บทที่ 1698+1699

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1698 ถ้างั้นนางไปไหนกันล่ะ?

เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมีความเป็นไปได้อยู่สองกรณี หนึ่งคืออีกฝ่ายต้องเข้าไปในพื้นที่อันตรายอันใด เกรงว่าถ้ามีการสื่อสารแล้วจะเสียสมาธิ จึงปิดป้ายหยกสื่อสารเสีย เหมือนการปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ สองคือป้ายหยกแผ่นั้นได้รับความเสียหายอันใดเข้า ทำให้ขัดข้องอย่างสิ้นเชิง

แล้วนางเป็นแบบไหนกัน?

เขาจำได้ว่ายามที่เข้าไปพร้อมนาง ป้ายหยกบนกายนางยังเปิดใช้งานอยู่…

ไม่มีเหตุผลเลยที่เข้าไปตามหาเยี่ยนเฉินแล้วต้องปิดป้ายหยกเป็นการเฉพาะ หรือว่า…จะเป็นแบบที่สอง?

เขาฝืนข่มความว้าวุ่นใจไว้ มองไปที่หลัวจั่นอวี่ “เจ้าลองใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อนางซิ!”

นัยน์ตาหลัวจั่นอวี่แดงก่ำไปหมดแล้ว “ก่อนหน้านี้ติดต่อดูแล้ว ติดต่อไม่ได้เลย!”

พูดอีกอย่างก็คือ ยันต์ถ่ายทอดเสียงบนกายนางก็ปิดใช้งานอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน หรืออาจกล่าวได้ว่าเสียหายไปแล้วเหมือนกัน

จู่ๆ หลานเยวี่ยก็ร้องตะโกนขึ้นมา “นี่ ข้าติดต่อเยี่ยนเฉินได้แล้ว!”

สายตาของหลัวจั่นอวี่และตี้ฝูอีล้วนสว่างวาบขึ้นมาทั้งคู่ มองเขาอย่างพร้อมเพรียง ตี้ฝูอีพลันยื่นมือไปฉวยยันต์ถ่ายทอดเสียงมาจากหลานเยวี่ย “เยี่ยนเฉิน ซีจิ่วล่ะ?”

เยี่ยนเฉินชะงักไปแวบหนึ่ง “นางไม่ได้ไปหาพวกท่านหรือ? หลังจากนางช่วยข้าออกมาก็จากไปเลย ข้านึกว่านางไปหาพวกท่านเสียอีก”

เดิมทีหลังจากเยี่ยนเฉินบุกเข้าไปไม่นานก็ประสบอันตราย ถูกกลไกจนแทบจะร่วงหล่นลงสู่โลหิตพิษแล้ว ในช่วงเวลาคับขันกู้ซีจิ่วได้ใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อมาหาเขา จากนั้นก็เคลื่อนย้ายมาโผล่ตรงหน้า และช่วยเหลือเขาไว้

เมื่อเยี่ยนเฉินทราบว่าหลานไว่หูรอดพ้นจากอันตรายแล้ว ย่อมไม่คิดจะรั้งอยู่ด้านในไปมากกว่านี้อีก

ขณะที่เดินทางออกมาพร้อมกับกู้ซีจิ่ว แผ่นดินไหวที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ไล่ตามขึ้นมาแล้ว…

กู้ซีจิ่วตอบสนองว่องไว คว้าเยี่ยนเฉินไว้แล้วใช้วิชาเคลื่อนย้าย เนื่องจากจิตใจกระวนกระวาย ระยะทางที่กู้ซีจิ่วพาเยี่ยนเฉินเคลื่อนไปจึงค่อนข้างไกล พุ่งทะยานออกไปถึงห้าสิบลี้ จากนั้นนางก็ให้เยี่ยนเฉินไปเยี่ยมหลานไว่หูที่อยู่กับหลงซือเย่ด้วยตัวเอง นางยังมีธุระด่วนอย่างอื่นอยู่ ใช้วิชาเคลื่อนย้ายหายตัวไปทันที…

เยี่ยนเฉินพะวงถึงจิ้งจอกน้อย ติดต่อหาหลงซือเย่โดยตรง สอบถามว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ขณะที่เร่งเดินทางไปยังที่นั่น ก็ได้รับการถ่ายทอดเสียงมาจากหลานเยวี่ย ถึงรู้ว่ากู้ซีจิ่วไม่ได้ไปสมทบกับพวกหลานเยวี่ย…

ถ้างั้นนางไปไหนกันล่ะ?

นางออกไปตามหาโม่เจ้าโดยตรงงั้นหรือ?!

ตี้ฝูอีทราบความจากปากคำของหลานจิ้งอี๋ ผู้บงการอยู่หลังม่านคือ ‘หรงเจียหลัว’ ทว่ากลับเรียกขานตนว่าข้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนกู้ซีจิ่วก็เรียกขานอีกฝ่ายว่า ‘โม่เจ้า’

หากไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ หรงเจียหลัวน่าจะถูกโม่เจ้าสิงร่างอย่างสมบูรณ์แล้ว!

ตำหนักใต้ดินและสระโลหิตด้านล่างเป็นโม่เจ้าที่สร้างขึ้น ถึงแม้ตี้ฝูอีจะไม่ได้เผชิญหน้ากับโม่เจ้าแต่ก็ทราบถึงวิทยายุทธ์ของเขาอย่างล้ำลึก มารสวรรค์ที่ใช้ชีวิตมาหลายพันปีตนหนึ่ง ต่อให้พลังยุทธ์ไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่ก็มิใช่ผู้ที่เด็กสาวที่มีพลังยุทธ์เพียงไม่กี่สิบปีจะไปเทียบเคียงได้

และจากถ้อยคำประโยคสุดท้ายที่เขาเอ่ยออกมาว่า ‘ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า’ เขาทราบถึงฐานะสูงสุดของกู้ซีจิ่วแล้ว! มีความเป็นไปได้สูงที่พุ่งเป้าทุกอย่างไปที่นาง สังหารนางให้สิ้นซาก!

หากว่านางเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพังจะอันตรายยิ่งนัก กล่าวได้ว่าไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย…

นับเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ตี้ฝูอีกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง นิ้วมือที่อยู่ในแขนเสื้อสั่นระริก

หลานจิ้งอี๋ที่ถูกเขาห่อหุ้มอยู่ในเขตแดนที่ด้านหลังย่อมสัมผัสถึงอารมณ์ของเขาได้ ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พี่หวง ท่านอย่ากังวลเลย นางมีวิชาเคลื่อนย้าย สู้ไม่ไหวก็ยังหลบหนีเป็น ก่อนหน้านี้ก็หลบหนีได้ว่องไวยิ่ง พวกเราล้วนตามไม่ทัน นางช่างเหลือเกินจริงๆ แล่นออกไปไม่บอกกล่าวผู้ใดเลยสักคำ ยามนี้ก็ไม่ทราบแล้วว่าไปซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบมุมใด เจตนาทำให้ผู้อื่นเป็นห่วง…”

เอ่ยวาจายังไม่จบ จู่ๆ ก็หวีดร้องเสียงแหลม!

เขตแดนที่ห่อหุ้มนางอยู่แตกอกในทันใด ร่างนางร่วงดิ่งลงไปอย่างไม่อาจควบคุมได้!

—————————————————————————

บทที่ 1699 เจ้าคนบ้ากามปล่อยข้านะ!

ด้านล่างคือวังใต้พิภพที่กำลังพังทลาย ภายในวังใต้พิภพมีโลหิตพิษระเบิดออกมาทั่วทั้งพื้นที่…

หากนางตกลงไปด้านใน ไหนเลยจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้?

ทันทีที่นางกำลังจะตกลงไป เชือกเล็กเส้นหนึ่งก็ดึงนางขึ้นมา…จากนั้นก็ร่อนลงสู่อ้อมกอดของหลานเยวี่ยที่ยังคงตกตะลึงอยู่บ้าง

หลานเยวี่ยทึมทื่อกับนางเงือกที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า เกือบรับไว้ไม่ไหว จิตใต้สำนึกเขาพลันคว้าจับคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้ คิดจะดึงนางขึ้นมา

ทว่าอาภรณ์เดิมของหลานจิ้งอี๋ถูกฉีกจนขาดวิ่น บนร่างนางมีเพียงเสื้อคลุมด้านนอกตัวหนึ่งที่ตี้ฝูอีให้ไว้เพื่อบดบังความอับอาย เสื้อคลุมหลวมโคร่ง เมื่อหลานเยวี่ยดึงก็เผลอแหวกสาบเสื้อของนางออกโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนางกรีดร้องเสียงแหลม ร่างกายก็พลันลื่นหลุดจากเสื้อคลุม หล่นลงไปเบื้องล่างอีกครา…

หลานเยวี่ยกระทำการอย่างเฉียบแหลมและตอบโต้อย่างรวดเร็ว รีบคว้านางเอาไว้อีกครั้ง สัมผัสนั้นนุ่มลื่น เมื่อเขาก้มลงมอง เหงื่อพลันผุดพรายเต็มใบหน้า! สิ่งที่เขาคว้าไว้อยู่ก็คือหางเงือกของอีกฝั่ง ห้อยกลับหัวอยู่ตรงนั้น

ห้อยกลับหัวก็ช่างเถิด ประเด็นคือนางยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าอีก…

หลานจิ้งอี๋ทั้งอับอายและโกรธเคือง อดไม่ได้ที่จะดิ้นรน “ปล่อยข้านะ! เจ้าคนบ้ากามปล่อยข้านะ!”

สัตบุรุษผิดจริยาห้ามดู แน่นอนว่าหากผิดจริยายิ่งห้ามแตะต้อง หลานเยวี่ยยอมรับว่าตัวเองชีกอทว่าไม่ต่ำช้า ยิ่งไม่ยินยอมเป็นคนบ้ากาม เขาจึงหลับตาลงแล้วคลายมือ

ดังนั้นหลานจิ้งอี๋จึงร่วงหล่นลงไปอีกครั้ง!

หลานจิ้งอี๋ตกใจจนขวัญแทบจะเตลิดไปแล้ว! ในช่วงเวลาขับขันในที่สุด นางสร้างใยเงือกหมุนเกลียวขึ้นไปบนเอวของหลานเยวี่ย จากนั้นก็ออกแรงดึง เรือนกายพุ่งทะยานขึ้นมาเข้าสู่อ้อมกอดของหลานเยวี่ย

เรือนกายของหลานเยวี่ยยืดตรงดุจต้นสน แขนทั้งสองข้างกางออกดั่งกระเรียน ท่าทางหลบเลี่ยงข้อกังขาเต็มที่ “แม่นาง โปรดสงวนท่าทีไว้บ้าง อย่าเอาแต่โผเข้าสู่อ้อมกอดข้า”

การเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ของหลานจิ้งอี๋ทำให้บาดแผลที่ยากจะสมานเปิดอีกครั้งหนึ่ง หยาดโลหิตไหลริน เจ็บปวดจนนางเกือบสลบไป

ทว่านางดึงสายคาดเอวของหลานเยวี่ยไว้แน่น เกรงว่าจะร่วงหล่นลงไปอีก กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ช่วยข้าด้วย…”

เดิมทีคุณสมบัติร่างกายของนางย่ำแย่ ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ตี้ฝูอีหลอมโอสถลับให้นางจำนวนมาก จึงทำให้พลังวิญญาณของนางพัฒนาก้าวหน้าประหนึ่งดอกงาผลิบาน ฝืนทะลวงขั้นเก้าได้แล้ว ทว่านางไร้ซึ่งพรสวรรค์จริงๆ ถึงแม้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้น วรยุทธ์ที่แท้จริงของนางกลับไม่เอาไหน ยามนี้เมื่อบาดเจ็บสาหัส แม้แต่วิชาพื้นฐานอย่างวิชาเหาะเหินก็ใช้ไม่ได้ ทำได้เพียงอาศัยคนอื่นพานางไป มิเช่นนั้น หากนางตกลงไปจะหลอมละลายกลายเป็นน้ำหนองทันทีแน่นอน…

เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ยามนี้นางไม่สนใจแล้วว่าเสียหน้ารึไม่เสียหน้า จับหลานเยวี่ยไว้แน่นไม่ยอมปล่อย นางกวาดตามองรอบด้านอีกครั้ง ตี้ฝูอีหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว!

เห็นได้ชัดว่าเขาไปตามหากู้ซีจิ่ว…

หลานจิ้งอี๋ทั้งเศร้าโศกและโกรธเคือง ทั้งหวาดกลัวและตื่นตระหนก ดวงหน้าน้อยๆ ซีดขาวไปหมดแล้ว

หลานเยวี่ยไม่ได้ทิ้งนางเอาไว้ อย่างไรเสียเมื่อสักครู่ตี้ฝูอีก็กล่าวทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคก่อนหายตัวไป “รักษานาง อย่าให้นางมีอันเป็นไป”

คำพูดของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ หลานเยวี่ยไม่กล้าไม่ฟัง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเลือกช่วยเหลือนางเท่านั้น

ทว่านางเงือกที่เปลือยเปล่านางหนึ่งแขวนห้อยอยู่ที่เอวของเขาอย่างไรเสียก็ดูไม่เหมาะสม หลานเยวี่ยรู้สึกว่าหนังหน้าของตัวเองยังคงมีค่า เขาไม่อยากเอามันมาทิ้งไว้ที่นี่

ดังนั้นจึงยกมือขึ้นโยนเสื้อคลุมสตรีไปบนร่างนาง “แม่นาง เปลือยเปล่าไม่เหมาะสม รบกวนสวมเสื้อคลุมเถิด อีกอย่างข้าจิตใจหยาบกระด้าง ไม่เข้าใจการทะนุถนอมอ่อนโยนกับสตรี ดังนั้นเจ้าไม่ต้องทำแง่งอนกับข้า มิเช่นนั้นหากข้าไม่พอใจไม่แน่อาจจะเตะเจ้าลงไปก็ได้…”

หลานจิ้งอี๋นิ่งอึ้ง ใบหน้างดงามของนางแดงก่ำ ไม่กล้าพูดจาแม้แต่คำเดียว

หลานเยวี่ยสร้างเขตแดนห่อหุ้มนางไว้ไม่ได้ และไม่ยินยอมอุ้มนาง ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิด…

————————————————————————–