สวีโหย่วหรงพูดว่า “หน้าของเจ้าขาวซีดเหมือนหิมะ ข้าจะไม่รังเกียจได้อย่างไร?”
เฉินฉางเซิงหันหลังมองนางพลางพูดว่า “เจ้าก็ไม่ได้ดีอะไร หน้าขาวเหมือนเกล็ดน้ำแข็งบนหญ้า”
สวีโหย่วหรงชะงักเล็กน้อย มองเงาสะท้อนบนผิวน้ำ ถึงจะสังเกตเห็นว่าหน้าของตัวเองแปลกประหลาดจริง จิตใต้สำนึกใช้มือสองข้างปิดหน้า
นี่เป็นปฏิกิริยาตามจิตใต้สำนึกของเด็กสาว ในสายตาของเฉินฉางเซิง กลับน่ารักมาก
“ขอบคุณ” นางฟื้นสติกลับมา จับหัวไหล่ของเขา พิงกายบนหลังของเขา
“ขออภัย” เขายื่นมือรับขาของนางไว้ ขยับตัวของนางขึ้นไปข้างบนเล็กน้อย
เช่นนี้ พวกเขาก็ได้จากไปจากกองหญ้าเขียวแห่งนี้ ย่ำทะเลหญ้าที่เปื้อนเลือด ไปยังบริเวณที่สะอาดกว่านี้
น้ำในทะเลหญ้านั้นไม่ลึก บริเวณตื้นเกินเข่าพอดี บริเวณลึกก็ถึงแค่ประมาณเอว เพียงแต่โคลนใต้น้ำนิ่มเกินไป เฉินฉางเซิงแบกคนหนึ่งคน มือซ้ายยังต้องชูร่มไว้ เมื่อเดินก็เกิดความลำบากเล็กน้อย ดีที่พระอาทิตย์ขึ้นมาสักพักแล้ว อุณหภูมิในทะเลหญ้าค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น สบายมาก มองไปเห็นแต่สีเขียวอ่อนใส เดินอยู่ท่ามกลางแสงฤดูใบไม้ผลิและธารน้ำแห่งวสันต์ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็ยังรู้สึกได้รับการปลอบใจบ้าง ถ้าไม่มีเสียงเหล่านั้น พวกเขาอาจจะมีความรู้สึกเหมือนเดินเล่นบนผืนหญ้าสีเขียวที่เพิ่งแตกหน่อแรกฤดูใบไม้ผลิกว่านี้
ในที่ราบทุ่งหญ้าด้านหลังเหมือนมีเสียงร้องแหวกอากาศส่งมา เสียงร้องนั้นมาจากปีกคู่ของหนานเค่อ ไม่ว่าจะเป็นเฉินฉางเซิงหรือสวีโหย่วหรง หลังจากที่เข้าใจบางส่วนของที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล ก็ไม่กังวลเรื่องผู้แข็งแกร่งเผ่ามารเหล่านั้นจะไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันเสียงเล็กละเอียดที่อยู่รอบทะเลหญ้าเหล่านั้นทำให้พวกเขาระมัดระวัง เสียงเหล่านั้นเป็นของเจ้าถิ่นของทะเลหญ้าแห่งนี้… สัตว์อสูรจำนวนมากที่ถูกสวีโหย่วหรงฆ่าตายเมื่อวาน แต่เพราะเช่นนี้จึงลงแรงไปมาก ในขณะเดียวกันนางเข้าใจอย่างชัดเจนว่าในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้แน่นอนว่าต้องมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่านี้อาศัยอยู่ กระทั่งมีความเป็นไปได้ที่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีไม่สามารถต้านทานได้อย่างสิ้นเชิง
เฉินฉางเซิงกางร่มกระดาษทอง รู้สึกถึงตำแหน่งของเจตจำนงกระบี่นั้น เดินต่อไปข้างหน้าในที่ราบทุ่งหญ้า ดวงตะวันในเวลานี้ใกล้จะย้ายไปถึงกลางท้องฟ้า แต่แสงแดดไม่ค่อยรุนแรง อบอุ่นสบายเหมือนกับดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ สวีโหย่วหรงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงชูร่มขาดๆ คันนั้นอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าตัวเองโดนแดด? หรือว่าไอหนาวเกล็ดน้ำแข็งที่ชายหนุ่มผู้นี้ฝึกบำเพ็ญเพียรขัดแย้งซึ่งกันและกันกับแสงแดด?
ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิชาการบำเพ็ญเพียรโดยเฉพาะของพรรคภูเขาหิมะ แน่นอนว่าไม่สะดวกที่จะพูดมาก แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางจำเป็นต้องถามให้รู้เรื่อง “พวกเราตกลงจะไปที่ไหน?”
เฉินฉางเซิงกล่าว “ไปสระกระบี่”
ตำแหน่งที่อยู่ของเจตจำนงกระบี่สายนั้น ในความคิดของเขา มีความเป็นไปได้มากที่เป็นสระกระบี่ในตำนาน
ถ้าในสวนโจวมีสระกระบี่จริง กลับไม่เคยถูกใครค้นพบมาก่อน ฉะนั้นชัดเจนมาก มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าสระกระบี่จะอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าที่ไม่มีใครสามารถเดินออกมาได้แห่งนี้
สวีโหย่วหรงก็คิดแล้วเข้าใจจุดนี้ กลับไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงสามารถยืนยันตำแหน่งของสระกระบี่ได้
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำถามนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้นางรู้ความลับของร่มกระดาษทอง แต่ว่าอย่างไรก็ตามสระกระบี่ก็ไม่ใช่ขุมทรัพย์ธรรมดา ผ่านการหนีตายสองวันหนึ่งคืน เขาสามารถเอาชีวิตฝากไว้กับหญิงวัยเยาว์ผู้นี้ได้ ให้ความเชื่อใจนางได้ประมาณหนึ่ง แต่ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ ทำไมต้องเอาเงื่อนไขเหล่านี้เพิ่มเข้ามาทดสอบคนอีก? นิสัยคนนั้นทดสอบไม่ได้ ทุกๆ การทดสอบหนึ่งครั้ง ก็มีโอกาสที่จะเดินไปในที่ทิศทางตรงกันข้ามกับคนออกโจทย์หนึ่งก้าว ในทำนองเดียวกัน ความเชื่อใจก็ไม่ใช่สิ่งที่นำมาใช้พร่ำเพรื่อ ทุกการใช้หนึ่งครั้งถือเป็นการแลกเปลี่ยนความเชื่อใจต่อความเชื่อใจ
ตามการเดินทาง น้ำในทะเลหญ้าค่อยๆ ลดลง ผืนดินจริงค่อยๆ เพิ่มขึ้น นี่ถึงจะมีความรู้สึกที่เป็นที่ราบทุ่งหญ้าขึ้นมาบ้าง
เดินอยู่ในดงหญ้าที่แน่นขนัด สัมผัสความรู้สึกที่สงบนิ่งส่งมาจากใต้ฝ่าเท้า เฉินฉางเซิงรู้สึกสงบขึ้นมามาก แต่แล้ว เสียงสวบๆ สาบๆ ในที่ราบทุ่งหญ้ายิ่งมายิ่งมาก ชัดเจนอย่างยิ่ง สัตว์อสูรที่แอบซ่อนอยู่รอบๆ เยอะกว่า และอาจอันตรายยิ่งกว่าที่อยู่ในพื้นที่เปียกชื้น
สวีโหย่วหรงเอาธนูถงออกมา สังเกตรอบๆ อย่างเงียบๆ เตรียมตัวออกมือได้ตลอดเวลาแต่แล้วไม่รู้ทำไม เฉินฉางเซิงแบกนางเดินออกมาหลายสิบลี้ สัตว์อสูรเหล่านั้นแต่แรกจนจบไม่ปรากฏการโจมตี กระทั่งไม่ได้เข้าใกล้พวกเขา กระทั่งมีถึงสามครั้ง นางรับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า สัตว์อสูรที่คอยสังเกตฝ่ายตนสองคนอยู่รอบๆ ได้ปล่อยไอพลังปราณที่น่ากลัวอย่างยิ่งออกมา แม้นางจะอยู่ในช่วงพลังปราณเต็มเปี่ยม ก็ไม่ใช่ศัตรูคู่ต่อสู้ของสัตว์อสูรเหล่านั้น ทำไมสัตว์อสูรแข็งแกร่งเหล่านี้ไม่เข้ามาฆ่าตน? ถ้าเป็นเมื่อก่อน นางอาจจะคิดว่าเป็นไอพลังปราณที่ปล่อยออกมาจากเลือดแท้หงส์สวรรค์ในร่างกายของตัวเองกดทับความโลภของสัตว์อสูรเหล่านั้นเอาไว้โดยตรง แต่ตอนนี้เลือดในร่างกายนางใกล้จะแห้งเหือดแล้ว สัตว์อสูรเหล่านั้นกำลังกลัวอะไรอยู่?
ทั้งสองคนเดินมุ่งต่อไปยังข้างหน้า พื้นดินของที่ราบทุ่งหญ้ายิ่งมายิ่งแห้ง ความสูงของหญ้าป่ากลับกำลังลดลง อีกทั้งยังยิ่งมายิ่งบางเบา
ในที่สุด พวกเขาก็เดินมาถึงในพื้นหญ้าที่เพิ่งจะไม่เลยหลังเท้า หญ้าเหล่านั้นเป็นสีเทาขาว กลับยังไม่แห้งตาย ราวกับผมของคนแก่ ในที่ราบทุ่งหญ้าสีเขียว หญ้าเตี้ยสีเทาขาวเหล่านี้สะดุดตามาก อีกทั้งเส้นทางที่เชื่อมไปสู่ส่วนที่ลึกมากของที่ราบทุ่งหญ้าใต้เท้าของเขาก็เป็นรูปร่างเส้นทางที่ชัดเจน
ไม่รู้ว่าเส้นทางที่ปูจากหญ้าขาวเส้นนี้นำไปสู่หนทางไหน ซ่อนความอันตรายอันใดไว้
สวีโหย่วหรงพูดว่า “ถ้า…คนคนนั้นตายจริงๆ เส้นทางเส้นนี้มีโอกาสที่จะเชื่อมไปที่สุสานของเขา”
เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าทำไมนางถึงคาดการณ์เช่นนี้
ในอัตชีวประวัติบทกวีวิถีลัทธิเต๋า มีประโยคหนึ่งว่า ‘หญ้าขาวปูทาง มุ่งสู่ทะเลดวงดาว’
ถ้าโจวตู๋ฟูตายไปแล้วจริงๆ ฝังอยู่ในโลกแห่งนี้จริง ฉะนั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่สุสานของเขาจะอยู่ในส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ ถนนหญ้าขาวนี้ แทนเส้นทางที่เชื่อมไปยังเส้นทางแห่งความตาย ยังมีตัวอย่างหลักฐานที่มีน้ำหนักอีกหนึ่งชิ้น คือมาจากการสั่นสะเทือนเล็กน้อยที่ส่งมาจากด้ามร่มกระดาษทอง เจตจำนงกระบี่สายนั้น อยู่บริเวณห่างไกลของถนนหญ้าขาว ถ้าสิ่งที่แสดงเจตจำนงกระบี่สายนั้นอยู่เป็นตำแหน่งของสระกระบี่ นั่นก็จะสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง…กระบี่พันหมื่นเล่มที่หลับลึกอยู่ในสระกระบี่ นั่นเป็นขุมทรัพย์ที่สาบสูญหลังการฆ่าฟันของโจวตู๋ฟู แน่นอนว่าก็เป็นเครื่องสังเวยที่ดีที่สุดสำหรับเขา
“ในสวนโจวไม่มีทะเลดวงดาว สระกระบี่ก็คือทะเลดวงดาว” เขาเห็นด้วยกับความเห็นของสวีโหย่วหรง พูดว่า “ดูท่าต้องเดินไปถึงปลายทางของถนนหญ้าขาวเส้นนี้เท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเป็นความตายหรืออย่างอื่น”
สวีโหย่วหรงไม่คิดว่าเขาจะนึกถึงการตัดสินใจของตัวเองที่มีหลักฐานมาจากบทกวีวิถีลัทธิเต๋าได้เร็วขนาดนี้ มองเขาปราดหนึ่งด้วยความชื่นชมเล็กน้อย
ไม่ว่าจะเชื่อมไปที่ทะเลดวงดาวหรือความตาย ล้วนไกลโพ้น ถนนหญ้าขาวนี้แน่นอนว่ายาวไกลอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงแบกนางเดินมาเป็นเวลานานมากแล้ว กลับราวกับเพิ่งจะเริ่มต้น
ดวงตะวันในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลขึ้นแล้วลง ไม่หายไป เคลื่อนหมุนเป็นรอบตามที่ราบทุ่งหญ้า จากนั้นค่อยขึ้นแล้วลงอีกรอบ
พวกเขาเดินทาง เดินทาง แล้วก็เดินทางอีก ตอนที่กระหายน้ำก็ดื่มน้ำสะอาดในบ่อน้ำตื้นริมถนน ตอนที่หิวเฉินฉางเซิงจะไปหาเนื้อของสัตว์อสูรมากิน ตอนที่มีความง่วงยากจะต้านทาน เขาก็จะนอนสักพัก นางนั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ถึงเวลาที่นางเหนื่อยล้า เขาก็จะตื่นขึ้นมา ผลัดเปลี่ยนซ้ำๆ เช่นนี้ สภาพบาดเจ็บของเฉินฉางเซิงดีขึ้นเล็กน้อย นางกลับอ่อนแออย่างยิ่งมาตลอด
วันหนึ่งในเวลาที่ค่ำคืนมาถึงอีกครั้ง ไม่ใช่ค่ำคืนที่แท้จริง เป็นเพียงที่เส้นแสงมีความมืดมนบ้าง ในท้องฟ้าจู่ๆ ก็เกิดฝนตก
เฉินฉางเซิงแบกนางเดินท่ามกลางฝนกลางคืน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ร่มกระดาษทองถูกกำอยู่ในมือของนาง คอยบังลมฝน
กระแสฝนในคืนนี้มารุนแรงเกินไป พึ่งแค่ร่มคันเดียวไม่สามารถบังได้หมด เพียงแต่โลกของหญ้าร้างทุกหนแห่งราวกับม่านหมอก จะไปหาที่หลบฝนได้จากไหน
และในเวลานี้ พวกเขาฝ่าทะลุม่านฝน มองเห็นวัดแห่งหนึ่ง