* * *
อาเรียมองทิวทัศน์หนาวเหน็บราวกับหิมะจะตกลงมาพลางจิบชาอุ่นๆ
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสำคัญแล้ว มื้อเย็นวันนี้มีนัดกับอาซอยู่แล้วจึงตั้งใจจะพักผ่อนอย่างที่เคย
เพราะอย่างนั้นหลังจากตั้งใจแต่งตัวเสร็จจึงตั้งใจจะใช้เวลาที่รออาซไปกับการอ่านหนังสือ แต่ยังคงนึกถึงคำพูดและสีหน้าของเขาอยู่ตลอด
แม้จะผ่านเวลาไปนานแล้ว อาเรียยกยิ้มขึ้นพลางตกอยู่ในห้วงความคิดของตน
“…จะบอกว่าโดนหลอกใช้จากคนอื่นแต่ว่าในอดีตดิฉันก็เป็นหญิงร้ายที่เลวยิ่งกว่านั้น จึงปิดบังตัวตนจริงๆ เพื่อไม่ให้อดีตที่โดนมิเอลหลอกย้อนกลับไปเป็นแบบเดิมอีกค่ะ …บางทีคุณอาซก็อาจจะโดนดิฉันหลอกใช้อยู่ก็ได้นะคะ”
ในขณะที่สารภาพว่าเป็นหญิงร้ายแต่กลับแสดงสีหน้าดูน่าสงสารมากที่สุด พลางคิดว่าหากเป็นอาซคงจะเข้าใจอีกด้านของตนเองจึงทำท่าทางดูน่าสงสารพร้อมกับรอคำตอบ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้
อาซมองอาเรียด้วยสีหน้าสงสารราวกับเห็นตัวเองโดนเหยียดหยามพลางจับมือเธอแน่น
“เลดี้จะเป็นใครผมไม่สนใจหรอกครับ ไม่สนใจว่าในอดีตจะเคยเป็นอย่างไร แค่ตอนนี้อยู่ข้างผมก็พอแล้วครับ เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าโทษตัวเองเลย…”
ใบหน้าของเขาที่อ้อนวอนพร้อมกับจับมือของเธอแน่นเช่นนั้น มีหรือจะไม่นึกถึง สีหน้าอ้อนวอนราวกับหากเธอทำตามที่เขาขอแค่นั้น ก็จะยอมมอบทำอย่างให้
เธอรู้สึกชาตรงปลายนิ้วมือจากความกระหายในความรักที่ปรารถนาให้มองมาแค่ที่ตัวเอง
ชารู้สึกหวานขึ้นทันทีแม้จะไม่ได้ใส่น้ำตาลสักก้อน น้ำผึ้งสักหยด มีความสุขยิ่งกว่าตอนที่แม่ตัวเองได้แต่งงานกับท่านเคานต์ และต่อจากนี้เธอก็จะไม่ต้องใช้ชีวิตที่น่าสมเพชนั่นอีกต่อไป
ใบหน้าอ้อนวอนของเขาแม้จะย้อนคิดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเบื่อก็ยังนึกขึ้นมาอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีใครเคาะประตูห้องทำลายเวลาพักผ่อนของเธอ
“ใครน่ะ”
“อาเรียพอจะมีเวลาไหม”
“ท่านแม่…”
เคาน์ติสที่เหมือนจะมีธุระต้องออกไปข้างนอกตั้งแต่ตอนกลางวันจึงแต่งตัวอย่างหรูหรา ดูเหมือนว่าจะเสร็จธุระแล้ว
ทันทีที่ตอบว่าเข้ามาได้ หล่อนกลับเข้ามาในห้องของอาเรียด้วยท่าทางกังวลไม่สมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ตกแต่งอย่างงดงาม
เพราะอย่างนั้นแทนที่เธอจะหงุดหงิดเนื่องจากหล่อนเข้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของเธอ กลับรู้สึกเป็นห่วงว่าเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าจึงรีบถามเคาน์ติส
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“…หืม เอ่อ ไม่นะ จะมีเรื่องอะไรล่ะ ก็เหมือนกับทุกวันน่ะสิ”
แค่คำถามที่ธรรมดากลับตอบรับอย่างหนักแน่นเช่นนี้ ยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงไปอีก
เห็นได้ชัดว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ มองสถานการณ์แล้วดูเหมือนว่าหากถามไปตรงๆ ก็คงจะไม่บอก จึงทำเป็นไม่รู้พลางเชิญให้ดื่มชา
“นั่งสิคะ อากาศหนาวแบบนี้ ดื่มชาอุ่นๆ สักหน่อยน่าจะดีนะคะ”
“…เอาอย่างนั้นหรือ”
ไม่ปฏิเสธอะไรพลางนั่งลงฝั่งตรงข้ามทันที อาเรียจึงมั่นใจอีกครั้งว่าเคาน์ติสมีเรื่องอะไรต้องบอกกับตอนเองแน่นอน
หลังจากที่เจสซี่รินชาใหม่ให้ อาเรียสังเกตบรรยากาศจึงตั้งใจจะถามเรื่องที่เคาน์ติดปิดบังเธอ ทันใดนั้นเคาน์ติสก็ถามคำถามประหลาดอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อาเรีย ถ้าหากว่า …ถ้าลูกมีพ่อขึ้นมาจะทำอย่างไรหรือ”
“…คะ”
พ่อ ถ้าเป็นพ่อ ตอนนี้ก็มีอยู่ไม่ใช่เหรอ แม้จะเป็นพ่อที่ไร้ประโยชน์ ประคองร่างกายตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตามยังถือว่าเป็นพ่อในนามอยู่
ทันทีที่เบิกตาโตขึ้นพลางแสดงสีหน้าตอบรับราวกับไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง เคาน์ติสจึงอธิบายพร้อมกับถามอีกครั้ง
“เอ่อ ไม่ใช่พ่อที่มาจากการแต่งงานใหม่ หรือขั้นตอนพวกนั้นน่ะ เป็นพ่อแท้ๆ ของลูกน่ะ ที่เป็นสายเลือดกับลูก…”
หมายถึงพ่อแท้ๆ อย่างนั้นเหรอ อาจเพราะไม่ใช่คำถามที่เคยคิดมาก่อน อาเรียจึงไม่ได้พูดอะไรตอบพร้อมกับเผยสีหน้าตกใจ เพราะไม่รู้ว่าถามเรื่องนั้นแล้วจะให้ทำอย่างไรต่อ
อาเรียนิ่งเงียบแบบนั้นพักหนึ่ง เมื่อนึกถึงเจตนาของคำถามทำให้เธอนึกถึงข่าวลือนั่นขึ้นมาด้วย เป็นข่าวลือที่ไม่ดีจริงๆ
เพราะข่าวลือที่อาจมีความเป็นไปได้ ทำให้อาเรียหรี่ตาพร้อมกับถามเคาน์ติส
“หรือว่า พ่อที่แท้จริงจะปรากฏตัวขึ้นคะ เพื่อหวังจะได้ทรัพย์สมบัติเหรอคะ หรือขอสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเหรอคะ”
เป็นน้ำเสียงที่ทำเอาขนลุก จะว่าไปหากพ่อแท้ๆ มาปรากฏตัวเอาตอนนี้ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่ามีเจตนาอะไร
ในอดีตที่เธอต้องจมอยู่กับข่าวลือร้ายๆ จนโตมาถึงอายุยี่สิบกลางๆ ยังไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา มาปรากฏตัวเอาตอนนี้ ตอนที่เธอมีทั้งทรัพย์สินและอำนาจและก็ใกล้จะบรรลุนิติภาวะอีกด้วย ไม่สามารถคิดได้เลยว่าเขามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
แต่เคาน์ติสกลับโบกมือปฏิเสธพร้อมทั้งพูดคัดค้าน
“ไม่ใช่เพราะอย่างนั้นหรอก อย่าเข้าใจผิดไปเลย! แค่คิดว่าใกล้จะหย่าร้างเลยนึกถึงขึ้นมาเฉยๆ น่ะ…!”
แต่เนื่องจากหล่อนโบกมือปฏิเสธอย่างหนักแน่นเช่นนั้น กลับทำให้อาเรียยิ่งไม่ไว้วางใจมากขึ้น เธอคิดว่าข้ออ้างของเคาน์ติสจะต้องเป็นคำโกหกแน่
‘ปิดบังอะไรอยู่กันแน่นะ’
หรือว่าพ่อที่แท้จริงของเธอจะปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ นะ พ่อแท้ๆ ที่ทำให้เคาน์ติสต้องกังวลถึงขนาดนั้นเชียวหรือ
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้หรอก อย่างไรเสียอีกไม่นานเธอก็จะได้แต่งงานกับอาซ ไม่ว่าพ่อแท้ๆ ของเธอจะเป็นคนแบบไหนก็ไม่ส่งผลอะไรกับชีวิตของเธออยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเธอที่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อที่แท้จริงทำให้คำว่า ‘พ่อแท้ๆ’ ฟังดูแปลกใหม่สำหรับเธอมาก ทั้งยังคิดว่าจะมีหรือไม่มีก็ไม่มีอะไรต่างไปหรอก
“อย่างนั้นสินะคะ ไม่รู้สิคะ อย่างไรเสียพอลูกโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะแต่งงานออกเรือนแล้ว ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่น่ะค่ะ”
“…อย่างนั้นหรือ”
“ค่ะ ถึงจะเจอพ่อที่แท้จริงตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรต่างออกไปหรอกค่ะ”
“ถ้าหากเขาสามารถช่วยเหลือลูกได้ล่ะ”
“…ช่วยเหลือเหรอคะ ไม่รู้สิคะ ถ้าบอกว่าจะช่วยลูกก็ยินดีรับค่ะ ว่าแต่ใครกันที่สามารถช่วยลูกได้เหรอคะ ไม่มีอะไรอยากขอให้ช่วยด้วยซ้ำ ทุกอย่างลูกสร้างเองมาทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ต้องช่วยลูกนะคะ แต่ว่าถ้าพ่อแท้ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ ขอแค่ไม่มาขัดขวางลูกเท่านั้นก็พอค่ะ”
เมื่อตอบกลับอย่างเย็นชาเคาน์ติสจึงเผยสีหน้าน่าอนาถใจ มองลูกสาวของเธอที่กำลังพูดถึงพ่อตัวเองอย่างเย็นชาแบบนั้นด้วยสายตาที่น่าสงสารมาก
การได้รับความเห็นอกเห็นใจจากแม่ของตัวเองไม่ใช่ใครอื่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่แสดงอาการอื่นใดออกไปพร้อมกับถามเหตุผลที่ของคำถามเหล่านั้น
“คำตอบลูกมีเท่านี้ค่ะ ทำไมถึงถามเรื่องแบบนี้เหรอคะ”
“…เปล่าหรอก ไม่มีความหมายอะไรหรอก อย่างไรก็ตามลูกหมายถึง… ดีใช่ไหม แค่ไม่มารบกวนลูกก็พอใช่ไหมล่ะ และถ้าหากเขาสามารถช่วยเหลืออะไรลูกได้ ก็ยินดีที่จะรับ”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ อย่างไรเสียหากเป็นคนที่มารบกวนหรือขัดขวางทางของลูก ต่อให้เป็นพ่อแท้ๆ หนูก็ไม่อยู่เฉยแน่”
คำตอบที่เด็ดขาดของเธอ ทำให้เคาน์ติสตกอยู่ในห้วงความคิดอีกครั้ง
คิดอะไรอยู่กันแน่นะ หรือกำลังคิดอยู่ว่าพ่อแท้ๆ ของเธอจะสามารถช่วยเหลือเธอได้อย่างนั้นเหรอ
อาเรียก็ตกอยู่ในห้วงความคิดบรรยากาศจึงเงียบอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามาจากนอกหน้าต่างจากนั้นไม่นานแอนนี่ก็มาเคาะประตูพร้อมกับตะโกนเสียงดังวุ่นวาย
“เลดี้! เลดี้! เจ้าชายเสด็จค่ะ!”
“ถ้าอย่างนั้นลูกขอตัวไปรับประทานมื้อเย็นก่อนนะคะ พอดีมีนัดน่ะค่ะ ดูท่าเจ้าชายจะมาแล้ว ขอโทษนะคะ คำถามมีเท่านี้ใช่ไหมคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วหนูขอตัวก่อนนะคะ”
“…อืม แม่แค่เบื่อนิดหน่อยเลยลองถามดูน่ะ รีบออกไปรับเจ้าชายเร็วเข้า จะให้ท่านเป็นฝ่ายรอไม่ได้นะ”
หรือเพราะพูดไปก่อนหน้านี้ว่าอย่าให้มารบกวนอย่างนั้นเหรอ เคาน์ติสกลัวว่าจะทำให้อาเรียต้องไปสายเพราะตัวเองจึงโน้มน้าวให้เธอรีบออกไปข้างนอกเป็นประเวประวิง เป็นภาพที่กลัวว่าจะตนเองจะทำให้อาเรียต้องลำบาก
อาเรียที่ก่อนหน้ารีบออกไปข้างนอกกลับหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม นอกจากตกใจที่จู่ๆ ก็พูดเรื่องพ่อแท้ๆ ของตัวเอง และดูเหมือนเธอจะจบบทสนทนาอย่างเย็นชาเกินไปจึงรู้สึกไม่สบายใจนัก
แน่นอนว่าเพราะอาเรียยังไม่รู้ตัวตนของพ่อแท้ๆ ว่าเป็นใครจึงรู้สึกไม่ยินดีเท่าไหร่นัก แต่ไม่ใช่กับเคาน์ติสที่เป็นแม่แท้ๆ ของเธอ แม้จะไม่ได้มอบความรักให้เธอมากก็ตาม แต่อย่างไรเสียหล่อนก็เป็นคนคลอดและเลี้ยงดูเธอมา จนได้เข้ามาในตระกูลท่านเคานต์
อาเรียจึงเริ่มพูดก่อนจะออกจากห้อง
“…ความเห็นของลูกเป็นอย่างนั้นค่ะ แต่ถ้าหาก… หากพ่อที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้นมาแล้วเขาทำให้แม่หวั่นไหว แม่ทำตามที่ใจต้องการได้เลยค่ะ”
“…หื้ม”
เห็นว่าลุกขึ้นยืนทันทีราวกับจะออกไปข้างนอก จู่ๆ กลับพูดเรื่องที่ไม่คาดคิดทำให้เคาน์ติสเผยสีหน้าตกใจอย่างมาก เธอมีสีหน้าราวกับไม่เข้าใจว่าอาเรียหมายถึงอะไร
เพราะอย่างนั้นอาเรียจึงตอบสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ลูกสามารถใช้ชีวิตต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร แม่ก็อย่าไปนึกถึงทรัพย์สินตำแหน่งเลยค่ะ ทำตามที่ใจต้องการได้เลยค่ะ ไม่นานมานี้ลูกเพิ่งเข้าใจได้ว่าคนที่เราอยู่ด้วยส่งผลต่อชีวิตมากแค่ไหนน่ะค่ะ”
“อาเรีย…”
เคาน์ติสที่เพิ่งเข้าใจความหมายคำพูดของอาเรียได้แต่ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง แล้วน้ำตาแห่งความซาบซึ้งก็พรั่งพรูออกมา
หลังจากคุยกันจบทันทีที่ลงไปยังชั้นหนึ่งก็เห็นอาซยืนถือช่อดอกทิวลิปยืนรออาเรียอยู่
อย่างไรเสียก็จะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว รออยู่ที่รถม้าก็ได้นี่นา ถึงกับต้องกอดทิวลิปช่อใหญ่ไว้ในอกพร้อมกับยืนรอที่ฮอลล์อย่างใจเย็นเช่นนั้น
อะไรทำให้อาซประหม่าขนาดนั้นกันนะ ไม่ต้องแสดงออกเกินไปขนาดนี้ก็ได้ เธอไม่หนีไปไหนหรอก
อาเรียที่ยังไม่เข้าใจความจริงที่ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะความมีเสน่ห์ที่มากจนเกินไปของตัวเอง เธอยิ้มน้อยๆ พลางเรียกอาซ
“คุณอาซ”
“เลดี้”
ทันใดนั้นอาซที่มองตรงหน้าอย่างนิ่งเฉยกลับเปลี่ยนเป็นเผยยิ้มกว้างพร้อมกับเดินเข้าใกล้อาเรีย ราวกับสุนัขที่เจอเจ้าของทำให้ข้ารับใช้ที่ยืนรออยู่เห็นภาพเหล่านั้นหน้าแดงก่ำ
“มาเร็วนะคะ”
“พอดีว่าเสร็จงานเร็วน่ะครับ ถึงจะเร็วไปหน่อยก็ตาม เพราะผมอยากพบเลดี้เร็วๆ จนแทบทนไม่ได้เลยครับ”
อาเรียที่รอพลางคิดเรื่องอาซทั้งวัน ส่งรอยยิ้มให้อาซราวกับจะบอกว่าทำได้ดีแล้ว
“เอาช่อดอกไม้ไปวางตกแต่งในห้องฉันหน่อยได้ไหม”
“ได้เลยค่ะ! เลดี้!”
อาเรียฝากช่อดอกไม้ไว้กับข้ารับใช้ที่ยืนรออยู่คนหนึ่ง จากนั้นจึงออกไปข้างนอกพร้อมกับอาซ เพราะไม่อยากให้มีคนมารบกวนเวลาของเธอและอาซจึงไม่พาข้ารับใช้และองครักษ์ติดตัวไปด้วย
อาซที่นั่งชมความงามของอาเรียตรงฝั่งตรงข้าม จู่ๆ กลับย้ายที่นั่งมานั่งข้างเธอ จากนั้นจึงประสานมือตัวเองกับอาเรียพลางถาม
“จับมือได้ไหมครับ”
มีที่ไหนจับมือแล้วค่อยถามเช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่คิดไว้แล้วว่าอาเรียจะไม่ปฏิเสธแน่ๆ
อาเรียได้แต่หัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ถ้าบอกว่าไม่ให้จับ จะปล่อยมือเหรอคะ”
“ไม่ครับ”
คำตอบเด็ดขาดเช่นนี้ทำให้เธอพอใจมาก ความสัมพันธ์ที่ผ่านเวลามาหลายปีเพียงแค่ขอจับมือแบบนี้ยังดูน่ารักเสียจริง
แน่นอนว่าครั้งที่แล้วเธอได้อธิบายเรื่องในอดีตรวมไปถึงอายุที่ใกล้จะถึงสามสิบปีของเธอแล้วนะ แต่เขาก็ทำแค่จับมือเองอย่างนั้นเหรอ
เพราะอย่างนั้นอาเรียจึงเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าใกล้อาซก่อน พร้อมกับนำมือข้างที่เหลือจับที่หูของเขา
“ปลายหูแดงแล้วนะคะ… ร้อนเหรอคะ ให้เปิดหน้าต่างไหม”
จู่ๆ อาเรียที่ขยับตัวเองเข้ามาใกล้โดยที่อาซยังไม่ทันตั้งตัว ทำให้อาซกลืนน้ำลายแห้งพลางตอบอาเรีย
“…ไม่ครับ …ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้วครับ”
“…อย่างนั้นเหรอคะ”
เป็นเพราะสารภาพไปแล้วว่าความคิดของเธอแก่กว่าเขาตั้งสิบปี
หากเหมือนแต่ก่อนอาเรียที่ยังไร้เดียงสาอาจจะคิดว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีความหมายอะไร แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะการกระทำทุกอย่างได้ถูกคิดคำนวณไว้แล้ว จึงไม่หลีกหนีการกระทำที่ไม่คาดคิดของอาเรีย
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนเขาจะคิดว่าควรอดใจไว้เนื่องจากอาเรียยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย ต่างจากสายตาเป็นประกายสีฟ้า เขาเพียงแค่ลูบแก้มของเธอด้วยมืออีกข้างหนึ่งอย่างนุ่มนวลเท่านั้น
แต่เพราะอดีตของอาเรียที่ผ่านประสบการณ์มามากนั้นความใกล้และอยู่ในที่ลับแบบนี้ ทำให้ปลายนิ้วของเธอสั่นไหว
ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในที่ที่ลับตาเช่นนั้นผ่านไปไม่นาน ความเร็วของรถม้าก็ค่อยๆ ลดลง จนกระทั่งหยุดลง
“ถึงแล้วครับ”
“….”
“….”
เป็นเพราะร้านอาหารที่จองเอาไว้อยู่ใกล้กับคฤหาสน์ท่านเคานต์มาก
แม้จะได้ยินคนขับรถม้าแล้วก็ตามอาเรียที่มองความวิเศษในตาของอาซอยู่จึงขยับตัวออก
อาซจึงเอื้อมมือไปจับอาเรียอีกครั้งราวกับเสียดายไออุ่นของเธอ
“ครั้งหน้าจะจองร้านอาหารอาณาจักรโครอานะครับ”
จากนั้นจึงถอนหายใจพร้อมกับระบายความรู้สึกที่ไม่พอใจของตัวเองออกมา กว่าจะถึงอาณาจักรโครอาเดินทางไปโดยไม่หยุดพักยังใช้เวลาเกือบค่อนวัน ตั้งใจจะทำอะไรกัน
ในความหมายที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเช่นนั้น อาเรียจับมืออาซพร้อมกับลงจากรถม้า และเข้าไปในร้านอาหารด้วยกัน
“ไม่รู้สิคะ ไม่จำเป็นต้องไปถึงข้างนอกมั้งคะ บางทีไม่ต้องออกไปข้างนอกอาจจะดีกว่าก็ได้นะคะ”
อาซที่ก้าวเดินไปอย่างช้าๆ กลับหยุดชะงัก
ไม่ได้พูดตอบอะไรพร้อมกับก้มลงไปมองใบหน้าอาเรีย เนื่องจากเป็นใบหน้าที่บ่งบอกว่าอยากจะทำแบบนั้น อาเรียจึงกระตุ้นให้เขาเร่งฝีเท้าพลางเผยรอยยิ้มพร้อมกับพูด
“รีบผ่านหนึ่งปี ไปปีหน้าเร็วๆ ก็คงจะดีนะคะ”
คำพูดปนเสียงหัวเราะนั้นทำให้อาซคิ้วขมวดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“…จริงเหรอครับ อย่างนั้นสินะ”
ฝีเท้าของอาซที่ก้าวต่อเริ่มหนักขึ้นเล็กน้อย
……………………….