้นเฉิงก็ไม่ปาน

เมื่อเย่เย่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลสาบมาถึง เขาก็พบกับชายรูปร่างหน้าตาสง่างาม ผมเผ้ายาวถึงกลางหลัง เงาบนเส้นผมสะท้อนแสงกับทะเลสาบเบื้องหน้าเป็นประกายระยิบระยับ นั่งเป่าขลุ่ยไม้ไผ่อยู่บนโขดหินขนาดใหญ่อยู่ริมฝั่ง

ทันทีที่หูจือเป่าเห็นแขกมาเยือนถึงที่เขาก็รีบเก็บขลุ่ยของเขา และลุกขึ้นจากโขดหิน ก่อนกล่าวต้อนรับเย่เย่อย่างสุภาพ

“ท่านประธานเย่แห่งหอการค้าหยูเย่สินะ ข้าได้ยินเรื่องราวของท่านมาเยอะทีเดียว”

“ท่านหู ข้าว่าท่านน่าจะทราบดีว่าข้ามาหาท่านเพื่อเหตุอันใด” เย่เย่ไม่พูดอ้อมค้อมเขารีบเข้าประเด็นในทันที

“หากว่าท่านจะมาเพื่อเชื้อเชิญข้า ข้าเกรงว่าท่านจะต้องกลับไปมือเปล่าเสียแล้ว” หูจือเป่าปฏิเสธเสียงแข็งอย่างไม่ลังเล

“เช่นนั้นข้าเกรงว่าท่านหูจะไม่ได้มีทางเลือกมากนัก นอกไปเสียจากเข้าร่วมกับฝั่งใดฝั่งหนึ่ง”

“ไม่ว่าจะเป็นหอการค้าหยูเย่ หรือภาคีปลดแอกข้าก็ไม่สนทั้งนั้น ฉะนั้นขอเชิญท่านกลับไปเสียเถอะ!” แม้ว่าคำพูดโต้ตอบของทั้งสองจะดูสุภาพนอบน้อม แต่จากบริบทและน้ำเสียงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

“ข้าพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านเจ็บตัว แต่ในเมื่อท่านยืนกรานเช่นนั้น ข้าก็หมดทางเลือก” เป็นครั้งแรกที่เย่เย่เริ่มเข้าใจแล้วว่านิสัยดื้อด้านของตนในสายตาคนอื่นมันน่าหงุดหงิดแค่ไหน เมื่อเขาถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าเขาจึงงัดไม้แข็งออกมาใช้งาน

ครืนนนนนนนนนนนนนนนน

เพียงแค่เย่เย่รวบรวมลมปราณ ผืนน้ำที่กว้างใหญ่ก็สั่นสะเทือนจนทำให้เกิดคลื่นขนาดย่อมๆ ท้องฟ้าที่โปร่งใสกลับขมุกขมัวด้วยเมฆฝนฟ้าคะนอง เขาใช้กระบวนท่าสลาตันฟ้าคำรามสาวหมัดพุ่งเข้าโจมตีหูจือเป่าด้วยความเร็วปานสายฟ้า

“ฝ่ามือวสันต์ไพรี!”

หูจือเป่าไม่รอช้าสวนกลับด้วยวิชายุทธ์ของเขาในทันที ฝ่ามือของเขาปล่อยแสงสีเขียวอ่อนราวกับฤดูใบไม้ผลิออกมา ไออุ่นราวกับแสงแดดอ่อนๆโพยพุ่งออกมาสะกดจิตให้ศัตรูเคลิ้มหลับ

ความเร็วของเย่เย่ตกลงระหว่างทางด้วยความอ่อนแรง ลำตัวของเขาเริ่มตั้งไม่ตรง ทว่าทันทีที่เขารู้ดังนั้นจึงใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างประกบเข้าที่หน้าตัวเองอย่างรุนแรง

เพี๊ยะ

ทันทีที่เย่เย่ได้สติ เขาก็โจมตีสวนกลับด้วยพลังแห่งสายฟ้าและพายุ

ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

ความรุนแรงของการปะทะกันระหว่างสองเทพอสูรผู้แข็งแกร่ง ทำให้ผิวน้ำของทะเลสาบปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟระเบิด

เมื่อรุกไล่ได้สองกระบวนท่า เย่เย่ก็เริ่มรู้ตัวว่าฝ่ามือวสันต์ไพรีไม่เพียงทำให้เขาหมดสติ แต่ยังทำให้การโจมตีของเขาอ่อนแรงลงอย่างมากอีกด้วย เขาจึงรีบถอยกลับไปตั้งหลักและกำหนดลมปราณให้เสถียรขึ้นอีกครั้ง

หูจือเป่าที่เห็นศัตรูเสียหลักเขาจึงเงื้อหมัดพุ่งเข้าโจมตีอย่างไม่รอช้า เย่เย่แม้ว่าลมปราณจะยังไม่คงที่แต่เขาก็สวนกลับด้วยฝ่ามือประทับลงไปที่กลางอกของชายรูปงาม ทั้งสองกระเด็นออกจากกัน ขาลากกับพื้นถอยร่นออกไปจนเกิดรอยยาว

แต่ทว่ามีเพียงหูจือเป่าเท่านั้นที่ล้มลง เนื่องจากเขารับกระบวนท่าสลาตันฟ้าคำรามของเย่เย่เข้าไปหลายหน ร่างกายของเขาเริ่มด้านชา ไร้กำลังและหมดแรงที่จะลุกจะเดินไป

“ยอมแพ้ซะ” เย่เย่ยืนมองชายหนุ่มที่นอนกองอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าของผู้มีชัย เขาคิดว่าหูจือเป่านั้นไม่มีทางเลือกนอกเสียจากยอมจำนนต่อเขา

“จะฆ่าข้าก็ลงมือเลยสิ” จ้าวสำนักวารีอำพันนั้นเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ต่างอะไรกับตัวเย่เย่เอง เขาจึงเลือกที่จะไปเข้าเฝ้ายมบาลดีกว่ายอมขึ้นตรงต่อคนใดคนหนึ่ง

เย่เย่ได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจมาก เขาไม่เข้าใจสาเหตุที่ทำให้หูจือเป่าผู้มีอนาคตไกลเลือกความตายมากกว่าความก้าวหน้า

ชายผู้พ่ายแพ้ที่นอนจมกองเลือดก็เริ่มเห็นภาพหลอนปรากฏขึ้น เขาเห็นภาพของมู่หรงตู่เฟิงซ้อนกับชายผู้มีชัยเหนือเขาลางๆ ก่อนที่เรื่องราวในวัยเด็กของเขาจะรายเรียงขึ้นเป็นฉากๆในหัว เขาหรี่ตาลงและเริ่มเล่าอดีตของเขาให้เย่เย่ฟัง…