ช่วงนี้วีนารู้สึกหนังตากระตุกจนรู้สึกอนาทรร้อนใจ
ด้วยความจนปัญญา เธอจึงโทรหาเทาเท่ พลางพูดอย่างหวาดผวาว่า“เทาเท่ ช่วงนี้แม่รู้สึกใจคอไม่ดีเลย ติดต่อพินอินไม่ได้เลย น้องเขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เทาเท่กล่าวเสียงเรียบเฉย“ขนาดแม่ยังติดต่อไม่ได้ ผมยิ่งติดต่อไม่ได้”
หลังจากครั้งนั้นที่เกือบโดนทำพูดของพินอินตรอมใจตาย เทาเท่ก็ไม่ติดต่อพินอินอีก
แน่นอน พินอินก็ไม่ติดต่อเขาเช่นกัน
วีนาพูดหยั่งเชิงว่า“ลูกลองโทรหาน้องดูสิ แม่รู้สึกน้ำเสียงน้องผิดปกติยังไงไม่รู้……”
วีนาก็บอกไม่ถูกว่าน้ำเสียงพินอินผิดปกติยังไง รู้สึกแค่ไม่มีแรงพูดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“แม่ก็รู้ว่าผมโทรไปน้องเขาก็ไม่รับ” เทาเท่กล่าวต่อไปว่า“ถ้าแม่เป็นห่วงน้อง แม่ก็ส่งคนไปดู หรือไม่ก็ให้ปู่ติดต่อกับน้องสิ”
วีนาถอนหายใจอย่างเจ็บปวด“ปู่ของลูกก็ไม่สนใจน้องเขาแล้วไง แม่เลยหมดหนทางโทรหาลูก”
เธอก็เคยขอร้องคุณท่านให้โทรหาพินอินแล้ว แต่คุณท่านบอกว่าไม่สนใจว่าพินอินจะเป็นตายร้ายดียังไง ยังบอกว่าถึงจะเกิดอะไรขึ้นกับพินอิน พินอินก็เป็นคนรนหาที่เอง โทษใครไม่ได้
“ขอโทษครับแม่ ผมก็จนปัญญา” เทาเท่ตอบวีนาหนึ่งประโยคก็วางสาย
เขาไม่มีทางหาพินอินอีก สาเหตุแรกคือพินอินไม่ยอมรับสาย สาเหตุที่สองคือ เขาไม่อยากฟังพินอินพูดจาเสียดสีหลินจือ
เขามีความคิดเดียวกับคุณปู่ เขาไม่สนใจว่าน้องสาวคนนี้จะตายหรือมีชีวิตอีกแล้ว
เทาเท่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลหนึ่งสัปดาห์ก็ออกไปได้ คุณหมอตรวจสุขภาพเขาทั่วร่างกาย มั่นใจว่าไม่มีเลือดคั่งในสมองแล้ว ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด และไม่เกิดอาการตามมา
หลินจือลากถอนหายใจยาว ๆ โอบกอดเทาเท่ด้วยน้ำตาอาบแก้ม
หนึ่งสัปดาห์นี้เธอไม่รู้พ้นมาได้ยังไง ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ตัวว่าเทาเท่สำคัญต่อตนแค่ไหน แต่ช่วงนี้พวกเธอต่องเผชิญเรื่องราวน้อยใหญ่ที่ไกรภพกับซูซีก่อขึ้น หัวใจของเธอจึงแนบชิดติดกับเขามากขึ้น
หลินจือร้องไห้ เทาเท่ก็รู้สึกสงสารจับใจ สวมกอดเธอด้วยความรู้สึกผิด“ขอโทษที่ผมปกป้องคุณไม่ดีพอ”
โทษที่เขาไม่เห็นความร้ายกาจของไกรภพแต่แรก ทำให้เธอต้องตกระกำลำบากขนาดนี้
ช่วงก่อนซูซีใส่ร้ายป้ายสีเธอว่ามีเจตนาทำร้ายคนอื่น เธอจึงโดนคนถล่มด่าไม่น้อย
ครั้งนี้ก็เกือบโดนซูซีชน แล้วยังต้องอยู่ในโรงพยาบาลกับเขาอย่างหวาดหวั่นหนึ่งอาทิตย์อีกด้วย
สาเหตุที่เกิดเรื่องพวกนี้เพราะเรื่องอดีตของพ่อแม่เขา เธอที่ไม่เกี่ยวข้องอะไร ต้องตกกระไดพลอยโจนเพราะเขา
เขาพูดแบบนี้ น้ำตาหลินจือก็ยิ่งไหลพรากกว่าเดิม“คุณปกป้องฉันดีมากพอแล้ว……”
ถ้าเขาไม่ปกป้องเธอตอนเกิดอุบัติเหตุ เขาก็คงไม่บาดเจ็บจนต้องนอนโรงพยาบาลหนึ่งอาทิตย์หรอก และเกือบต้องผ่าตัดเพราะเลือดคั่งในสมองด้วย
ทางด้านจอนห์ทำงานได้อย่างราบรื่น วันที่สองหลังจากเทาเท่ออกโรงพยาบาล จอนห์ก็รายงานว่าตามหาเพื่อนที่ชื่อ “ฟาง”ของมัลลิกาเจอแล้ว
ชื่อจริงของเธอคือฟางข้าว โชคดีที่เธออยู่แถวชานเมืองเมืองเจสเวิร์ด
เดิมทีเทาเท่คิดว่าหากเจอตัวเธอเมื่อไหร่ ไม่ว่าไกลแค่ไหนเขาก็จะไปหา แล้วพูดเหตุผลและให้เธอเห็นใจ หวังว่าเธอจะออกมาพูดไม่กี่ประโยค
ทว่าจอนห์กลับรายงานว่า“ผมเล่าเรื่องพวกนั้นให้ฟางข้าว เธอบอกว่าจะให้ความร่วมมือกับพวกเราครับ แต่ไม่อยากเปิดเผยใบหน้า และไม่อยากให้พวกเราไปหาด้วยครับ เพราะกลัวว่าจะรบกวนชีวิตสงบสุขของเธอ และกลัวตกเป็นเป้าสายตาของไกรภพครับ”
“เธอจะให้คลิปอัดเสียงครับ จะเล่าเรื่องของมัลลิกาเท่าที่เธอรู้ครับ”
เทาเท่กล่าว“แค่นี้ก็พอแล้ว”
อย่างไรเสียถึงพวกเขาจะขุดคุ้ยความจริงเรื่องนี้ออกมา ไกรภพก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อ พวกเขาจึงไม่ฝืนให้ฟางข้าวเปิดเผยใบหน้า แค่นี้ก็พอจะรบกวนอารมณ์และสมาธิของไกรภพได้แล้ว
เมื่อมั่นใจว่าหาตัวฟางข้าวเจอแล้ว ทั้งยังได้วิดีโออัดเสียงจากเธอด้วยแล้ว หลินจือก็รีบนั่งเขียนบทความที่คอมพิวเตอร์
บทความนี้สำคัญต่อพวกเขามาก มันไม่เพียงแต่ต้องเล่าเรื่องราวในอดีตให้โลกภายนอกที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ให้รับรู้ เธอยังต้องเขียนให้ไกรภพที่จมกับความแค้นตาสว่างว่ามัลลิกาไม่ได้ใสซื่อขนาดนั้น
หลินจือนั่งแช่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดช่วงเช้า เขียนแล้วลบ ลบเสร็จเขียนต่อ ทุกตัวอักษรล้วนต้องกลั่นกรองให้ดี
เทาเท่รู้สึกดีใจทีก่อนหน้านี้ตนเรียนรู้วิธีชงกาแฟและทำอาหาร ตอนที่หลินจือเหนื่อยล้า เขาก็จะยกกาแฟหอมกรุ่นไปเสิร์ฟ ทำให้หลินจืออดอมยิ้มไม่ได้
เทาเท่ดึงเธอขึ้นมาจากเก้าอี้ ก่อนจะโอบกอดแล้วถามว่า“อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง?”
“อืม” หลินจือพยักหน้า“กำลังกลุ้มอยู่ว่าจะเขียนยังไงดี แต่เห็นคุณเอากาแฟมาให้ก็ดีใจแล้ว”
เทาเท่หลุบตาพูดกับเธอด้วยสีหน้าเป็นทางการว่า“เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคุณเขียน”
พูดแล้วก็แดกดันมาก พวกเขาเคยอยู่ด้วยกันสามปี แต่เขากลับไม่เคยรู้ว่าเธอถนัดงานเขียน ยิ่งไม่เคยเห็นท่าทางเธอตอนนั่งเขียนหน้าคอมพิวเตอร์มาก่อน
หลินจือพูดอย่างรู้สึกเกรงใจว่า“ท่าทางหยาบกระด้างเกินไปใช่ไหม?”
ตอนเธอเขียนบทความชอบอยู่คนเดียว เมื่อครู่จึงลืมไปว่ายังมีเทาเท่อยู่ด้านข้าง
ไม่รู้ว่าตอนเธอคิดไม่ออกได้ดึงเส้นผมด้วยความเครียดหรือไม่ และตอนไม่รู้จะเขียนไปทางไหน เธอได้ทุบโต๊ะหรือไม่ ……
“ไม่นะ” เทาเท่รีบปฏิเสธที่เธอว่าตัวเองว่าหยาบกระด้าง ครุ่นคิดดูแล้วก็พูดว่า“น่ารักมากเลย”
ตอนเธอปวดหัวที่เขียนไม่ออก มักจะทำปากจู๋และดึงเส้นผม เขารู้สึกน่ารักมาก
ปกติเธอไม่ค่อยทำแบบนี้ วางตัวดีตลอด ยากนักที่จะได้เห็นเธอทำตัวสบาย ๆ จะบอกว่าหยาบกระด้างได้อย่างไร
หลินจือส่งเสียงฮึพูดว่า“คุณตอบแบบนี้เหมือนพูดแก้ตัว”
เทาเท่คัดค้าน“ผมพูดความจริงนะ”
ทั้งสองคุยโต้ตอบกันคนละประโยคเรื่อย ๆ เมื่อดวงตาทั้งคู่ประสานกันก็เริ่มจูบอย่างดื่มด่ำโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
มันเป็นการท้าทายต่อเทาเท่ไม่น้อย ช่วงก่อนหน้านี้หลินจือโดนซูซีใส่ร้าย จนกระทั่งเขาหายดีออกจากโรงพยาบาล เขากับหลินจือก็ไม่เคยนัวเนียกันเลย
ตอนนี้ได้สัมผัสกลิ่นกายอันหอมหวานของเธอและสัมผัสอ่อนนุ่มของผิวพรรณเธอ เขารู้สึกอยากอุ้มเธอขึ้นเตียงเหลือเกินแต่เขาประเมินความตั้งมั่นของหลินจือต่ำไป เธอรับรู้ความเสน่หาของเขาก็รีบยกมือผลักเขา “ไม่ได้ ไม่ได้ ฉันจะเขียนบทความ……”
เทาเท่โน้มน้าวด้วยเสียงแหบแห้ง“เดี๋ยวค่อยเขียนต่อสิ”
เรื่องเขียนเป็นเรื่องรอง?ช่วยชีวิตเขาคือเรื่องหลัก
สวรรค์รู้ดีว่าช่วงที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เขาได้แต่กอดเธอนอนโดยที่ทำอย่างอื่นไม่ได้ทุกคืน น้องชายเขาเก็บกดจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
หลินจือยังคิดจะดิ้น เทาเท่รีบโอบเอวเธอแล้วอุ้มขึ้นมา ดังนั้นจึงเหลือเพียงสองขาของเธอที่กำลังแกว่งไปมากลางอากาศ