ตอนที่ 211 ศัตรูหัวใจ / ตอนที่ 212 หาคนปลอบใจ

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 211 ศัตรูหัวใจ 

 

 

เซ่าหมิงฟ่านเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นซูอี้และฉินจาน ความรู้สึกแปลกๆ ในแววตาก็แวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว จึงเอ่ยทักทายซูอี้และเปิดโปงเบื้องลึกเบื้องหลังของเหยียนเค่อ “เขามาทีเดียวแต่จ่ายเงินซื้อของเยอะกว่าเงินจัดงานเลี้ยงเสียอีก ประหยัดเงินจริงจริ๊ง” 

 

 

“ไสหัวไป” เหยียนเค่อตอบอย่างหงุดหงิด ยกแก้วขึ้นชนกับซูอี้ด้วยท่าทางจริงจัง “ขอบคุณนะฉินจาน” 

 

 

ฉินจานที่ยืนอยู่ด้านหลังซูอี้ชะโงกหัวออกมา “นายจะขอบคุณฉันแล้วไปบอกเขาทำไม” 

 

 

“ถ้าเขาไม่แต่งงานกับเธอแล้วฉันจะรู้จักเธอได้ยังไงล่ะ” 

 

 

“ตลกแล้ว ถ้าฉันไม่แต่งงานกับเขาแล้วนายจะรู้จักเขาได้ยังไงล่ะ!” ฉินจานถลึงตาใส่เขา เลวจริงๆ 

 

 

ฉินจานและเหยียนเค่อรู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองบ้านก็เป็นไปได้สวย ต่อมาฉินจานแต่งเข้าบ้านซูอี้ เหยียนเค่อกับซูอี้จึงเปลี่ยนจากคู่ค้าทางธุรกิจ กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน 

 

 

“คร้าบๆๆ ขอบคุณนะเธอ” เหยียนเค่อไม่กล้าทำให้เธอโมโห 

 

 

“ขอบคุณฉันเรื่องอะไร” ฉินจานก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเขาจะขอบคุณเธอทำไม เอาแต่ยืนอยู่ด้านหลังซูอี้ 

 

 

เหยียนเค่อไม่พูดอะไรมาก เพียงเอ่ยว่า “ซย่าเสี่ยวมั่ว” 

 

 

“อ๋อ!” ฉินจานร้องตอบเสียงดัง เอ่ยขึ้นอย่างสนอกสนใจ “มั่วมั่วเป็นคนรู้จักของพวกนายเหรอเนี่ย ฉันนี่มีวาสนากับนายจริงๆ” 

 

 

ยังไม่ทันคุยเสร็จก็ถูกซูอี้ดึงกลับมายืนอยู่ด้านหลังเสียก่อน 

 

 

ฉินจานที่ถูกยืนบังหยิกหลังมือของซูอี้ระบายอารมณ์ 

 

 

ผู้ชายคนนี้เกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ 

 

 

ฉินจานเคยหลงใหลได้ปลื้มกับความหล่อเหลาของเหยียนเค่อจนสารภาพรักกับเขา แน่นอนว่า 

 

 

เหยียนเค่อไม่ได้ตอบตกลง ฉินจานจำได้ตราบจนทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เจอกันก็ยังรู้สึกเสียดาย ทำเอาซะซูอี้กลัวว่าภรรยาตัวเองจะหนีตามเหยียนเค่อไปเสียแล้ว 

 

 

และผู้หญิงที่เซ่าหมิงฟ่านรักและจดจำมาตลอดหลายปีมานี้ก็คือฉินจาน จนถึงตอนนี้ก็ยังลืมไม่ลง 

 

 

ที่ซูอี้มาที่นี่ก็รู้สึกกดดันในใจอยู่ไม่น้อย 

 

 

ส่วนฉินจานไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของสามีตนแม้แต่นิด ถึงเธอจะเห็นว่าเซ่าหมิงฟ่านดู 

 

 

กระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ได้เห็นเหยียนเค่อก็ดีใจจนไม่สนใจอะไรแล้ว แถมยังคิดว่าเมื่อไรจะได้เม้าท์กับเหยียนเค่อแบบตัวต่อตัวสักที 

 

 

ซูอี้มองความคิดพิเรนทร์ของเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้ตลอดการพูดคุยเขาไม่ปล่อยเธอไปเลยสักนิด 

 

 

“เหยียนเค่อคือคนที่ส่องแสงท่ามกลางผู้คนในตำนาน ไม่มีอะไรมาบดบังแสงได้” ฉินจานมอง 

 

 

เหยียนเค่อที่ดูเฉลียวฉลาด มากประสบการณ์ท่ามกลางผู้คนมากมายแล้วก็น้ำลายไหล 

 

 

ซูอี้ยื่นนิ้วไปจิ้มกะโหลกเธออย่าหงุดหงิด “เธอคิดว่าเขาเป็นพระยูไลหรือไง แถมยังส่องแสงได้อีก…” 

 

 

“…” ฉินจานตะลึงงันไปกับมุกของสามีตนครู่หนึ่ง พลันเงียบปากแล้วยืนมองอย่างคลั่งไคล้ต่อไป 

 

 

หลังจากเรื่องราวทุกอย่างสิ้นสุดและลงตัวแล้ว ความสัมพันธ์ของเซ่าหมิงฟ่านและซูอี้ก็เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา แถมตอนนั้นฉินจานยังเป็นคนตัดสินใจเองด้วย ซูอี้และเซ่าหมิงฟ่านเองก็ไม่ได้มาแข่งขันประชันกันแต่อย่างใด ทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ชาย ระหว่างกันไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วน คุยกันได้อย่างสนุกสนาน 

 

 

เหยียนเค่อที่เสร็จจากงานเลี้ยงเดินกลับมาเห็นว่าผู้ชายสองคนมีเรื่องคุยกันมากมายก็อดแปลกใจไม่ได้ จึงเดินเข้าไปหา 

 

 

“ไง ศัตรูหัวใจมาเจอกัน คงไม่ได้เคียดแค้นกันกว่าเดิมหรอกใช่ไหม” 

 

 

ฉินจานหันไปมองเขา สายตาจับจ้องมองมาไม่ขาดตอนไปแม้แต่ช่วงเดียว 

 

 

ซูอี้ส่งสายตาปรามภรรยาของตน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างหมดปัญญา “นายต่างหากที่เป็นศัตรูหัวใจเบอร์หนึ่งน่ะ” 

 

 

“เพ้อเจ้อ!” ฉินจานคิดว่ายังก่อเรื่องไว้ไม่มากพอ จึงเถียงกลับ “เหยียนเค่อคือเทพบุตรของฉัน” 

 

 

เหยียนเค่อยุยงใส่ไฟอย่างนึกสนุก “นายสู้ฉันไม่ได้หรอก” 

 

 

ซูอี้โดนภรรยาตัวเองเล่นงานจนโมโหไม่ออกแล้ว ตอนนี้เขาไม่กล้าพาฉินจานไปบริษัทเลย เพราะเธอเห็นพวกเด็กหนุ่มวัยขบเผาะแล้วชอบก้าวขาไม่ออก 

 

 

เหยียนเค่อก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ตบบ่าเขาเป็นการปลอบโยน “ไม่เป็นไรน่า เทพบุตรมีเยอะ แต่สามีมีคนเดียวนะ” 

 

 

ซูอี้กลอกตามองบน อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนระดับเทพเหมือนกันนี่นา ที่ได้ฉินจานมาแล้วก็ไม่ยอมรักษาไว้ให้ดี 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 212 หาคนปลอบใจ 

 

 

“นายรีบเล่าเรื่องซย่าเสี่ยวมั่วสิ” ฉินจานมองเหยียนเค่ออย่างเร่งเร้า “พวกนายสองคนรู้จักแล้วไปสปาร์คกันได้ไง” 

 

 

เหยียนเค่อมองเธออย่างงุนงง ซูอี้จึงอธิบาย “เขียนนิยายต่อไม่ได้น่ะ” 

 

 

“เอ่อ…” เหยียนเค่อพูดสั้นๆ ก่อนจะเอ่ยเตือน “มั่วมั่วกำลังวาดการ์ตูนเรื่องนี้อยู่ ดังนั้นเธออย่าเข้าไปยุ่ง” 

 

 

ฉินจานพยักหน้า “ฉันรู้ นายยังเล่าไม่ละเอียดเท่าการ์ตูนเลย” 

 

 

พ่อพระเอกที่ถูกรังเกียจกุมหัวใจแล้วส่ายหัว “เธอนี่นะ ถ้าเธอรู้ดีขนาดนั้นแล้วจะถามฉันทำบ้าอะไร” 

 

 

หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เหยียนเค่อได้รับอะไรมากมาย แถมยังได้ผูกมิตรกับบริษัทที่อยากจะทำงานร่วมกันอีกหลายบริษัท บริษัท YAN มีสาขาอยู่ที่อเมริกา เหยียนเค่อจึงไปดูงานที่นั่นต่อ เมื่อนัดทานข้าวมื้อเย็นกับพวกเขาเรียบร้อยแล้วก็ขอตัวไปก่อน 

 

 

…… 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเล่นอยู่ที่บ้านคุณตา สนุกจนแทบบ้า ตอนกลางคืนพาเสิ่นจิ้งเฉินออกไปหาหิ่งห้อย หลอกเสิ่นจิ้งเฉินจนเขาอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก 

 

 

“น้องเล็ก ยุงกัดพี่จะตายอยู่แล้วนะ ไหนล่ะหิ่งห้อย” 

 

 

“เอ่อ…” ช่วงเดือนนี้ไม่มีหิ่งห้อยแล้ว แต่เธอก็หลอกเขาออกมาได้แล้ว จะล้มเลิกก็ไม่ได้ ซย่าเสี่ยวมั่วพูดตะกุกตะกัก “มัน…น่าจะจงใจไม่ออกมามั้ง” 

 

 

ลางสังหรณ์บอกเสิ่นจิ้งเฉินว่า ยายคนหลอกลวงนี่กำลังโกหกกัน 

 

 

“เรากลับกันเถอะ พี่เหนื่อยแล้ว” 

 

 

“ก็ได้” ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่แกล้งเขาอีก ทำได้เพียงเดินตามเสิ่นจิ้งเฉินกลับบ้าน 

 

 

เพียงไม่กี่วัน ธาตุแท้ของเสิ่นจิ้งเฉินที่เป็นทาสน้องสาวก็เผยออกมาแล้ว ตอบรับทุกคำขอของ 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่ว ทำลายทุกอุปสรรคขวางกั้น 

 

 

คุณแม่ซย่ารู้สึกว่าครั้งนี้ไม่ควรกลับมาเลย 

 

 

หลานชายคนโตสร้างเรื่องแฟนสาวที่เป็น ‘พืช’ หลานคนรองก็พูดเก่ง ถามอะไรก็ตอบหมด ไม่หงุดหงิดเลยสักนิด 

 

 

ส่วนลูกสาวตนถูกลากออกไปเล่นโดยพี่ชายคนรองที่ในสายตามีเพียงแต่เธอเท่านั้น 

 

 

“วันมะรืนฉันก็จะกลับแล้ว” เสิ่นจิ้งเฉินไม่รู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วรู้เรื่องที่สวีรั่วชีจะหมั้นหรือเปล่าจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่รายงานการเดินทางของตัวเองให้ฟังเท่านั้น 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า “ถ้าพี่กลับฉันก็จะกลับด้วย อยู่บ้านก็โดนพี่ใหญ่แกล้ง” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่เทพเจ้าของประชาชนอย่างเสิ่นมั่วหลีโดนคนกล่าวหาว่ารังแกคนอื่น ไม่มีใครเชื่อหรอก 

 

 

ความทุกข์ที่กลายเป็นขยะไร้ประโยชน์ในชั่วพริบตาของซย่าเสี่ยวมั่ว คนอื่นไม่เข้าใจหรอก 

 

 

ทุกคนจำงานหมั้นตอนต้นเดือนตุลาคมได้ แต่เจ้าของงานกำลังถูกสวีอันหรานเรียกตัวกลับโดยด่วน 

 

 

“เธอจะหมั้นอยู่แล้วนะ ทำไมยังไม่กลับมาอีก” 

 

 

“ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวกลับตอนเช้ามืดวันนั้น” สวีรั่วชีเป็นไข้นิดหน่อย รู้สึกเวียนหัว เมื่อพูดจบจึงวางสายทันที สวีอันหรานโทรไปอีกรอบก็ไม่มีคนรับ โมโหจนเขาแทบจะคลั่งอยู่แล้ว 

 

 

ตกกลางคืน กลุ่มเพื่อนสนิทก็ใช้สายโทรศัพท์ภายในวิดีโอคอลกัน นอกจากเสิ่นจิ้งเฉินแล้ว ทุกคนก็มีสีหน้าไม่ดีนัก 

 

 

เหยียนเค่อหาวหวอด เอ่ยอย่างรำคาญ “วันนี้คุยเรื่องทำสัญญาทั้งวัน พวกนายมีอะไรก็รีบพูดมา” 

 

 

สวีอันหรานส่งไฟล์พิธีในงานหมั้นโดยละเอียดของสวีรั่วชีให้ดูฉบับหนึ่ง ให้เพื่อนๆ ช่วยดูสักหน่อย ก่อนจะนั่งนิ่งเงียบด้วยสีหน้าดุดันน่ากลัว 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนเขาหลายคนถึงดูไม่ค่อยปกติ จึงส่งรูปภาพให้พวกเขาดูอยู่หลายรูป แต่ละรูปหลายแบบคละกันไป  

 

 

“นายหยุดพักผ่อนนานเกินไปหรือเปล่า” เหยียนเค่อมองดูคนสองคนที่นั่งโอบกันบนหน้าจอ ก็เอ่ยถามอย่างน่าสะพรึงกลัว 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินใส่ไฟเพิ่มอย่างไม่กลัวตาย “ถ้าเสร็จงานสวีรั่วชีแล้ว ฉันก็น่าจะพามั่วมั่วไปเที่ยว” 

 

 

เซ่าหมิงฟ่านมองเขาปราดหนึ่ง ถ้าไม่กลัวตายก็เอาเลย 

 

 

เหยียนเค่อไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับผู้ชายนิสัยเด็กคนนี้ จึงหันไปคุยกับสวีอันหราน “ถ้าเสร็จเรื่องน้องสาวนายแล้วก็ช่วยมาจัดการเรื่องลูกพี่ลูกน้องนายด้วย” 

 

 

สวีอันหรานพยักหน้า จู่ๆ หัวใจก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย “นายปัญหาเยอะสุดแล้ว” 

 

 

ส่วนคนอื่นที่ต่างก็มีเรื่องกลุ้มใจ เมื่อได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที 

 

 

เมื่อปรียบเทียบกันแล้วก็รู้ว่าเรื่องของตัวเองช่างเล็กน้อยเหลือเกิน 

 

 

เหยียนเค่อหน้านิ่ง ที่แท้เขามาเพื่อปลอบใจไอ้พวกนี้เหรอเนี่ย