ตอนที่ 189 ความงามตามธรรมชาติที่ยากจะยอมแพ้ + ตอนที่ 190 มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 189 ความงามตามธรรมชาติที่ยากจะยอมแพ้ + ตอนที่ 190 มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 189 ความงามตามธรรมชาติที่ยากจะยอมแพ้

ร่องรอยฟกช้ำนี้ราวกับมีไม้ตะบองตีแรงๆ เข้าที่หน้าของทั้งสามคน จึงทำให้อู่เจิ้งซือไม่สามารถพูดต่อได้ ต้องเผชิญหน้ากับลูกสาวคนเล็กแบบนี้เขารู้สึกแปลกๆ และขาดความมั่นใจในตัวเอง

“เหมยเหมยเป็นแบบนี้คือเหลืออด บางครั้งพ่อแม่ทำโทษลูกด้วยการตี เพื่อให้ลูกเป็นคนดี โบราณว่าไว้หากไม่ตีลูกจะไม่เป็นโล้เป็นพาย”

อู่เจิ้งซือไม่รู้เลยว่าตัวเขาเองกำลังพูดอะไรอยู่ เขาต้องการจะให้อู่เหมยดึงแขนเสื้อลง ร่องรอยฟกช้ำพวกนั้นเห็นแล้วดูขัดหูขัดตา

“รู้แล้วค่ะ พ่อแม่ตีลูกก็เพราะเป็นสัจธรรมที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ตีจนตายก็ไม่ผิดกฎหมาย” อู่เหมยพูดออกไปอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อน เธอคีบหมูน้ำแดงคำโตๆ เขาปากและเคี้ยวต่อไปอย่างโหดเหี้ยม ท่าทางการกินดุดันราวกับฆาตรกร

เหอปี้อวิ๋นกลับไม่ได้สนใจต่อการกระทำของอู่เหมย เธอคิดเพียงแค่ว่ายัยเด็กบ้านี่พูดจาแปลกประหลาด สีหน้าท่าทางของคุณอู่ก็ดูแปลกจึงอดไม่ได้ที่จะตำหนิออกไป “เป็นลูกผู้หญิงกินเนื้อน้อยๆ หน่อย อีกหน่อยอ้วนจะทำยังไง?”

“หนูไม่ใช่พี่นี่คะ ที่ดื่มแค่น้ำเปล่าก็อ้วนแล้ว หนูมีความงามตามธรรมชาติที่ยากจะยอมแพ้”

อู่เหมยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ และยัดเนื้อที่เหลือเข้าปาก มันหมูที่มันเยิ้มทำให้อู่เยวี่ยที่เห็นรู้สึกสะอิดสะเอียน แต่อู่เหมยกลับกินได้อย่างเอร็ดอร่อย แน่นอนว่าเธอแค่เสแสร้ง มันหมูแทบไม่ได้เคี้ยวก็ถูกเธอกลืนลงไปแล้ว

ตอนแรกอู่เยวี่ยอยากกินหมูสามชั้น แต่กลับถูกอู่เหมยทำให้โมโหจนน่าเจ็บใจ เธอเป็นคนที่กินแล้วอ้วนง่าย เพียงแค่กินเยอะขึ้นนิดหน่อย ที่กินเข้าไปก็จะกลายไปเป็นไขมัน ต่างจากอู่เหมยทที่กินยังไงก็ไม่อ้วน หุ่นผอมเพรียวอยู่ตลอด

อู่เจิ้งซือมองดูท่าทีร่าเริงของลูกสาวคนเล็กก็รู้สึกดีไม่น้อย คิดว่าเมื่อครู่คงเป็นเพราะอู่เหมยยังคงคิดโมโหต่อการกระทำของเหอปี้อวิ๋น ถึงได้มีเจตนาพูดแบบนั้นออกไป แต่ในใจอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น

กลางคืนค่อยคุยกับเหอปี้อวิ๋นว่าต่อไปนี้ห้ามลงไม้ลงมือกับอู่เหมย เพราะอู่เหมยในตอนนี้ถือว่าไม่ได้แย่ ร่าเริงสดใสแลดูเปิดเผย ทั้งยังสง่างามและใจกว้าง คะแนนก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งยังรู้จักประหยัดอดออมและเอาเงินค่าขนมไปซื้อซาลาเปาน้ำซุปมาให้เขาด้วยความกตัญญูอีกด้วย บ่งบอกได้ว่าช่วงระยะนี้การใช้คุณธรรมอบรมสั่งสอนคน ก็ถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลวเลย

ทั้งวันเอาแต่ด่าๆ ตีๆ จะมีอะไรดี!

อู่เจิ้งซือคีบเอาเนื้อที่มีมันเยอะกว่าเนื้อชิ้นใหญ่ๆ วางไว้ในจานของอู่เหมย “เหมยเหมยชอบกินเนื้อก็กินเยอะๆ หน่อย”

“ขอบคุณค่ะพ่อ”

อู่เหมยส่งยิ้มหวานให้เขาและกัดกินคำใหญ่ๆ แต่ไขมันเยอะเกินไปทำให้น้ำมันที่อยู่ในเนื้อซึมออกมามากจนทำให้เธอเกือบจะอ้วกออกมา อู่เหมยทนกลืนลงไปและแสร้งทำเป็นพึงพอใจอย่างมาก และเธอได้แสยะยิ้มส่งให้อู่เยวี่ย

พอดีฉันเป็นประเภทที่กินเนื้อเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เชิญเธอโมโหไปจนตายเลยยัยแม่มด!

อู่เยวี่ยมองด้วยความอัดอั้นตันใจ เธอใช้ตะเกียบคีบผักขึ้นมากิน และไม่กล้ากินเนื้ออีก ตั้งแต่ช่วงที่เธอเริ่มมีประจำเดือนเป็นต้นมา น้ำหนักตัวของเธอก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่แน่นอน หากกินจนไม่ระวังก็จะทำให้น้ำหนักเกิน ปล่อยให้ตัวเองหิวไม่กี่วันได้ถึงจะลดลง ช่างน่าปวดหัวเสียจริง

พอทานข้าวเสร็จอู่เหมยได้หยิบสมุดการบ้านของเหมยซูหานขึ้นมาอ่าน บทความนั้นทำให้เธอหัวคิ้วผูกเป็นโบว์ อะไรคือบิดาสามารถไม่มีความเมตตา แต่บุตรควรกตัญญู พูดจาเหลวไหลสิ้นดี มันไม่ถูกต้อง เหมยซูหานไม่ใช่คนที่มีความกตัญญูแบบนี้

เมื่อชาติก่อนที่เธอกับเหมยซูหานแต่งงานกัน พ่อของเหมยซูหานยังแข็งแรงดี แต่ท่านเป็นเหมือนกับพ่อของทั้งสามพี่น้องนั้นที่เอาแต่กินนอนเที่ยวเล่นติดการพนันทุกอย่าง เพียงแต่ไม่เลี้ยงดูภรรยาและลูก ที่เหมยซูหานสามารถเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้ ทั้งหมดคือการพึ่งพาการทำงานประกอบกล่องกระดาษจากมารดาที่ป่วยหนัก และยังมีทุนการศึกษา รวมถึงเงินที่เขาขยันทำงานและประหยัดอดออมเอง แบบนั้นถึงทำให้เขาเรียนจบมาได้บนเส้นทางที่ยากลำบาก

หลังจากที่มารดาของเหมยซูหานเสียไปได้สามปีบิดาของเขาก็ได้เสียชีวิตตามด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน และข้างกายท่านไม่มีใครอยู่จึงทำให้เสียชีวิตไปแบบนั้น

ในเมื่อไม่มีคนคอยอยู่ข้างๆ นั่นเพราะเหมยซูหานไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อของเขา ในช่วงเวลานั้นเหมยซูหานเริ่มทำมาหากินได้ดีเลย แต่เขาก็ยังปล่อยปะละเลยที่จะดูแลพ่อ เขาเพียงแค่เช่าห้องให้พ่อและให้เงินใช้เดือนละหนึ่งพันหยวน วันหยุดปีใหม่หรือเทศกาลต่างๆ ก็ไม่เคยไปเยี่ยมท่านเลย กระทั่งงานศพก็ถูกจัดขึ้นแบบลวกๆ แค่ให้ผ่านพ้นไป แม้แต่สถานที่ฝังศพเขายังไม่ให้ความสำคัญเลย!

…………………………………………………………………………………………..

ตอนที่ 190 มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว

เมื่อนึกถึงการตายเมื่อชาติก่อน ในใจของอู่เหมยกลับจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิด ทำยังไงก็นอนไม่หลับ ทั้งที่ความคิดของเหมยซูหานเหมือนกับเหยียนหมิงซุ่น แต่เขากลับไม่เขียนแบบนั้น นั่นบ่งบอกได้ดีว่าคนคนนี้แสดงละครเก่ง

หรือว่าชาติที่แล้วเหมยซูหานทำดีต่อเธอ นั่นก็คือการแสดงละคร?

อู่เหมยถอนหายใจและเธอเองก็ไม่อยากนึกถึงเหมยซูหานแล้ว จะเป็นการแสดงละครก็ดีหรือเป็นความรู้สึกที่แท้จริงก็ช่าง ซึ่งนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับเธออีกแล้ว

อู่เหมยหน้าโง่ที่อ่อนแอและขี้ขลาดได้ตายไปแล้ว เธอในตอนนี้คืออู่เหมยที่มีชีวิตฟื้นคืนใหม่จากความโหดร้าย เพราะอย่างนั้นใครที่ติดหนี้เธออยู่ เธอจะชดใช้คืนให้เป็นเท่าตัว

อู่เหมยหัวเราะเยาะอย่างไม่ออกเสียง พูดกับฉิวฉิวที่คว่ำหน้าชมพระจันทร์อยู่บนโต๊ะด้วยเสียงแผ่วเบา “ฉิวฉิว พรุ่งนี้เช้าอย่าใช้ธัญพืชแสนหอมอย่างสุรุ่ยสุร่ายล่ะ ทั้งหมดต้องยกให้อู่เยวี่ยใช้สระผม ไม่ใช่สิ ไม่ต้องทั้งหมดหรอกแค่ครึ่งเดียวก็พอ ลดหย่อนให้เผื่อว่ายัยชั่วนั่นจะวิ่งกลับมา”

ฉิวฉิวสะบัดหางไปมาอย่างไม่สนใจอู่เหมย มันกำลังยุ่งอยู่กับการชมแสงจันทร์!

อู่เหมยตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ถึงแม้จะนอนไปแค่ห้าหกชั่วโมง แต่พอได้นึกถึงความโชคร้ายของอู่เยวี่ยเธอกลับรู้สึกฮึกเหิมและมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ เหอปี้อวิ๋นเองก็ตื่นแล้ว เธอกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ตรงระเบียง เมื่อคืนก่อนนอนอู่เหมยได้ต้มส่วนใบของต้นหญ้าไว้แล้ว ในเวลานี้สีของน้ำในแก้วมีสีเขียวอ่อนๆ ราวกับสีค็อกเทล แต่ก็ถือว่ามีสีสวย

เธอได้หลอดหยดสารมาจากบ้านตระกูลสยง ครูสยงเป็นครูประจำวิชาเคมี ซึ่งในบ้านมีของประเภทนี้อยู่เยอะมาก และสยงมู่มู่ก็ใช้เล่นตั้งแต่เด็ก อู่เหมยแค่สูบออกมาหนึ่งหยด เพราะในหนึ่งครั้งเธอก็ไม่กล้าที่จะใช้มันเยอะ กลัวว่าจะทำให้อู่เยวี่ยล้มหน้าคว่ำไปเสียก่อน

อู่เหมยซ่อนหลอดหยดสารไว้ในกระเป๋าเสื้อและเดินออกไปอย่างเงียบๆ นมร้อนๆ ที่เหอปี้อวิ๋นพึ่งจะต้มเสร็จ แก้วที่เกินมาเยอะนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของอู่เยวี่ย อู่เหมยถือโกกาสในช่วงที่เหอปี้อวิ๋นเผลอแล้วใช้หลอดหยดสารที่มียาน้ำอยู่ในหลอกหยดลงไปในแก้วนม ยาน้ำสีเขียวอ่อนๆ ค่อยๆ ผสมเข้ากับนมจนทำให้มองไม่เห็นถึงความผิดปกติ

เป็นเพราะอู่เยวี่ยจะสอบรายเดือนเหอปี้อวิ๋นจึงได้เตรียมอาหารเช้าไว้เต็มโต๊ะ นมวัว ปาท่องโก๋หนึ่งชิ้น ไข่ต้มสองฟอง และยังมีซาลาเปาไส้หมู อู่เหมยดื่มนมแก้วนั้นของเธออย่างรวดเร็วและกินซาลาเปาไส้หมูอย่างเอร็ดอร่อย

สายตาของเหอปี้อวิ๋นมองอู่เยวี่ยด้วยความรักใคร่เอ็นดู เธอดื่มนมแก้วนั้นเข้าไปจนหมดเกลี้ยง นั่นถึงทำให้อู่เหมยรู้สึกวางใจ เธอหรี่ตามองไปที่เส้นผมดกดำของอู่เยวี่ยแต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ

เธอกัดกินซาลาเปาไส้หมูอย่างอิ่มอกอิ่มใจ และคาดหวังมากกับสถาการณ์ข้างหน้าที่อู่เยวี่ยเดินออกจากประตูนี้ไป

“พี่คะ ขอให้สอบรายเดือนได้ราบรื่น และเป็นที่หนึ่งของโรงเรียน!” อู่เหมยแสดงออกอย่างจริงใจ

อู่เยวี่ยหัวเราะอย่างสบายใจ “ขอบใจนะเหมยเหมย พี่จะพยายาม เธอเองก็สู้ๆ ล่ะ พยายามสอบให้ผ่านทุกวิชานะ!”

หาได้ยากมากที่เหอปี้อวิ๋นจะไม่ชักสีหน้าใส่อู่เหมย เธอพูดด้วยความรักใคร่เอ็นดู “เยวี่ยเยวี่ยกินเยอะนะลูก กินอิ่มแล้วถึงจะทำให้มีสติทำข้อสอบ ที่หนึ่งต้องเป็นของลูกแน่นอน แม่เชื่อใจลูก”

อู่เจิ้งซือยกยิ้มและพูดขึ้น “ตอนสอบพยายามให้เต็มที่ก็พอแล้ว อย่าไปคิดแบกรับเรื่องอะไรไว้มาก เหอปี้อวิ๋นก็พูดให้น้อยๆ หน่อย”

“ใช่ๆๆ เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องคิดถึงภาระอะไรนะ ทำเหมือนทุกครั้งที่ลูกทำการบ้านก็พอแล้ว แม่ไม่พูดแล้ว”

อู่เหมยหัวเราะเยาะภายในใจ ครั้งก่อนเจอเรื่องเศร้าสุดแสนรันทด ครั้งต่อไปอาจเจอกับเรื่องดีในชีวิต หากว่าอู่เยวี่ยสอบได้ที่หนึ่งอีกครั้ง เธอจะบิดหัวออกมาเตะเป็นลูกฟุตบอลเลย

ในจังหวะที่เหอปี้อวิ๋นกำชับอย่างเอาใจใส่ อู่เยวี่ยได้สะพายกระเป๋าเตรียมตัวไปสอบ อู่เหมยเดินตามอยู่ด้านหลัง เธออยากจะเห็นละครสนุกๆ แล้ว

สยงมู่มู่รอเธออยู่ด้านล่างของตึกเหมือนเคย อู่เหมยบุ้ยปากไปทางอู่เยวี่ย พูดขึ้นอย่างยากที่จะปิด “วันนี้มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว”

“ละครสนุกอะไร?” ในใจของสยงมู่มู่เริ่มเกิดความอยากรู้อยากเห็น จึงเอาแต่ถามไม่หยุด

“นายค่อยๆ ดูเอาเองก็แล้วกัน ” อู่เหมยกลับไม่กล้าเผยความลับ ทำเอาสยงมู่มู่มีท่าทีร้อนใจ และโกรธเคืองเป็นอย่างมาก

…………………………………………………………………………………………..