ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 347 คนบางคนคิดมากเกินไป

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ขณะมองพายุสีดำที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยนจ้าวก็เกอสูดลมหายใจลึก “อาหู่ ไปนั่งอยู่บนไฟตะเกียง ใช้ปราณจิตราคุ้มครองพิธี”

อาหู่มองบริเวณที่อยู่ไกลออกไปด้วยความเป็นห่วง แต่ยังคงทำตามคำสั่งของเยี่ยนจ้าวเกอ

ร่างของเขาลอยอยู่เหนือน้ำพุ พลางเคลื่อนปราณจิตรา นั่งลงเหนือตะเกียงไฟสีทองที่เสาสูงสองต้นค้ำไว้

พายุสีดำแทรกด้วยปราณสีม่วงจางปรากฏบนร่างของอาหู่ ครอบคลุมบ่อน้ำข้ามชั่วยามด้านตะวันตกเอาไว้

เยี่ยนจ้าวเกอเข้าปะทะกับพายุสีดำที่ม้วนมาจากสถานที่ที่อยู่ไกลออกไป

ด้านในพายุสีดำ ร่างชราร่างหนึ่งเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ สีหน้าเคร่งขรึม เป็นผู้อาวุโสเจิ้งซั่วแห่งเขานิมิตทมิฬ

ดวงตาของเจิ้งซั่วมองเยี่ยนจ้าวเกอเขม็ง

เขาไม่ได้ไปทะเลสาบน้ำแข็ง ทว่าตั้งใจตามหาร่องรอยของเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ต่อในที่ราบหิมะแดนเหนือ

ไม่รู้ควรบอกว่าเขาโชคดีเกินไป หรือว่าเยี่ยนจ้าวเกอโชคร้ายเกินไป เพราะหลังจากหาอยู่หลายวัน เจิ้งซั่วก็เจอบ่อน้ำข้ามชั่วยามจริงๆ

ครั้งนี้เจิ้งซั่วไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอีก

เขาตั้งใจทบทวนที่แกนน้ำแข็งใต้ดินก่อนหน้านี้ เพราะตนทำแผนการรั่วไหล เยี่ยนจ้าวเกอจึงวางหลุมพรางได้ เกือบจะทำให้ทุกคนถูกฝังอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง

ถึงแม้จะไม่ได้กลับไปทะเลสาบน้ำแข็ง แต่ตอนนี้เจิ้งซั่วผูกสัมพันธ์กับจอมยุทธ์แห่งตำหนักอัสนีสวรรค์แล้ว ต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก่อนหน้านี้เขาได้รับเบาะแสมาอีก ว่าเยี่ยนจ้าวเกอใช้เศษอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในทะเลสาบน้ำแข็ง ทำให้สูญเสียพลังงานมหาศาล ต่อให้ยังมีพลังหลงเหลือ เขาก็ไม่เกรงกลัว

ดังนั้น ครั้งนี้เขาจึงต้องการลงมือเอง ไม่ให้เวลาเยี่ยนจ้าวเกอเตรียมตัวและตอบโต้

ชายชราเหยียบอากาศเข้ามา พลางมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างเย็นชา สองมือกลายเป็นกรงเล็บ ข่วนลงด้านล่างพร้อมกัน

จากนั้นพายุนิมิตทมิฬอันน่ากลัวก็พุ่งจู่โจมใส่เยี่ยนจ้าวเกอจากบนฟากฟ้า

ขณะโหมกระหน่ำ พายุคล้ายกลายร่างเป็นเสือดำ ร่างของมันยาวพาดผ่านผืนฟ้าและผืนดินเป็นร้อยจั้ง ดูดุร้ายยิ่งนัก

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองอีกฝ่าย เป็นเคล็ดวิชาเทพวายุนิมิตทมิฬกับกรงเล็บภูตพยัคฆ์เหมือนกันแท้ๆ ทว่าเจิ้งซั่วใช้แล้วกลับรุนแรงยิ่งกว่าอาหู่

นี่คือมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณที่ให้กำเนิดรูปญาณวรยุทธ์ และหลอมจิตราให้กลายเป็นญาณได้สำเร็จ ยิ่งชรายิ่งแข็งแกร่ง

การโจมตีอย่างสุดกำลังของเศษดวงตาราชันสายฟ้าที่ทะเลสาบน้ำแข็งก่อนหน้านี้ ทำให้ชายชราแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ที่มีระดับพลังเดียวกันกับเจิ้งซั่วระเบิดเป็นผุยผง

เสาระเบียงวังเทพในตอนนี้กำลังผนึกเสาน้ำแข็งที่แช่แข็งซากมังกร

แต่หลายวันมานี้เยี่ยนจ้าวเกอได้พลังสายฟ้าที่เสียไปจากการใช้เศษดวงตาราชันสายฟ้ากลับมาแล้ว

กระนั้นจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะกลาง ต่อสู่กับจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณระยะต้น เป็นเรื่องที่ไม่มีหวังแม้แต่น้อย

อย่างน้อยอาหู่ก็ยอมรับว่าตนเองมิอาจทำได้

คู่ต่อสู้ผู้นี้มิใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ถึงแม้เขานิมิตทมิฬจะสูญสิ้นไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงสืบทอดต่อมา ก็คือหนึ่งในวรยุทธ์ชั้นยอดของโลกแปดพิภพ

เจิ้งซั่วส่งเสียงกู่ร้อง เสือดำที่เกิดจากปราณวิญญาณพุ่งมาถึงด้านหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ

เสือส่งเสียงคำราม เกิดลมซัดกระหน่ำ มันว่องไวยิ่งนัก แทบไม่ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ที่อยู่ในระดับเดียวกันเลย

ก่อนที่จะถูกทำลาย สำนักเขานิมิตทมิฬมีวรยุทธ์มากมาย นอกจากจะทรงพลังและดุดันแล้ว ยังขึ้นชื่อว่ามีความเร็วปานลมกรด

กรงเล็บของเจิ้งซั่วได้แสดงจุดเด่นเรื่องนี้ให้เห็นอย่างชัดเจน

เยี่ยนจ้าวเกอเจอการจู่โจมที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทว่าใบหน้ายังคงสงบนิ่ง เขาขยับร่างกายอย่างว่องไวครั้งหนึ่ง

ร่างของเยี่ยนจ้าวเกอพลันหายวับไปในพริบตา

ในตอนนี้เอง เขาใช้วรยุทธ์ที่ขึ้นชื่อในด้านความเร็วหลายชนิดอย่างทะลุปรุโปร่ง

เมื่อมีคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตเป็นพื้นฐาน ปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอจึงทั้งยิ่งใหญ่และแข็งกร้าว

ภายใต้ผลของแรงระเบิดรุนแรง เยี่ยนจ้าวเกอหลบเสือดำที่พุ่งเข้ามาหาในพริบตา

พยัคฆ์สีดำพุ่งใส่ความว่างเปล่า ก่อนจะพลิกตัวกลับมาใช้กรงเล็บข่วนตามเยี่ยนจ้าวเกอมาติดๆ

เจิ้งซั่วสีหน้าเย็นเยียบ เยี่ยนจ้าวเกอมีพลังฝึกปรือเหนือกว่าจอมยุทธ์ระดับเดียวกัน เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้

แต่เจิ้งซั่วที่เป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณ รู้พลังทั้งหมดของมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว จึงรับมือได้อย่างง่ายดาย

เขาแลกกระบวนท่าอย่างไม่ต้องใช้ความพยายาม

ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาพะว้าพะวงอยู่ก็คือเสาระเบียงวังเทพของเยี่ยนจ้าวเกอ

แม้เจิ้งซั่วจะไม่รู้ว่านั่นคืออะไร และไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรม แต่ได้ยินมาว่ามันเป็นของประหลาดล้ำค่า แม้ว่าจะไม่ได้มีพลังรุนแรงเท่าเศษอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาก็ยังต้องแอบระวังมันอยู่ดี

แต่ไม่ทันไรเขาก็พบว่าตนเองคิดมากไป

ก่อนจะพิจารณาของล้ำค่าอย่างเสาระเบียงวังเทพ และเศษดวงตาราชันสายฟ้า เขาต้องเผชิญหน้ากับพลังของเยี่ยนจ้าวเกอก่อน!

ทั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับกระบวนท่าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของเจิ้งซั่ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงมีสีหน้าราบเรียบ

ภายใต้การกระตุ้นจากวิชาดัชนีฟ้าคำรน ความเร็วในการตอบสนองของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ด้อยไปกว่าเจิ้งซั่ว ผู้มีวรยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณเลย

ขณะที่เคลื่อนไหวร่างกาย เขาหลบหลีกการโจมตีของเจิ้งซั่วอีกครั้ง ก่อนจะใช้เท้าเหยียบอากาศ ร่างกายของเขาดุจสายฟ้า ปล่อยให้กรงเล็บเสือผ่านไป ก่อนจะพุ่งตัวไปที่ท้องของเสือดำ

บัดนั้นพลันเกิดเสียงมังกรคำราม ประกายกระบี่สีเขียวมรตแหวกออกมาจากแขนเสื้อของเยี่ยนจ้าวเกอ

ชายหนุ่มรวมเป็นหนึ่งกับกระบี่ ฟาดฟันใส่ท้องของพยัคฆ์สีดำ

เจิ้งซั่วพลันเดือดดาล วาดกรงเล็บของตนอยู่ในอากาศ เสือที่เกิดจากพายุนิมิตทมิฬขยายร่างใหญ่ขึ้น มันบิดเอวครั้งหนึ่ง ก่อนจะชูกรงเล็บขึ้นป้องกันประกายกระบี่ของเยี่ยนจ้าวเกอ

เขาระบายลมหายใจยาว ประกายกระบี่สีเขียวมรกตเคลื่อนไหว พลันหายไปอย่างไม่มีเค้าลางแม้แต่น้อย

เหมือนกับมังกรเทพซ่อนหัว ยากจะหาร่องรอย

เยี่ยนจ้าวเกอขยับตัว ดัชนีฟ้าคำรนทำให้เกิดวิชามังกรเมฆาซ่อนกระบี่ จากนั้นก็ใช้ท่ามังกรเทพซ่อนหัวทันที!

ประกายกระบี่ที่รวดเร็วและดุร้ายมากกว่าก่อนหน้า ทิ่มใส่จุดอ่อนบริเวณท้องของเสือดำ

แววตาของเจิ้งซั่วหม่นลง สีหน้าจริงจังขึ้นหลายส่วน

บุคคลผู้มีความสามารถ ยิ่งต่อสู้ยิ่งร้ายกาจ ต่อให้เป็นวิชาระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ หากไปอยู่ในมือคนที่มีฝีมือแตกต่างกัน ย่อมมีอานุภาพแตกต่างกัน

เจิ้งซั่วที่มาจากเขานิมิตทมิฬเคยเห็นบุคคลอัจฉริยะจนชาชินย่อมเข้าใจข้อนี้ดี

แต่เขาพบว่าเยี่ยนจ้าวเกอตรงหน้านอกจากจะไม่อาจใช้มาตราฐานของคนธรรมดาไปวัดได้แล้ว แม้แต่พลังของบุคคลระดับสุดยอดที่เขารู้จักก็มิอาจประเมินค่าเยี่ยนจ้าวเกอได้อีกเช่นกัน!

ชายชราพบว่าตนมิอาจคำนึงถึงเศษดวงตาราชันสายฟ้า หรือสิ่งของอย่างเสาระเบียงวังเทพได้อีก มิเช่นนั้นเขาคงต้องฝังร่างอยู่ที่นี่ก่อน โดยไม่ทันได้เห็นของล้ำค่าเหล่านี้อีก

กระนั้นด้วยเขามีนิสัยหยาบกระด้าง แม้จะคิดได้ดังนี้แต่ก็ไม่ยอมถอย กลับร้องกู่ขึ้น ในมือปรากฎดาบดำเล่มหนึ่ง

เขาฟันดาบลง พายุสีดำพัดกระจายปิดบังร่างของเจิ้งซั่ว ก่อนจะพุ่งมาหาเยี่ยนจ้าวเกอ

พายุสีดำหดตัวกลายเป็นแสงสีดำ ทะลุท้องฟ้า พุ่งไปถึงตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอในพริบตา

รอบๆ บริเวณในอาณาเขตของแสงสีดำเงียบงันไร้เสียง ลมพายุหายไปแล้ว

ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงอากาศที่ถูกประกายดาบเคลื่อนผ่าน ถูกม้วนเข้าไปในประกายดาบจนหมดสิ้น

เยี่ยนจ้าวเกอที่ถูกประกายดาบหมายตารู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไหวลำบาก คล้ายกับถูกพลังอันกล้าแข็งดึงดูดอยู่นิ่งกับที่ ได้แต่ต้านรับดาบนี้เท่านั้น!

อาหู่ที่อยู่บนบ่อน้ำข้ามชั่วยามมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างกระวนกระวาย จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป แล้วหันหน้าไปมองอีกทิศทางหนึ่ง

ท่ามกลางพายุหิมะที่อยู่ไกลออกไป มีคนหนุ่มสีหน้าเคร่งขรึมถือคันธนูส่องแสงสีม่วงเล็งมาทางนี้อยู่คนหนึ่ง

หลินโจวแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์!

เขาร่วมเดินทางมากับเจิ้งซั่ว ไม่ได้ย้อนกลับทะเลสาบน้ำแข็ง!

…………..