ผู้อาวุโสหกยังคงตะโกนด่าสาปแช่งโวยวาย

วิทยายุทธของเขานั้นสูงส่งเก่งกาจมาก องครักษ์ธรรมดาหรือเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ แม้แต่องครักษ์ลับก็ไม่คู่ควร

จวนหานอ๋องเริ่มการใช้งานค่ายกล เพื่อหลอกล่อให้เขาต้องตายลงในค่ายกลแห่งนี้

เสียงของเขาแหบแห้งอย่างมาก

ซูมู่มองออกไปข้างนอก “ไม่เช่นนั้น ข้าไปจัดการเขาแทนท่าน”

เยี่ยจิ่งหานไม่พูดอะไร

แต่ก็เป็นการยอมรับเช่นกัน

ซูมู่โยนผลไม้ในมือลงและถอนหายใจ “รู้อยู่แล้วว่าจวนหานอ๋องของท่านไม่มีอะไรดี ข้าเองที่โชคร้ายที่มีเพื่อนอย่างท่าน”

“ก็แค่เผ่าหยก ข้าก็ไม่ชอบพวกเขาอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ใช้โอกาสนี้จัดการพวกเขาแทนท่านได้ก็ดีไปเลย”

“ไล่เขาไปก็ได้แล้ว อย่าทำอะไรมากเกินไปเลย”

“เห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อนอย่างนั้นหรือ”

เยี่ยจิ่งหานจ้องมองไปที่เขาอย่างโกรธเคือง

ซูมู่หดคอลงเล็กน้อยและกล่าวอย่างหวาดกลัว แต่แววตาและท่าทางของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น

“ก็ได้ๆ คิดเสียว่าข้าพูดผิด แต่เป็นเห็นน้องสาวดีกว่าเพื่อนได้เหรือไม่”

คำว่าน้องสาวที่พูดออกมา

ทันใดนั้นบรรยากาศก็เยือกเย็นลง

ซูมู่สะบัดความเยือกเย็นในร่างกายออกและเปลี่ยนคำพูดอีกครั้ง

“ข้าพูดผิดอีกแล้ว ช่างเถอะ ข้าไปจัดการตาเฒ่านั่นดีกว่า”

หลังจากที่ซูมู่เดินออกไป ภายในห้องก็เงียบสงัดลง

เยี่ยจิ่งหานมองไปยังเรือนอุสุมและยังคงรู้สึกเป็นกังวล

เขาอยากจะเรียกผู้อาวุโสหกเข้ามาเพื่อถามเหตุผลให้ละเอียดชัดเจน

แต่ก็กลัวว่าร่างกายที่ทรุดโทรมของเขานั้นจะถูกกู้ชูหน่วนรับรู้เข้าและจะทำให้นางเป็นห่วง

จู่ๆ เสียงที่ดังเอะอะโวยวายข้างนอกนั้นก็เงียบสงบลง และไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหกและซูมู่พูดคุยอะไรกันบ้าง

เยี่ยจิ่งหานตั้งใจฟัง แต่เป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่สาหัสเหลือเกิน จึงทำให้การได้ยินรับรู้ของเขานั้นลดลงและฟังไม่ได้ยินอะไร

“เจี้ยงเสวี่ย พวกเขากำลังพูดอะไรกันหรือ?”

“นายท่านขอรับ คุณชายซูมู่บอกให้ผู้อาวุโสหกกลับไป แต่ผู้อาวุโสหกยืนยันจะพบท่านให้ได้ และด่าทอท่านตลอดเวลาขอรับ”

“คุณชายซู่มู่โมโหอย่างมาก จึง……จึงพูดไปว่าท่านตายแล้วขอรับ”

“ผู้อาวุโสหกไม่เชื่อ บอกว่าหากตายแล้วจะขอเห็นศพ แต่หากยังมีชีวิตอยู่จะต้องพบท่านให้ได้ขอรับ”

“คุณชายซูมู่ยังบอกอีกว่า เผ่าหยกไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้เห็นศพของท่าน หากต้องการเห็นศพของท่าน เช่นนั้นก็ให้พระชายาเป็นคนมาดูด้วยตาขอรับ”

เยี่ยจิ่งหาน “……”

เจี้ยงเสวี่ยก้มหน้าและกล่าวต่อ “ผู้อาวุโสหกกล่าวว่าพระชายาต้องควักหัวใจของตัวเองออกมาเพื่อทำพิธีสังเวยบูชา เพื่อจะได้ทำการหลอมรวมไข่มุกมังกรสำหรับกำจัดคำสาปโลหิตขอรับ”

ทันใดนั้นเยี่ยจิ่งหานก็เงยหน้าขึ้นมา

“เจ้าว่าอะไรนะ ควักหัวใจและเลือดของตัวเอง?”

“ใช่ขอรับ ผู้อาวุโสหกกล่าวว่า ไข่มุกมังกรไม่สามารถหลอมรวมได้เพราะยังขาดยาที่สำคัญที่สุดอีกชนิดหนึ่ง และยานั้นก็คือหัวใจและเลือดของพระชายาทั้งหมด มีเพียงแค่พระชายาเท่านั้นที่สามารถสังเวยชีวิตเพื่อพิธีบูชายันนี้ คำสาปโลหิตถึงจะถูกกำจัดลงได้”

“แอ่ม……อัก……”

“นายท่าน เหตุใดท่านถึงยังกระอักเลือดออกมาอีก หมอ รีบไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้”

“รีบพาข้าไปเผ่าหยกเดี๋ยวนี้ ห้ามเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวเด็ดขาด เร็วเข้า……”

“นายท่าน ไม่ทันแล้วขอรับ ผู้อาวุโสหกกล่าวว่า เวลาเที่ยงวันพวกเขาก็เริ่มทำพิธีแล้ว ตอนนี้ได้เลยเวลาเที่ยงวันไปแล้ว อีกอย่างกว่าจะเดินทางไปถึงเผ่าหยก ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนาน ต่อให้เราบินไปตอนนี้ ก็……ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้”

เยี่ยจิ่งหานหกล้ม

เดิมทีเขาก็บาดเจ็บสาหัสมากอยู่แล้ว

ยิ่งมีเรื่องมากระทบจิตใจเช่นนี้ จึงทำให้อาการบาดเจ็บของเขายิ่งสาหัสมากขึ้น

เขาหมดสติไป

หมอจำนวนมากต่างพากันมารักษาอยู่เป็นเวลานาน จึงทำให้เยี่ยจิ่งหานฟื้นมีสติขึ้นได้อีกครั้ง

“เผ่าหยก รีบไปที่เผ่าหยกเดี๋ยวนี้ ข้าไม่เชื่อว่านางจะตาย”

เยี่ยจิ่งหานพยายามจะลุกขึ้น แต่เพราะเขาบาดเจ็บสาหัสจึงทำให้ไม่สามารถลุกขึ้นได้

จากนั้นเขาจึงหยิบเข็มเงินขึ้นมาและฝังเข็มไปยังจุดฝังเข็มไป่หลิง

“ท่านอ๋อง……”

“นายท่าน……”

“ทำเช่นนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เดิมทีพระองค์ยังมีเวลาเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น แต่เมื่อฝังเข็มที่จุดไป่หลิงเข้าไป อย่างมาก……อย่างมากก็มีเวลาเหลืออยู่เพียงครึ่งเดือนเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ”

“หากนางตายไป ต่อให้ข้าจะมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร?”

เมื่อจุดฝังเข็มไป่หลิงทำให้เลือดลมกระจายไปทั่วร่างกาย อาการของเยี่ยจิ่งหานก็ดีขึ้นเป็นปลิดทิ้ง จังหวะการหายใจของเขาก็ดีขึ้นอย่างมาก เพียงแต่เพราะเขาบาดเจ็บสาหัสมากเกินไป จึงทำให้วิทยายุทธขอเขายังฟื้นฟูกลับมาได้ไม่เต็มที่

“เตรียมม้าเร็วเอาไว้หลายๆ ตัว และสั่งให้คนเปลี่ยนม้าเร็วทุกๆ สิบลี้”

“ขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ

เยี่ยจิ่งหานหยิบเสื้อคลุมและรีบออกไปหาผู้อาวุโสหกเพื่อออกเดินทางพร้อมกัน

ไกลออกไปและยังมองไม่เห็นผู้อาวุโสหก แต่กลับได้ยินเสียงของผู้อาวุโสหกและซูมู่กำลังพูดคุยกันอยู่

“ออกไปเดี๋ยวนี้ รีบไสหัวกลับไปยังเผ่าหยกเดี๋ยวนี้ อย่าว่าแต่คำพูดของเจ้าจะน่าเชื่อถือเลย แค่ผู้หญิงคนนั้นทำให้เยี่ยจิ่งหานต้องเจ็บปวดอย่างหนักเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วความเป็นความตายของนางก็ไม่คู่ควรที่จะให้เยี่ยจิ่งหานต้องเป็นกังวล”

“ข้าว่าเจ้าก็เป็นคน แต่เหตุใดถึงพูดจาสุนัขไม่รับประทานเช่นนี้ อาหน่วนไปทำร้ายอะไรเยี่ยจิ่งหานหรือ? อาหน่วนทำเพื่อเยี่ยจิ่งหานไปเยอะมากพอแล้ว”

“ทำอะไรเพื่อเขาหรือ? ให้เขาและเหวินเส่าอี๋ต่อสู้กันจนพ่ายแพ้กันทั้งสองฝ่าย สุดท้ายก็เกือบเอาตัวเองไม่รอด? หรือความหลายใจ พูดจาโกหกหลอกลวง และตัดขาดกับเขา”

“ไม่มีใครสั่งให้เขาต่อสู้กับเหวินเส่าอี๋ อาหน่วนก็ไม่ได้เป็นคนหลายใจ”

“ฮึ ตาเฒ่าอย่างเจ้า ข้าไม่อยากจะเสียเวลาพูดคุยด้วยหรอก ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายรีบไสหัวออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นจะให้หัวหน้าเผ่าคนหลายใจของเจ้ามารับศพของเจ้ากลับไป”

“อาหน่วนไม่ได้เป็นคนหลายใจ ข้ายอมรับว่าเมื่อก่อนนางชอบพออี้เฉินเฟย แต่หลังจากที่นางสูญเสียความทรงจำไป คนที่นางรักก็คือเยี่ยจิ่งหานเพียงคนเดียว ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะแบกหน้ามาที่นี่เพื่ออะไร”

“นางชอบเยี่ยจิ่งหาน เช่นนั้นแล้วเหตุใดนางต้องทำให้เยี่ยจิ่งหานต้องเจ็บช้ำและบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาต้องผ่านวันที่เจ็บปวดเหล่านี้ไปได้อย่างไร?”

น้ำเสียงของซูมู่โมโหอย่างมาก

แม้ว่าเขาจะไม่เห็นเยี่ยจิ่งหานในสายตา แต่เขาก็ขี้เกียจและไม่สนใจอะไรเลย

แต่เขาก็เห็นเยี่ยจิ่งหานเป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ

เมื่อเห็นเยี่ยจิ่งหานต้องเจ็บปวดและเศร้าโศกทุกข์ทรมานร่างกายของเขาอยู่ทุกวันเช่นนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าเขาเจ็บปวดมากเพียงใด

“เยี่ยจิ่งหานและอาหน่วนไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ ที่อาหน่วนต้องพูดตัดขาดเยื่อใยไปเช่นนั้น เป็นเพราะนางต้องสังเวยชีวิต นางมีเวลาเหลืออยู่อีกไม่นานเท่านั้น จึงทำให้นางต้องพูดเพื่อให้เยี่ยจิ่งหานโกรธและจากไป นางสละชีวิตสังเวยตัวเองเพื่อเผ่าหยก แต่ความคาดหวังที่สำคัญที่สุดก็เพื่อเยี่ยจิ่งหานเอง”

เมื่อผู้อาวุโสหกพูดจบ เขาก็ตกตะลึงและเอามือปิดปากตัวเอง

เหตุใดเมื่อตื่นเต้นก็พูดเรื่องทั้งหมดออกมาเช่นนี้?

เยี่ยจิ่งหานสั่นสะท้านและร่างกายของเขาก็หดลง

คำพูดนั้น เยี่ยจิ่งหานและอาหน่วนไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาอย่างต่อเนื่อง

เขาและอาหน่วนไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ

เป็นไปได้อย่างไร?

หลักฐานทั้งหมดก็อยู่ตรงหน้าของเขาแล้วไม่ใช่หรือ?

ซูมู่ก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน

“เมื่อสักครู่เจ้าพูดอะไรนะ?”

ผู้อาวุโสหกพูดตะกุกตะกักและหลบเลี่ยงสายตาของเขา

“เมื่อสักครู่ข้าพูดอะไรไป? ข้าไม่ได้พูดอะไรออกไปเสียหน่อย เที่ยงวันก็ผ่านไปนานแล้ว ต่อให้ได้เจอเยี่ยจิ่งหานก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เช่นนั้นข้ากลับไปเผ่าหยกล่ะ”

หากโชคดี อาจจะยังได้เห็นอาหน่วนเป็นครั้งสุดท้าย และลดความบาดหมางที่เกิดขึ้นที่นี่อีกด้วย

เยี่ยจิ่งหานจะยอมปล่อยเขาไปได้อย่างไร เมื่อเงาของเขาขยับทันใดนั้นเขาก็มาอยู่ตรงหน้าของผู้อาวุโสหก จากนั้นจึงกล่าวว่า “อธิบายเรื่องเมื่อสักครู่ออกมาให้ละเอียด ข้าต้องการรู้ความจริงของเรื่องทั้งหมด”

ผู้อาวุโสหกกระทืบเท้าและกัดฟันกรอด “ช่างเถอะ บอกเจ้าก็ได้ เจ้าและอาหน่วนไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ กัน และพวกเจ้าก็ไม่ได้เกิดโดยพ่อและแม่คนเดียวกัน แม่ของเจ้าคือฮวาอิ่ง ส่วนพ่อนั้นไม่ทราบ แต่ไม่ใช่จักรพรรดิเยี่ยอย่างแน่นอน”

“ฮวาอิ่งคือใครกัน?” เยี่ยจิ่งหานรับรู้ได้ว่าร่างกายของเขากำลังสั่นสะท้าน

หัวใจที่สิ้นหวังได้ก่อเกิดความหวังครั้งใหม่ขึ้นอีกครั้ง

“ฮวาอิ่งก็คือเงาของอดีตหัวหน้าเผ่า ไปกันเถอะ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังระหว่างทาง เรากลับไปที่เผ่าหยกกันก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันกาลเอาจริงๆ”

“ส่งคนมาที่นี่ เตรียมม้าและเตรียมตัวออกเดินทางเดี๋ยวนี้”