ตอนที่ 378 ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว…!
เซียวปิงลองเปิดคัมภีร์อ่านดูเล็กน้อย ดวงตาก็เบิกโตอย่างมีความสุขเสมือนได้พบเจอบิดาที่พลัดพรากกันไปนาน “ท่านพี่ คัมภีร์เล่มนี้วิเศษเหลือเกิน ท่านเตรียมไว้ให้ข้าโดยเฉพาะใช่หรือไม่? ทำไมท่านถึงเป็นคนดีขนาดนี้”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง “แน่นอนอยู่แล้ว… เจ้าลองเอาไปฝึกก่อนเถอะ ด้วยร่างกายที่แข็งแรงของเจ้า อย่าทำให้ข้าผิดหวังก็แล้วกัน”
เซียวปิงขอบคุณด้วยความดีใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ถามออกมาว่า “แล้วนี่เราจะรับประทานอาหารค่ำกันเมื่อไหร่หรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าผากตัวเอง
กิน กิน แล้วก็กิน
ไอ้อ้วนนี่เคยคิดถึงเรื่องอื่นบ้างไหม นอกจากเรื่องกิน
แต่เมื่อนึกได้ว่าเขาต้องพึ่งพาเซียวปิงเป็นหนูทดลองฝึกคัมภีร์เล่มใหม่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ต้องใช้พละกำลังจำนวนมหาศาล หลินเป่ยเฉินจึงจำเป็นต้องตัดใจตอบกลับไปว่า “น้องชายลองฝึกพลังดูก่อน เดี๋ยวข้าจะใช้เวลาระหว่างนี้ เตรียมอาหารค่ำให้พวกเราเอง…”
เซียวปิงมีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “ท่านพี่เป็นเทพผู้พิทักษ์ของข้าจริงๆ”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็เดินถือคัมภีร์ออกไปฝึกวิชาที่ด้านนอก
หลินเป่ยเฉินรอคอยอยู่ไม่นาน เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็เรียนเสร็จกลับมาพอดี
สาวรับใช้ทั้งสองนางสวมใส่ชุดเครื่องแบบลูกศิษย์ชั้นปีที่ 1 ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม นั่นทำให้พวกนางดูเยาว์วัยและมีเสน่ห์มากกว่าเดิม ว่ากันว่าในวันแรกที่บรรจุเข้าเป็นลูกศิษย์ใหม่ เฉียนเหมยกับเฉียนเจินสามารถทำคะแนนทดสอบติดอันดับ 1 ใน 10 ของสถาบัน และกลายเป็นขวัญใจของเพื่อนร่วมสถาบันจำนวนมาก
วันนี้พวกนางพาฮันปู้ฮวยกลับบ้านมาด้วย
นี่คือสิ่งที่พวกเขาตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว
เมื่อหมดคาบเรียนประจำวัน ฮันปู้ฮวยจะเดินทางมาที่ตำหนักไม้ไผ่เพื่อรับประทานอาหาร ทำการบ้าน จากนั้นจึงค่อยกลับบ้าน
มือที่เรียวยาวขาวสวยของสาวรับใช้ทั้งสองนางซึ่งก่อนหน้านี้ถูกฝึกฝนสำหรับการเอาใจบุรุษ บัดนี้กลับต้องมาหยิบจับกระทะทำอาหาร และที่น่าประหลาดใจก็คือพวกนางทั้งสองคนมีฝีมือทำอาหารดีเยี่ยม
เมื่อฮันปู้ฮวยมีความคุ้นเคยกับหลินเป่ยเฉิน นางก็ไม่กลัวอะไรอีกต่อไป เด็กหญิงสามารถถามคำถามได้ตลอดเวลา และเริ่มเกาะติดหลินเป่ยเฉินเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกวิทยายุทธ์ด้วยความสนใจ
แต่หลินเป่ยเฉินเป็นแค่เศษสวะคนหนึ่ง
เขาไม่เข้าใจรายละเอียดการฝึกวิชาในระดับสูง
หลายครั้งจึงไม่สามารถเอาตัวรอดจากคำถามของฮันปู้ฮวยได้เลย
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคิดถึงเยว่หงเซียงขึ้นมาจับใจ
หากเยว่หงเซียงอยู่ที่นี่ ปัญหาทุกอย่างก็คงคลี่คลายลงแล้ว
ข้อสงสัยที่ฮันปู้ฮวยอยากรู้แต่หลินเป่ยเฉินไม่มีคำตอบให้ เยว่หงเซียงจะต้องรู้คำตอบอย่างแน่นอน
หลินเป่ยเฉินไม่เคยตั้งใจเรียนมาแต่ไหนแต่ไร
เขาได้แต่คิดอยู่ในใจว่าถ้าฮันปู้ฮวยไม่ได้มีฐานะเป็นน้องสาวของฮันปู้ฟู่ นางคงถูกเขาไล่ตะเพิดออกจากบ้านพักไปนานแล้ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุด อาหารค่ำก็ถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะอาหารพร้อมสำหรับการรับประทาน กลิ่นหอมฉุยโชยไปทั่วตำหนักไม้ไผ่ หวังจงรีบเดินตามกลิ่นอาหารเข้ามาร่วมวงรับประทานด้วยทันที
หลินเป่ยเฉินรู้สึกดีขึ้นมาในพริบตาและเชิญชวนให้ทุกคนเริ่มต้นรับประทานอาหาร
แต่รับประทานกันได้เพียงครึ่งมื้อเท่านั้น เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็ต้องเดินไปตักอาหารจากในห้องครัวมาเพิ่มเติมถึง 2 รอบ
เพราะเซียวปิงกินจุมากเกินไป
ถึงแม้หลินเป่ยเฉินจะเตือนไว้ล่วงหน้าแล้วให้พวกนางเตรียมอาหารไว้มากกว่าปกติ แต่มันก็ยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ ดูเหมือนว่ากว่าที่เซียวปิงจะอิ่มท้อง อาหารของพวกเขาก็คงหมดตำหนักไม้ไผ่กันพอดี
“น้องชาย มารดาคงเลี้ยงเจ้าขึ้นมาอย่างยากลำบากมากเลยนะ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ
เซียวปิงเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ยและพยักหน้ารับคำว่า “ใช่แล้วขอรับ”
เมื่อรับประทานอาหารค่ำกันเสร็จสิ้น
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็เดินทางออกไปส่งฮันปู้ฮวยกลับบ้าน
อากวงก็กลับไปทำการบ้านของมันต่อ บัดนี้ อดีตราชันย์หนูอสูรเริ่มต้นศึกษาเรื่องการเขียนบทกวีแล้ว และในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินก็เพิ่มเติมเรื่องการศึกษาเทพเจ้าให้เจ้าหนูได้ทำการบ้านด้วยเช่นกัน
เพราะไม่มีเหตุผลที่หลินเป่ยเฉินจะต้องทนรับเคราะห์กรรมของการทำการบ้านมหาโหดจากนักพรตหญิงชินแต่เพียงผู้เดียว
หลินเป่ยเฉินไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน
เขาแค่อยากทำให้อากวงฉลาดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ยิ่งเจ้าหนูฉลาดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อเขามากเท่านั้น
“ท่านพี่ ข้าเข้าใจบางส่วนแล้ว เชิญท่านมาต่อยข้าหน่อย”
เซียวปิงพูดขึ้นในสนามหญ้าโล่งกว้าง
“จะเอาเลยรึ?”
หลินเป่ยเฉินกำลังนอนอยู่บนแคร่ตัวยาวหน้าตำหนักไม้ไผ่ ให้เฉียนเหมยนวดขมับผ่อนคลายสมอง และมีเฉียนเจินคอยป้อนองุ่นใส่ปากอยู่ตลอดเวลา เด็กหนุ่มพูดด้วยความเกียจคร้านว่า “น้องชาย ข้ายังเหนื่อยอยู่เลย ข้าอยากพักผ่อน… เดี๋ยวให้อากวงไปฝึกกับเจ้าก็แล้วกัน”
เซียวปิงตอบกลับมาว่า “แต่มัน… ตัวเล็กเกินไป”
อากวงส่งเสียงด้วยความตื่นเต้นและกระโดดลุกขึ้นจากการบ้านที่มันกำลังทำอยู่ทันที
ตราบใดที่ไม่ต้องทำการบ้าน มันยินดีทำทุกอย่างทั้งนั้น
“ต่อยเข้ามาให้เต็มแรงของเจ้าเลยนะ”
เซียวปิงชี้มือไปที่หน้าท้องของตนเอง “ต่อยเข้ามาที่ตรงนี้ได้เลย”
ก่อนหน้านี้ เซียวปิงบรรลุขั้นสูงสุดของวิชากระบี่เร้นกายเรียบร้อยแล้ว ร่างกายของเขาจึงแข็งแกร่งมากกว่าคนทั่วไป สามารถทนทานการต่อยรัวๆ ได้โดยไม่มีปัญหา
ยิ่งถูกต่อยมากเท่าไหร่
ร่างกายของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
นี่คือใจความสำคัญของคัมภีร์ใหม่ที่เด็กหนุ่มร่างอ้วนกำลังฝึกฝน
เซียวปิงไม่เหมือนหลินเป่ยเฉินที่สามารถบรรลุขั้นกระบี่กระดูกเหล็กได้ด้วยโทรศัพท์มือถือ เด็กหนุ่มร่างอ้วนบรรลุขั้นสูงสุดของวิชานี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ส่งผลให้ร่างกายของเขาต้องผ่านประสบการณ์ถูกทำร้ายมาอย่างโชกโชน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เซียวปิงเกรงว่าอากวงจะมีแรงน้อยเกินไป
วูบ!
อากวงต่อยหมัดออกไป
หมัดของเจ้าหนูกระแทกใส่หน้าท้องของเซียวปิง
รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กหนุ่มร่างอ้วนหายวับไปทันที เขาไม่มีเวลาได้อุทานร้องด้วยความเจ็บปวดด้วยซ้ำ ตัวคนก็กลายเป็นเงาสีดำปลิวกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงของตัวบ้านพักเสียงดังโครม
“ทำไมเจ้าแรงเยอะขนาดนี้เนี่ย?”
เซียวปิงลุกขึ้นมาถามด้วยความไม่อยากเชื่อ
วูบ!
พลัน ใครบางคนทิ้งตัวลงมายืนในสนามหญ้าหน้าที่พัก
หลินเป่ยเฉินนึกว่าเป็นเซียวปิงกระโดดกลับมาจะฝึกวิชาต่ออีกครั้ง แต่ที่ไหนได้ เมื่อเงยหน้ามองเห็นโฉมหน้าของผู้ที่ทิ้งตัวลงมา หลินเป่ยเฉินก็ต้องฉีกยิ้มด้วยความดีใจสุดขีด รีบกระโดดลงจากแคร่ไม้โดยทันที
“ท่านอาจารย์”
เด็กหนุ่มคุกเข่าลงบนพื้นดินและกล่าวต่อว่า “ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ศิษย์คิดถึงท่านเหลือเกิน”
ในที่สุด อาจารย์ของเขาก็รู้จักกลับมาหาลูกศิษย์บ้างแล้วใช่ไหม?
บุคคลที่ทิ้งตัวลงมายืนอยู่ในสนามหญ้าบัดนี้ คืออดีตเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน ติงซานฉือ ผู้หายหน้าหายตาไปเป็นระยะเวลาหลายเดือนนั่นเอง
…
“ไม่ต้องชันสูตรแล้ว นำศพเก็บไปไว้ที่ห้องเก็บศพของสำนักมือปราบได้เลย แล้วก็ส่งข่าวแจ้งตระกูลหานกับตระกูลไท้ให้มาระบุตัวผู้เสียชีวิตด้วย”
ณ จวนผู้ว่า
ฉุยเฮาเฟิงผู้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่กำลังถอนหายใจและยกมือโบกสะบัด
ศพของหานเฉิงกับไท้เสว่เหมยถูกลำเลียงกลับออกไปในลักษณะที่มีผ้าขาวปิดคลุม
“ท่านพ่อขอรับ ข้าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตาของตนเอง เป็นไท้เสว่เหมยกับหานเฉิงยโสโอหังมากเกินไป พวกเขาใช้ความถือดีเป็นคนจากสำนักใหญ่ ไม่เห็นผู้คนในเมืองหยุนเมิ่งอยู่ในสายตา มิหนำซ้ำ ยังเข้าไปหาเรื่องหลินเป่ยเฉินโดยไม่มีเหตุผล สุดท้ายจึงต้องกลายเป็นศพเช่นนี้ แล้วเราจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างไรดีขอรับ?”
ฉุยหมิงโหลวมองหน้าบิดาด้วยแววตาเป็นกังวล
มารดาของเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว ชายหนุ่มจึงอยู่กับบิดามาตั้งแต่จำความได้
พวกเขาพ่อลูกพึ่งพากันและกันมาเสมอ
ฉุยหมิงโหลวรู้ดีว่าบิดาของตนเองคาดหวังตำแหน่งเจ้าเมืองในครั้งนี้มาก ท่านถึงกับต้องจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาวิ่งเต้นเป็นเงินก้อนใหญ่ เมื่อได้รับตำแหน่งสมความปรารถนา กลับต้องมาพบเจอเรื่องราวปวดหัวตั้งแต่แรกเริ่ม คาดว่าหลังจากนี้บิดาคงนอนไม่หลับไปอีกหลายคืนแล้ว