องค์หญิงใหญ่ตกตะลึงและจ้องมองแม่ทัพฉีที่กำลังเดินออกไปด้วยสายตาเหม่อลอย อวิ๋นหลัวไชรีบเข้ามาอธิบายเกลี้ยกล่อม “องค์หญิงใหญ่อย่าโกรธเลยนะเพคะ”
“ข้าไม่โมโห พวกเขาคิดว่าเดินออกไปแล้วเรื่องก็จบเช่นนั้นหรือ เรื่องการแต่งงานในครั้งนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็อยากจะรู้เช่นกันว่าใครจะปฏิเสธการแต่งงานนี้ได้?”
อวิ๋นหลัวไชทำสีหน้าตกตะลึง และมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจ “นับว่าข้าดูออกแล้ว เสด็จอาใหญ่มีลูกสะใภ้แล้ว และมองข้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เสด็จอาใหญ่เพคะ ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันพูดไปเอง ท่านดูรูปร่างหน้าตาของจั่วจงเจิ้งที่หล่อเหลาสง่างามเช่นนั้น และเมื่อมองฮูหยินจั่วจงเจิ้งที่งดงามหาใครเปรียบได้ จั่วจงเจิ้งนับว่าหาได้ยากมากในเมืองหลวง ฮูหยินจั่วจงเจิ้งก็มีภูมิหลังครอบครัวที่ดี นับได้ว่าเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงอย่างมาก
ก็เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเสด็จอาใหญ่ต้องทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้
ก่อนหน้านี้ที่ได้รักษาอาการป่วยหม่อมฉันก็ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ก็แค่เรื่องการแต่งงาน
เด็กๆ ต่างก็สุขสบายดี แต่ก็ไม่รู้ว่าอารมณ์เป็นอย่างไร
ก่อนที่หม่อมฉันจะแต่งงานกับท่านอ๋อง ชอบอย่างไรที่ท่านอ๋องเกือบจะฆ่าหม่อมฉัน หม่อมฉันนับว่าเป็นแมวเก้าชีวิตถึงมีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ แต่ตอนนี้เมื่อมองดู เสด็จอาใหญ่ต้องการให้ลูกสาวของจั่วจงเจิ้งต้องเดินเส้นทางเดียวกับหม่อมฉัน
สำหรับหม่อมฉันแล้วไม่เป็นไร เสด็จอาใหญ่ลองดูดูนะเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น จากนั้นจึงนำอาอวี่เดินออกมา
เมื่อพวกเขาออกไปแล้ว อวิ๋นหลัวไชก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมา “องค์หญิงใหญ่เพคะ เรื่องนี้ยังไม่รีบร้อนนะเพคะ หม่อมฉันยังไม่ให้กำเนิดเลย”
“จะไม่รีบร้อนได้อย่างไร คนที่รีบร้อนมีออกเยอะแยะไป โอกาสที่ดีเช่นนี้แต่กลับปล่อยเขาไปอย่างนั้นหรือ?” องค์หญิงใหญ่คิดหาวิธี ถึงอย่างไรก็ต้องการสักคนถึงจะได้
อวิ๋นหลัวไชทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงไปหาเว่ยหลินชวน
แต่วันนี้เว่ยหลินชวนยุ่งมาก ยังไม่ทันที่จะไปก็กลับเกิดเรื่องขึ้น
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นมาถึงจวนท่านแม่ทัพ ก็ได้ยินว่าเว่ยหลิยชวนและอวิ๋นหลัวไชมาที่นี่
แม่ทัพฉีปกป้องเด็กเอาไว้ เหมือนแม่ไก่ที่ปกป้องลูกไก่น้อยของมัน ใครก็ห้ามเข้าพบ
เมื่อได้ยินว่าเว่ยหลินชวนสองสามีภรรยามาก็ตะโกนด่าออกมา “ให้พวกเขาไสหัวออกไป!”
หนานกงเย่ยกชาขึ้นมาดื่มและไม่สนใจเรื่องนี้ ฉีเฟยอวิ๋นดูออกว่าที่เว่ยหลินชวนมานั้นเพราะองค์หญิงใหญ่ต้องการแต่งลูกเขยเข้าบ้าน และได้กลายเป็นศัตรูที่เตรียมพร้อมจะลงมือแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้เพียงไปพบเว่ยหลินชวนและอวิ๋นหลัวไช
“เชิญนั่งสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและสั่งให้คนนำน้ำชาเข้ามา
อวิ๋นหลัวไชเริ่มพูดก่อน “ข้าและเว่ยหลินชวนมาเพื่อขอโทษ ความต้องการขององค์หญิงใหญ่ในวันนี้นั้นทำให้ท่านแม่ทัพฉีและท่านอ๋องเย่ไม่มีความสุขนัก พวกเราจึงมาจวนท่านแม่ทัพเพื่อขอโทษโดยเฉพาะ และหวังว่าพระชายาเย่และท่านอ๋องเย่จะไม่คิดอะไรมาก”
“เรื่องนี้ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยหรอก พวกเขาโกรธก็เพียงแค่เวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่นานก็ผ่านไป แต่พวกเจ้ากลับมาขอโทษเพราะเรื่องนี้คงเพราะว่าไม่สบายใจสินะ”
“ที่ไหนกัน การแต่งลูกเขยเข้าบ้านนั้นถึงจะไม่เหมาะสม แต่เรื่องนี้ข้าและเว่ยหลินชวนมีหนทางอื่น”
อวิ๋นหลัวไชเหลือบมองเว่ยหลินชวนที่ไม่พูดอะไร และนางก็กล่าวว่า “ไม่ทราบว่าพวกเราสามารถขอร้องเด็กๆ ได้หรือไม่ หากข้าให้กำเนิดเด็กผู้หญิงออกมา อนาคตข้างหน้าก็จะแต่งงานกับองค์รัชทายาทองค์น้อยได้หรือไม่เพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ “ทำไมหรือ?”
“อย่างนี้เพคะ ผู้หญิงในเมืองต้าเหลียงนี้ต้องเชื่อฟังคำพูดของพ่อแม่เมื่อต้องแต่งงานออกเรือน แต่ก็ยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งนั่นก็คือ จักรพรรดิพระราชทานการแต่งงานให้
ข้าและเว่ยหลินชวนรู้ว่าพวกเรามีองค์หญิงใหญ่อยู่ และจักรพรรดิคงไม่สร้างความลำบากใจให้ แต่หากวันไหนองค์หญิงใหญ่ไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นก็คงพูดยาก”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่อวิ๋นหลัวไชและจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าอวิ๋นหลัวไชเป็นคนที่ฉลาดมาก
เมื่อได้ทำการหมั้นหมายแล้วก็จะไม่มีการแต่งตั้งงานแต่งงานให้อีก และจักรพรรดิก็ไม่สามารถใช้อำนาจมาแยกการหมั้นหมายของคนอื่นได้ นอกเสียจากว่าทั้งสองครอบครัวจะยกเลิกการหมั้นหมายเสียเอง
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เว่ยหลินชวน “เรื่องนี้พวกเจ้าสองสามีภรรยาได้พูดคุยหารือกันแล้ว หรือว่า……”
“พูดอย่างไม่ปิดบัง ข้าคิดขึ้นมาได้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มชอบไชเอ๋อร์ ตั้งแต่นั้นข้าก็คิดถึงเรื่องนี้เรื่อยมา ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นราชวงศ์ แต่ข้าก็ไม่ใช่เป็นคนที่คิดประจบและคิดถึงอำนาจ ฉะนั้นจึงคิดอยากจะทำการหมั้นหมายไว้กับจวนท่านอ๋องเย่ ข้าเห็นว่าท่านอ๋องเย่และพระชายาเย่นั้นเป็นคนดี และเด็กๆ ก็ต้องเป็นคนดีเช่นกัน
หากเด็กๆ โตไปแล้วไม่พอใจกับการหมั้นหมายในครั้งนี้ พวกเราก็สามารถพูดคุยเพื่อยกเลิกลงได้ แต่หากพวกเขาชอบอีกฝ่าย เช่นนั้นพวกเราก็สามารถเป็นครอบครัวเดียวกันได้
แต่อย่างน้อยพวกเขานั้นสามารถเติบโตได้อย่างปลอดภัย
ข้ามีเพียงแค่เรื่องเดียวที่ต้องการอธิบาย หากเด็กทั้งสองคนรักชอบกันในอนาคตข้างหน้า และสามารถเดินร่วมทางกันได้ ข้าหวังว่าองค์รัชทายาทจะไม่แต่งตั้งพระสนม และห้ามมีการหลับนอนกับผู้หญิงคนอื่นแม้แต่คนเดียว”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเห็นด้วย แต่ท่านพ่อบ้านอันยังอยู่ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ทำเกินไปและไม่กล้าเข้ามา เมื่อยืนฟังอยู่หน้าประตูจบก็หันหลังเดินออกไป และรีบเดินไปเรือนด้านหลังเพื่อไปหาท่านแม่ทัพฉี
พ่อบ้านอันเห็นว่านี่เป็นการรังแกคนอื่น
เมื่อท่านแม่ทัพฉีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโมโห และก้าวเท้าออกไปเพื่อต้องการไปหาข้างหน้า แต่เมื่อออกจากประตูมาได้ไม่นาน แม่ทัพฉีก็กลับเข้าไปใหม่
“เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรหรือ?” แม่ทัพฉีถามหนานกงเย่ และคิดว่าเรื่องนี้ไม่สมควร
หนานกเย่วางถ้วยชาลง “ผู้ชายคนเดียวแต่งงานกับผู้หญิงเพียงแค่หนึ่งคนก็พอแล้ว เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ภายในครอบครัว และไม่ต้องจัดเตรียมห้องไว้มากมายเช่นนั้น ลูกเขยคิดว่าเรื่องนี้ดีมาก!
รอให้ผ่านช่วงนี้ไป งานวันครบรอบหนึ่งร้อยวันของเด็กๆ ลูกเขยจะประกาศออกไปว่า ลูกของข้าหนานกงเย่ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ในอนาคตจะมีเพียงสามีเดียวและภรรยาเดียวเท่านั้น ส่วนลูกชายนั้นไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่งงานกับลูกสะใภ้แค่คนเดียวก็พอแล้ว ส่วนลูกสาวนั้น หากครอบครัวของฝ่ายชายไม่ยอมให้มีเพียงแค่ภรรยาคนเดียว เช่นนั้นก็ไม่ต้องแต่งงาน”
หลังจากที่หนานกงเย่พูดจบ แม่ทัพฉีก็รู้สึกแปลกใจ “พูดจบแล้วรู้สึกเสียใจหรือไม่?”
“ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าการตั้งครรภ์ของอวิ๋นอวิ๋นในครั้งนี้ได้สูญเสียพลังของนางไปมาก หากยังต้องตั้งครรภ์อีกลูกเขยเกรงว่าจะไม่ไหว ลูกเขยคิดว่าหากหนึ่งในห้าคนนี้มีลูกสาวสักคนก็คงจะดีไม่น้อย เช่นนี้ลูกเขยก็ไม่ต้องอิจฉาพ่อตาที่มีลูกสาวแล้ว”
แม่ทัพฉีกล่าว “เจ้าพึงพอใจเสียเถอะ เรื่องลูกสาวค่อยพูดกันวันหลัง เรื่องนี้ต้องดูบุญวาสนา”
แม่ทัพฉีไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ ลูกสาวให้กำเนิดลูกออกมาแต่หมดสติไปนานหลายวัน แม่ทัพฉีรู้สึกกลัว เขาไม่ต้องการพูดเรื่องนี้อีก จากนั้นจึงเดินไปหาเด็กๆ
หนานกงเย่ลุกขึ้น “ท่านพ่อตา ลูกเขยไปด้วยขอรับ”
“ไปกันเถอะ”
เมื่อหนานกงเย่เดินมาถึงห้องโถงด้านหน้าก็ได้ยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะเรียกให้อาอวี่ไปตามเขามา เขาก็มาพอดี
เมื่อเข้าประตูมาหนานกงเย่ก็นั่งลงและมองไปที่เว่ยหลินชวน จากนั้นก็ได้ฟังเว่ยหลินชวนพูดเรื่องของเด็กๆ อีกครั้งหนึ่ง หนานกงเย่ไม่ได้ถามฉีเฟยอวิ๋นจากนั้นจึงตอบตกลงไป
“ในเมื่อพวกเจ้าได้มาพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายถึงที่แล้ว และก็ไม่ได้เป็นความต้องการที่ยากลำบากอะไร ข้าตกลงเรื่องการหมั้นหมายในครั้งนี้
ส่วนเรื่องที่เจ้าพูดออกมานั้น ในอนาคตหากทั้งสองได้เป็นสามีภรรยากันจริง ก็ห้ามแต่งตั้งสนม และห้ามหลับนอนกับผู้หญิงคนอื่นนั้นข้าก็ตกลง”
“จริงหรือ?” เว่ยหลินชวนทำสีหน้าจริงจัง อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องการแต่งงานเรื่องใหญ่ของลูกสาว เขาจึงต้องจริงจัง
“ข้าพูดคำไหนคำนั้นเสมอ”
ได้รับการรับรองก็เหมือนกับได้รับของขวัญล้ำค่า ถึงแม้ว่าเว่ยหลินชวนจะรู้สึกหวาดกลัวหนานกงเย่อยู่บ้าง แต่ก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปตรงหน้าของหนานกงเย่
“ท่านอ๋องเย่ ท่านสามารถเขียนคำพูดของท่านเป็นหลักฐานได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ เขียนเป็นหลักฐาน?
หลักฐานการหมั้นหมายของลูก?
หนานกงเย่ลุกขึ้นและยกฝ่ามือขึ้นมา “ประสานมือเพื่อเป็นพันธมิตร”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยหลินชวนกลัวว่าหนานกงเย่จะเสียใจภายหลัง เขารีบประสานมือเข้าไปโดยไม่รอให้หนานกงเย่ขยับ หลังจากนั้นก็ได้ยินเว่ยหลินชวนพูดตามมาว่า “วันนี้ข้าและท่านได้พูดคุยตกลงเรื่องการหมั้นหมายไว้แล้ว หากข้ามีลูกสาวก็จะเป็นลูกสะใภ้ของครอบครัวท่าน หากข้ามีลูกชาย เช่นนั้นก็จะเป็นพี่น้องกับครอบครัวของท่าน
หากข้ามีลูกสาวและแต่งงานเป็นสามีภรรยากับลูกชายของท่าน ในอนาคตข้างหน้าลูกชายของท่านห้ามแต่งตั้งพระสนม และห้ามหลับนอนกับผู้หญิงอื่น หากผิดคำสัญญาขอให้มีอันเป็นไป”
หนานกงเย่เพียงรู้สึกว่าได้ประสานมือออกไป
เขาก็ไม่เกรงกลัว “หากผิดคำสัญญา ขอให้มีอันเป็นไป”
เว่ยหลินชวนปล่อยมือลง และหยิบจี้หยกชิ้นหนึ่งออกจากร่างกาย “สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักระหว่างข้าและไชเอ๋อร์ รับไว้เถอะ”
หนานกงเย่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดดูแล้วจากนั้นจึงหยิบจี้หยกรูปมังกรห้าชิ้นที่จักรพรรดิออกมา!