ตอนที่ 9 ถูกประณาม

หัวโจก

เช้าวันรุ่งขึ้นโจวจิ้งไม่เห็นเจ้าเขียวมาเรียน จึงถามเพื่อนๆ ในห้อง แต่ไม่มีใครรู้ เพราะเขาไม่สุงสิงกับใครนอกจากเธอ

โจวจิ้งพยายามติดต่อเจ้าเขียว แต่มือถือของเขาปิด จึงตัดสินใจไปขอพบเมี่ยเจวี๋ย

“แค่บอกว่าเขาไม่ได้ขโมย ก็คือไม่ได้ขโมยงั้นเหรอ? เจ้าตัวยอมรับเรียบร้อยแล้ว ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีก? อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าเรียกพ่อเธอมาคุยนะ เรื่องของเคอเสี่ยวฝานไม่เกี่ยวกับเธอสักนิด อย่าหาเรื่องใส่ตัว!”

“หนูจะพูดเป็นรอบสุดท้าย หนูเป็นคนลากเคอเสี่ยวฝานไปที่ห้องแล็บเอง เขาไม่แม้แต่จะเหยียบเข้าไปในห้อง แล้วจะขโมยเงินได้ยังไง? ถ้าบอกว่าหนูขโมย ยังเป็นไปได้มากกว่าอีก!”

“พูดแทนขนาดนี้ ทำไมไม่เรียกเจ้าตัวมาคุยเอง? เขายังไม่กล้ามาเรียนเลย จะพูดให้เสียเวลาไปทำไม เลิกทำตัวงี่เง่าแล้วกลับไปเรียนได้แล้ว!” เมี่ยเจวี๋ยตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญ ก่อนจะเดินหนีไป

โจวจิ้งหงุดหงิดจนต้องขยี้หัวตัวเอง

เรื่องของเคอเสี่ยวฝานทำเธอนึกถึงเหตุการณ์สมัยยังเป็นเด็กมัธยมต้นในโรงเรียนแถวบ้าน เพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆ เป็นเด็กในเมือง มีพ่อเป็นนักธุรกิจ จึงได้ค่าขนมแต่ละวันค่อนข้างเยอะ ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ตลอด ขนาดเครื่องเขียนก็ยังต้องดีที่สุด เสียอย่างเดียวคือหัวไม่ดีขณะที่โจวจิ้งเรียนเก่งกว่ามาก แต่ฐานะทางบ้านยากจน จึงต้องพึ่งพาทุนการศึกษาในทุกๆ เทอม

เช้าวันหนึ่ง โจวจิ้งเดินเข้าห้องเรียนและพบว่าเพื่อนทุกคนกำลังยืนมุงเด็กผู้หญิงที่นั่งโต๊ะติดกับเธอ

เด็กคนนั้นร้องไห้เพราะเงินค่าขนมหายไป 250 หยวน สมัยนั้นเงิน 250 หยวน นับว่ามหาศาลมาก โดยไม่ต้องสงสัย ทุกคนพร้อมใจกันลงความเห็นว่าโจวจิ้งคือขโมย

เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเธอจนที่สุดในห้อง แถมยังเรียนดีกว่าชาวบ้าน จึงไม่มีใครเข้าข้างแม้แต่คนเดียว

แม้ครูจะแกล้งปลอบใจเธอต่อหน้าเพื่อนๆ แต่ลับหลังกลับเรียกเธอไปไต่สวนยกใหญ่

เย็นวันนั้นโจวจิ้งเป็นเวรทำความสะอาดห้องเรียนพอดี จึงนั่งร้องไห้ตามลำพังในห้องเป็นเวลานาน

ปกติเธอเป็นคนมีความอดทนสูง ไม่ยอมใคร และไม่แสดงความเปราะบางให้ใครเห็นง่ายๆ แม้แต่พ่อกับแม่ของตัวเอง แต่เมื่อน้อยใจถึงสุดขีด ก็ยากจะกลั้นน้ำตาไว้อยู่

เจ้าของเงินที่หายขอครูประจำชั้นย้ายไปนั่งโต๊ะอื่น และแม้ว่าเรื่องจะผ่านไปนานแล้ว แต่เพื่อนๆ ในห้องก็ยังมองโจวจิ้งด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

ชีวิตช่วงนั้นของเธอผ่านไปอย่างเชื่องช้าและทรมาน ต่อให้สอบได้ที่หนึ่งของชั้น ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เกิดขึ้นได้

สุดท้ายคดีก็คลี่คลายตอนเธอใกล้จะจบชั้นมัธยมต้น

โรงเรียนจับหัวขโมยได้ ส่วนหนึ่งของเงินก้อนโตที่เขาขโมยมาทั้งชีวิตคือเงินของเด็กผู้หญิงที่นั่งโต๊ะติดกันกับเธอ

เพราะเป็นเงินจำนวนมาก คนส่วนใหญ่จึงจำเรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะโจวจิ้ง

น่าแปลกที่เพื่อนร่วมของเธอกลับลืมสนิท ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คิดจะขอโทษ รวมถึงเด็กผู้หญิงเจ้าของเงินคนนั้นด้วย

เคอเสี่ยวฝานทำให้โจวจิ้งคิดถึงตัวเอง ตอนที่ต้องนั่งร้องไห้ตามลำพังในห้องเรียน

เพราะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปให้กำลังใจตัวเองตอนอายุสิบห้าปีได้ เธอจึงไม่อยากให้เคอเสี่ยวฝานต้องถูกเรื่องนี้กระทบไปตลอดชีวิตเช่นกัน

ต่อให้เขาไม่ถูกไล่ออก ก็อาจถูกประณามว่าเป็นโจรไปตลอดชีวิต

เธอยืนครุ่นคิดหน้าห้องเรียนเป็นเวลานาน กระทั่งเสียงออดดังขึ้น จึงเดินใจลอยกลับเข้าไป

โจวจิ้งนั่งซึมทั้งวัน เธอไม่คิดว่าวัยรุ่นอายุเพียงสิบแปดปี จะมีช่วงชีวิตที่ย่ำแย่ขนาดนี้

ตั้งแต่วันนั้น เธอถูกมองด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม เพราะตลอดช่วงเปิดเทอม โจวจิ้งไม่เคยโดดเรียนสักครั้ง ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาท มาเรียนตรงเวลาทุกวัน แม้จะชอบเหม่อลอยก็ตาม นับเป็น
สิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนครูต้องเอ่ยปากชมด้วยความซาบซึ้ง

โจวจิ้งไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องพวกนี้ เพราะอยากช่วยเจ้าเขียวให้หลุดพ้นจากข้อครหามากกว่า

เมื่อไม่มีเงินติดตัว เธอจึงตัดสินใจโดดคาบติวช่วงเย็น ซึ่งยามที่หน้าประตูก็ปล่อยให้โจวจิ้งเดินออกไปอย่างง่ายดาย

“ซอยหลังโรงเรียนอยู่ตรงไหน?” เธอโทรหามั่วลี่ด้วยน้ำเสียงรีบร้อน

มั่วลี่ที่กำลังเล่นเกมอยู่ตอบอย่างไม่เชื่อหู “สมองเจ๊ยังโอเครึเปล่า จำซอยหลังโรงเรียนไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

“บอกฉันมาเถอะน่า!”

“ออกจากประตูโรงเรียนแล้วเดินไปข้ามสะพาน พอเห็นตลาดสดให้เดินตรงไปอีกสองซอย ว่าแต่… นัดตบใครเหรอ?”

“…”

นอกจากเรื่องตบตี ไม่คิดจะให้ทำอย่างอื่นเลยรึไง เธอคิดในใจ

“เล่นเกมต่อเถอะ ไม่กวนแล้ว”

หลังวางสาย โจวจิ้งรีบสะพายกระเป๋าแสนมีค่าไว้ด้านหน้าเพราะกลัวของในนั้นจะถูกขโมย ก่อนจะเริ่มเดินไปตามเส้นทางที่มั่วลี่บอก

ไม่นานเธอก็พบกับซุ้มมากมายที่ประดับตกแต่งด้วยแสงไฟ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านปิ้งย่างหมาล่าสลับกับแผงขายของมือสอง ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ชุลมุนวุ่นวายไปด้วยเสียงตะโกนต่อราคาที่ดังขึ้นเป็นระยะ

ที่ว่างและทำเลดีๆ ถูกจับจองไปหมดแล้ว เหลือเพียงมุมแคบๆ ในที่ลับตาคนเท่านั้น

พอหาที่นั่งได้ โจวจิ้งก็ปูกระดาษหนังสือพิมพ์ลงบนพื้นแล้วหยิบกล้องออกมาวาง

จากที่สังเกต เธอพบว่านักเรียนส่วนใหญ่จะเอาของจุกจิก เช่น กิ๊บติดผม ผ้าเช็ดหน้า หรือหนังสือมือสองมาขาย ต่างจากเธอที่นั่งขายกล้องหนึ่งตัว

เจ้าของแผงข้างๆ เป็นนักเรียนยวู่เต๋อเหมือนกัน พวกเธอมองมาที่โจวจิ้งซึ่งยังคงมีผมสีทองและสวมเสื้อผ้าที่คนปกติเข้าไม่ถึง

เมื่อต้องนั่งอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย โจวจิ้งก็อึดอัดจนแทบน้ำตาไหล

ตลาดนัดกลางคืนที่เธอคิดไว้ไม่ใช่แบบนี้ คนส่วนใหญ่ที่มาจับจ่ายซื้อของเป็นแค่เด็กนักเรียน ไม่มีเงินมากพอจะซื้อกล้องราคาแพงได้ แถมยังต้องนั่งขายท่ามกลางแผงขายถุงเท้าและผ้าเช็ดหน้าอีก

ขณะที่เธอบนกับตัวเองในใจ ก็มีคนมาหยุดยืนตรงหน้า

“คุณลูกค้าคะ ของ…” เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตา โจวจิ้งก็ถึงกับไปไม่เป็น

ไฟจากแผงข้างๆ ส่องมาที่เธอ คนตรงหน้าจึงมองเธอได้อย่างชัดเจน

“เฮ่อซวิน?” เธอคิดในใจ เพราะจำได้ว่าเคยเจอที่ห้องแล็บ “เขามาทำอะไรที่นี่?”

โจวจิ้งไม่สนอะไรทั้งนั้น เธอแค่อยากขายของแล้วเอาเงินไปช่วยเจ้าเขียว ในเมื่ออีกฝ่ายหยุดยืนตรงหน้า ก็คิดเสียว่าเป็นลูกค้าคนหนึ่ง

“สนใจกล้องเหรอคะ? ให้ราคาพิเศษไปเลยแล้วกัน ของใหม่สภาพนางฟ้า หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ”

เฮ่อซวินขมวดคิ้วถาม “นี่มันของขวัญที่เตรียมไว้ให้หลินเกาไม่ใช่เหรอ?”

โจวจิ้งตอบเสียงเบา “แคร์ด้วยเหรอ?”

เฮ่อซวินมองโจวจิ้งด้วยสีหน้าคลุมเครือ “เงินไม่พอใช้หรือไง?”

“หะ…”

ครั้นจะตอบว่าไม่ใช่ เธอก็รู้สึกกระดากปากเหลือเกิน