ตอนที่ 207 โต๊ะประชุม / ตอนที่ 208 มิตรภาพระหว่างเพื่อน

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 207 โต๊ะประชุม 

 

 

เหยียนเค่อปกติแล้วคุยง่าย แต่เมื่อนั่งโต๊ะประชุมแล้วก็มีเพียงปัญหาที่ว่า เขาอยากหรือไม่อยากเท่านั้น 

 

 

ในตอนที่ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสนิทก็ทำให้คนรู้สึกว่าหนุ่มชาวจีนคนนี้ช่างเย็นชาและเฉียบแหลมจนไม่กล้าสบตา 

 

 

เขามีผู้ช่วยผู้จัดการมาด้วยเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ส่วนอีกบริษัทกลับนั่งกันจนเต็มโต๊ะประชุมรูปทรงสี่เหลี่ยม 

 

 

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันตามมารยาทสักครู่ก่อนจะเข้าสู่หัวข้อหลัก 

 

 

ในช่วงแรก ด้านโครงการ การโฆษณา รวมไปถึงสถานที่นั้น ความเห็นของทั้งสองฝ่ายไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่ในตอนหลัง การแบ่งกำไรนั้นเห็นข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

ภาษาอังกฤษของเหยียนเค่อเป็นสำเนียงบริทิชแบบต้นตำรับ สำเนียงช้าและสง่างาม เสียงเข้มทุ้มต่ำราวกับเชลโล่ “หุ้นของหนานซานจะไม่แบ่งให้บริษัทลงทุนใดๆ ทั้งสิ้นครับ การแบ่งกำไรก็ไม่สมเหตุสมผล แต่ว่ายังเจรจาได้ แต่เรื่องหุ้นส่วนไม่ขอเจรจาครับ” 

 

 

คำพูดของเหยียนเค่อทำให้ทั้งห้องประชุมตกอยู่ท่ามกลางความเงียบในการขบคิดอย่างลึกซึ้ง 

 

 

ส่วนเขานั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นเงียบๆ 

 

 

ง่วงจะตายอยู่แล้ว คุยกันทีก็สี่ชั่วโมง นั่งจนเขาปวดก้นกบไปหมด ไม่รู้ว่ายายคนไร้จิตสำนึกอย่าง 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วทำอะไรอยู่ 

 

 

ตัวเองเหนื่อยแทบตายเพื่อเอาที่ดินของหนานซานมา ไม่รู้ว่ายายคนที่ทำให้เขาได้ไอเดียนี้ในตอนแรกจะไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหนกัน 

 

 

ตัวเขาชอบหรือไม่ชอบเธอกันแน่นะ… 

 

 

เขาครุ่นคิดว่าควรจะลองไปทำพวกแบบทดสอบอะไรแบบนี้ดีหรือเปล่า แถมยังดูเหมือนว่าจะมีเรื่องน่าปวดหัวที่ใหญ่กว่า 

 

 

เขาปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองกับซย่าเสี่ยวมั่วมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าถ้ายายนั่นรู้ความจริงแล้วจะยกมีดมาฆ่าเขาตายหรือเปล่า 

 

 

ห้องประชุมถูกกดให้อยู่ในความเงียบ เหยียนเค่อยังคิดว่าต่อไปจะเอาใจซย่าเสี่ยวมั่วอย่างไร ทันใดนั้นผู้รับผิดชอบของอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดและไม่ยอม “เอาล่ะครับ ผมคิดว่าเราถอยให้ได้อีกแค่สามเปอร์เซ็นเท่านั้น นี่เป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว และหวังว่าตอนสิ้นปี ทาง YAN จะมอบสวัสดิการให้กับบริษัทของเรานะครับ” 

 

 

เหยียนเค่อออกจากภวังค์ มองคนตรงหน้าของตนปราดหนึ่ง คำพูดที่เดิมทีเตรียมจะพูดออกมาถูกกลืนกลับลงไปในคอ ก่อนจะพยักหน้า 

 

 

ความจริงผู้ช่วยของเขากำลังรอให้เหยียนเค่อปาเอกสารแล้วเดินออกไปอยู่ แต่ไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะมีพลังมากขนาดนี้ กดคนในห้องประชุมได้หมด 

 

 

ไฟห้องประชุมถูกเปิดขึ้น 

 

 

ผู้รับผิดชอบของฝ่ายนั้นเช็ดเหงื่อเย็นแล้วลุกขึ้นจับมือกับเหยียนเค่อ ทั้งสองฝ่ายเซ็นชื่อลงบนเอกสาร สำเร็จวัตถุประสงค์ของการร่วมมือกันครั้งใหม่ 

 

 

ผู้ชายคนนี้แข็งกร้าวเป็นอย่างมาก ไม่มีทางอ่อนข้อให้เลย น่ากลัวจริงๆ 

 

 

เหยียนเค่อไม่รู้ว่าหลังจากตอนอายุยี่สิบที่ตนกลายเป็นตำนานวอลล์สตรีทแล้ว จะได้กลายเป็นคนที่รับมือยากที่สุดในการประชุมของอเมริกาด้วย 

 

 

“เมื่อวานบอสเท่มากเลยครับ จริงๆ!” ผู้ช่วยพิเศษที่ได้มาคุยเรื่องสัญญากับเหยียนเค่อครั้งแรกรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก รายงานสถานการณ์ให้ผู้ช่วยหวังฟังก็เอาแต่พูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา 

 

 

ผู้ช่วยหวังรำคาญจึงพูดขัดขึ้นเสียก่อน “ผมเคยเจอหลายครั้งแล้ว ดังนั้นผมนึกภาพออก ผมก็จะประชุมแล้วครับ” 

 

 

เหยียนเค่อมองสายตานับถือของผู้ช่วยพิเศษก็ส่ายหัว ถ้าเมื่อกี้เขาบอกว่าเขาแค่นั่งเหม่อ จะมีคนเชื่อไหมนะ 

 

 

แต่ว่าในห้องประชุมมืดๆ มีเพียงแสงสีขาวจ้าจากโปรเจ็กเตอร์เท่านั้น เขาไม่ง่วงจนหลับไปก็ดีเท่าไรแล้ว 

 

 

สำหรับเซ่าหมิงฟ่าน ผลลัพธ์แบบนี้อยู่ในความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว คนที่คุยธุรกิจกับเหยียนเค่อคงไม่อยากลองมันอีกเป็นครั้งที่สอง 

 

 

ในงานเลี้ยงและสถานบันเทิง เขาเป็นเหยียนเค่อที่เต้นรำเพื่อดึงดูดสายตาของเพศตรงข้าม 

 

 

บนโต๊ะประชุมและในห้องประชุม เขาจะเป็นคนที่แสดงความสามารถออกมาให้เห็น เป็นฐานข้อมูลมีชีวิตที่กัดไม่ปล่อย 

 

 

“คุยกันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลยใช่ไหม” 

 

 

“ก็พอได้” เหยียนเค่อนั่งพิงมุมโซฟาแล้วหาวหวอด “ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกาไม่น่าฟังเลย เหมือนหูฉันจะพังอย่างไรอย่างนั้น” 

 

 

“ฉันว่าสำเนียงบริทิชไม่น่าฟังกว่าอีก เหมือนออกเสียงไม่ชัดอะ” 

 

 

“ดังนั้นภาษาจีนกลางดีสุด” เหยียนเค่อพูดเสียงเบา 

 

 

เซ่าหมิงฟ่านเขย่าคนแก้วไวน์ ก่อนจะเอ่ยหยอกล้อ “ถ้ารักประเทศก็กลับไปสิ อยู่อเมริกาจะให้ไปหาคนพูดจีนกลางจากที่ไหน” 

 

 

“ฉันก็พูดกับนายอยู่นี่ไง” เหยียนเค่อตอบเขาอย่างเกียจคร้าน “พรุ่งนี้กับมะรืนน่าจะมีงานเลี้ยง สองวันสุดท้ายไปซื้อของขวัญกลับไปฝากพวกเขาสักหน่อย” 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 208 มิตรภาพระหว่างเพื่อน 

 

 

เซ่าหมิงฟ่านหมดสนุก “ถ้าจะซื้อของก็ไปคนเดียวเถอะ คิดว่านายมาแล้วจะได้ไปเที่ยวด้วยกันสักหน่อย ตอนนี้ตารางดันเต็มหมดแล้วซะงั้น” 

 

 

“งั้นนายช่วยไปงานเลี้ยงให้ฉันไหมล่ะ” เหยียนเค่อหารือกับเขา 

 

 

“ทำไมนายไม่ให้ฉันช่วยซื้อของขวัญให้ล่ะ” 

 

 

“ก็ได้” เหยียนเค่อตอบรับ “เดี๋ยวเอาลิสต์ให้ อันที่ต้องซื้อนายก็ไปซื้อมาให้ฉันที” 

 

 

เซ่าหมิงฟ่านนึกว่าเขาจะเขียนลิสต์มาให้อย่างละเอียด อย่างเช่นว่าซื้ออะไรแบบนี้ สุดท้ายกลับเขียนมาเป็นแถวว่า ‘แม่ พ่อ คู่หมั้น สวีรั่วชี สวีอันหราน ฉินซื่อหลาน พ่อแม่คู่หมั้น…’ 

 

 

“นายนี่แม่ง คู่หมั้นนายเป็นใครฉันยังไม่รู้ นายจะให้ฉันดูหน้าผีแล้วซื้อของให้หรือไง” 

 

 

“มีด้วยเหรอ” เหยียนเค่อถามกลับอย่างจริงจัง 

 

 

“จะไม่มีได้ไง ฉันจะเป็นบ้าแล้วรู้ไหม” 

 

 

“ฉันหมายถึงว่าการดูหน้าผีแล้วซื้อของน่ะ มีด้วยเหรอ” 

 

 

ทำไมความคิดของเซ่าหมิงฟ่านกับเขามันไม่ไปด้วยกันนะ 

 

 

ถึงแม้ว่าเซ่าหมิงฟ่านจะเป็นคุณชายที่รสนิยมแปลกๆ คนหนึ่งก็เถอะ แต่เขากับเหยียนเค่อไม่เหมือนกันเลยสักนิด 

 

 

เขาแตกต่างกับคนอื่นแค่เรื่องกิน แต่เหยียนเค่อแตกต่างกับคนอื่นในทุกๆ ด้าน 

 

 

“ไม่มี!” เขาตอบกลับอย่างหงุดหงิด “ให้ฉันดูหน้าซย่าเสี่ยวมั่วแล้วซื้อของให้ดีไหม” 

 

 

“นายกล้าเหรอ!” เหยียนเค่อไม่ยอม ทำได้เพียงสั่งไปหนึ่งคำ “นายไปถามสวีอันหรานละกัน หรือไม่ก็สืบหาผู้หญิงที่ชื่อว่าสวีอิ๋งอิ๋ง” 

 

 

เหยียนเค่ออยากจะงีบสักหน่อย ไม่อยากสละเวลานอนอันมีค่าของตัวเองมาตอบคำถามเขาว่า 

 

 

สวีอิ๋งอิ๋งเป็นมารปีศาจจากภพภูมิไหนเลยสักนิด 

 

 

เซ่าหมิงฟ่านได้ยินชื่อสวีอิ๋งอิ๋ง ในใจก็รู้ดี “ฉันเคยเจอเธอ ลูกสาวคนรองของบ้านสามตระกูลสวี จิตใจไม่ใสสะอาดเลย” 

 

 

“เฮ้อ คนที่มาตกหลุมรักคนอย่างฉันมีแต่คนไม่ดี” เหยียนเค่อถอนหายใจ 

 

 

เซ่าหมิงฟ่านยิ้มบางๆ นี่เขาด่าตัวเองอยู่ใช่ไหม 

 

 

แต่ว่าผู้หญิงชื่อสวีอิ๋งอิ๋งคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีจริงๆ พวกเขาไม่ต้องหาคู่แต่งงานที่สมฐานะแล้ว ผู้หญิงที่เข้ากันได้ดีน่ะเยี่ยมที่สุดแล้ว 

 

 

สถานะของผู้หญิงคนหนึ่งก็แค่ของแถม ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสักเท่าไร 

 

 

ถ้าแต่งผู้หญิงอย่างสวีอิ๋งอิ๋งเข้าบ้าน สู้แต่งผู้หญิงที่ฐานะทางบ้านปานกลางแต่จิตใจงดงามดีกว่า 

 

 

กว่าเหยียนเค่อจะตื่นก็ตีสองแล้ว เซ่าหมิงฟ่านยังไม่นอน นั่งกอดโน้ตบุ๊กหาอะไรดู 

 

 

“ทำไม นายก็กลุ้มใจเหรอ” 

 

 

เซ่าหมิงฟ่านไม่ตอบ ถอนหายใจเสียงเศร้า “อันหรานก็มีคู่แล้ว นายเองก็ใกล้แล้ว ฉินซื่อหลานก็ใกล้แล้วเหมือนกัน คิดไปคิดมาก็เหลือแค่ฉัน” 

 

 

“มีเสิ่นจิ้งเฉินอยู่เป็นเพื่อนนายอีกคนไม่ใช่เหรอ” 

 

 

“นายบอกว่าเสิ่นจิ้งเฉินมีซย่าเสี่ยวมั่วไม่ใช่เหรอ” 

 

 

เหยียนเค่อไม่พอใจ “ฉันใกล้แล้วอะไรล่ะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนายเอง” 

 

 

“ช่างเถอะ ฉันยอมเป็นคู่ชาย-ชายกับเสิ่นจิ้งเฉินดีกว่าอยู่กับนาย” 

 

 

“เวรเอ๊ย” ช่วงนี้มันอะไรกันนักนะ โดนผู้หญิงรังเกียจนี่ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ผู้ชายก็เริ่มจะรังเกียจเขาแล้ว 

 

 

ฟ้ามืดเวลาตีสองทำให้คนอึดอัด แสงดาวส่องประกาย ราวกับเศษเพชรที่ฝังประดับบนผ้าผืนสีดำ ส่องแสงแวววับ 

 

 

วัยรุ่นอายุมากสองคนดื่มเบียร์คลายความกลัดกลุ้มใจ 

 

 

ชีวิตของทุกคนในวัยยี่สิบถึงสามสิบต่างก็เหมือนกับถูกกดปุ่มเร่งเวลา 

 

 

เรียนจบ แต่งงานมีลูก เรื่องใหญ่ในชีวิตทั้งหมดต่างก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านี้ 

 

 

เซ่าหมิงฟ่านเอ่ยเตือน “ถ้าไม่ไหวให้ฉันกลับไปช่วยไหม” 

 

 

เหยียนเค่อซาบซึ้งกับเพื่อนของตนเป็นอย่างมาก ใครไม่รู้บ้างว่าหมอนี่หนีมาอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าหลบมารักษาใจ แต่ตอนนี้กลับยอมกลับไปเพราะตน 

 

 

ทั้งคู่กำลังจะนั่งจ้องตากันในความเงียบ แต่จู่ๆ เหยียนเค่อก็หรี่ตาก่อนจะเอ่ย “ถึงฉันจะซึ้ง แต่วันนี้นายบอกว่าฉันไม่ไหวหลายรอบแล้วนะ นายเป็นพวกชายรักชายจริงๆ แล้วปะเนี่ย” 

 

 

เซ่าหมิงฟ่านละสายตาออกอย่างทื่อๆ เสียบรรยากาศหมด รู้สึกสงสารซย่าเสี่ยวมั่วขึ้นมาตะหงิดๆ 

 

 

ถ้ามีแฟนแล้วไม่โดนแฟนโมโหสิแปลก