บทที่ 128 ภัยเงียบ

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 128

ภัยเงียบ

“พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” กงเจิ้นที่เพิ่งเดินทางมาถึงเฟิงเจิ้นได้ไม่นาน เขาก็เริ่มสืบเสาะเกี่ยวกับวิญญาณกลับชาติมาเกิดที่เขาตามหาในทันที ชายสูงศักดิ์ได้ซื้อข่าวจากนักต้มตุ๋นทั้งสามและพยายามรีดข้อมูลจากพวกเขา

“แหม่ จะให้ข้าพูดถึงเรื่องวิญญาณกลับชาติมาเกิดในที่สาธารณะได้ยังไงกัน?” ชายหน้าบากที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าแก๊งยิ้มแสยะ ก่อนพูดขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ทั้งสามหวังล่อลวงเหยื่อด้วยข้อมูล ก่อนจะลงมือฆ่าชิงทรัพย์ในภายหลัง

“ก็ได้ ก็ได้ ข้าให้พวกเจ้า 2 เท่าจากที่ตกลงเอาไว้เลยฟังดูเป็นไง?” กงเจิ้นชูสองนิ้ว ก่อนหยิบยื่นข้อเสนอให้แก่เหล่าสิบแปดมงกุฎ

ชายหน้าบากหันหน้ามองลูกน้องทั้งสองของเขา ก่อนที่เขาจะตอบรับข้อเสนอ และบอกข้อมูลทั้งหมดที่พวกเขารู้

“มีข่าวลือว่ามีวิญญาณกลับชาติมาเกิดในเฟิงเจิ้น จากหลักฐานที่พวกเราสามพี่น้องได้สืบมา อู๋เทียนอดีตผู้อาวุโสแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ เคยกล่าวหาเย่เย่นายน้อยแห่งตระกูลเย่ว่าเป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิด นอกจากนี้เขายังเคยส่งศิษย์ยานุศิษย์จับกุมเย่เย่ไปไต่สวนอีกด้วย แต่ในท้ายที่สุดผลลัพธ์ก็กลายเป็นว่าเขาบริสุทธิ์ มีใครบางคนที่ต้องการใส่ร้ายเขาเท่านั้นเอง”

ชายหน้าบากและเหล่าพี่น้องทั้งสองพื้นเพเป็นคน เฟิงเจิ้น แต่พวกเขาเป็นเด็กกำพร้าไม่มีหัวนอนปลายเท้า หากินโดยอาศัยการเป็นสายสืบข้าหลายเจ้าบ่าวหลายนาย เมื่อเฟิงเจิ้นกลับคืนสู่ความสงบ ทั้งสามก็ตกงานและผันตัวมาเป็นนักต้มตุ๋นขายข้อมูลอย่างทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามแค่ค่าขายข้อมูลไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง บางครั้งพวกเขาก็ล่อลวงเหยื่อมาฆ่าชิงทรัพย์อีกด้วย

ครั้นทั้งสามเห็นชายสูงศักดิ์เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาในเมือง พวกเขาจึงรีบเข้าหาในทันที เนื่องจากกงเจิ้นนั้นซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงของตนไว้ รูปลักษณ์เขาจึงไม่ต่างอะไรกับคนรวยทั่วๆไป

“แล้วพวกเจ้าพอจะรู้ไหมว่าใครที่ใส่ร้ายเขา? แล้วคนนั้นอยู่ที่ไหน?” ตั้งแต่ที่เขาพบเหยียนลี่หยางในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นี้ เขาก็เอะใจว่าวิญญาณตนนั้นต้องอยู่ในภูมิภาคเดียวกันนี้ไม่ผิดแน่

“น่าเสียดายที่นางถูกสังหารด้วยน้ำมือของเย่เย่ที่หลิงเฉิงไปแล้ว…” ชายหน้าบากตอบ

“หลิงเฉิง? นางถูกฆ่าด้วยน้ำมือของเย่เย่ที่หลิงเฉิงงั้นรึ!?”

“ใช่แล้ว เย่เย่ผู้นี้หลังจากปลุกจิตวิญญาณได้สำเร็จไม่ถึงปี เขาก็ได้ขึ้นปกครองหลิงเฉิงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้งานแต่งงานของเขากับเจ้าสาวจะถูกจัดขึ้นในอีก 1 เดือน ข้าเชื่อว่าผู้มีอำนาจจากทั่วสารทิศในภูมิภาคนี้ต้องแห่กันมาแสดงความยินดีกับเขาอย่างแน่นอน นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่ข้ารู้ในตอนนี้”

‘ชัดเจนเลยทีเดียว’ กงเจิ้นคิดในใจพร้อมพยักหน้าอย่างช้าๆ

หลังจากที่นักต้มตุ๋นทั้งสามคายข้อมูลทั้งหมดออกมา เขาก็ให้สัญญาณซึ่งกันและกัน สามพี่น้องเดินเข้ามาโอบล้อมปิดทางหนีของเหยื่อในทันที

“นี่เงินตามที่ตกลงรับไปสิ” กงเจิ้นที่ไม่ได้ใส่ใจโจรปลายแถว ก็ยื่นตั๋วทองมูลค่าตามที่เสนอไว้ให้พวกเขาและพยายามเดินออกจากวงล้อม

ทั้งสามเดินเอาตัวขวางชายสูงศักดิ์เอาไว้ ก่อนที่ชายหน้าบากจะพูดข่มขู่เขาด้วยรอยยิ้มแสนกล

“ช้าก่อนพี่ชาย อย่างเจ้าคงไม่รู้หรอกว่าพวกข้าต้องเสี่ยงชีวิตกันแค่ไหนกว่าจะได้ข้อมูลพวกนี้มา ค่าตอบแทนแค่นี้จะไปพอยาไส้อะไร!”

“แล้วเจ้าต้องการเท่าไหร่” กงเจิ้นหันกลับไปจ้องตาชายหน้าบากอย่างไม่เกรงกลัว

“1 แสนตั๋วทอง” ชายหน้าบากชูนิ้วชี้ขึ้น ก่อนจะเพิ่มเงินมากกว่าที่ตกลงไว้ถึงสองเท่า

“เจ้ารู้รึเปล่าหากเจ้าไม่จ่ายจะเกิดอะไรขึ้นล่ะฮึ? พวกข้าเด็ดหัวเจ้าไปขายให้พวกตระกูลเย่เสียตอนนี้เลยก็ยังได้ ข้ามั่นใจว่ามูลค่าคงไม่ด้อยไปกว่าที่เจ้าเสนออย่างแน่นอน” ชายร่างใหญ่ไม่ปิดบังเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาอีกต่อไป ทั้งสามมองเหยื่ออันโอชะด้วยสายตาที่ชั่วร้าย

โชคไม่ดีที่กงเจิ้นที่เพิ่งทำภารกิจล้มเหลวนั้นอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีนัก เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างช่วยไม่ได้

“เดิมทีข้าก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ…” กงเจิ้นบ่น อุบอิบอย่างหมดทางเลือก

“หือ? พี่ชายบ่นอะไรของเจ้าน่ะฮึ!? ฮ่า ฮ่า ฮ่า น่าสมเพชสิ้นดี” ชายหน้าบากผู้กำลังจะชะตาขาดดับอนาถเพราะตัวประหลาด ก็พูดหยอกล้อกับเหยื่อของเขา ทันใดนั้นเองประกายไฟที่ไม่ทราบที่มาถูกจุดขึ้นที่เสื้อขาดๆของทั้งสาม

“อ๊ากกกกกกกกก”

“ใครก็ได้ช่วยข้าที อ๊ากกกกก”

ในชั่วพริบตาไฟก็ลุกลามไปทั่วทั้งร่างของทั้งสาม พวกเขาดิ้นทุรนทุรายอย่างน่าอเนจอนาถ ก่อนสังขารจะดับสลายกลายเป็นเถ้าธุลีปลิวหายไปตามสายลมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อได้รวบรวมข้อมูลอย่างเพียงพอแล้ว ปรมาจารย์แห่งทัณฑ์สวรรค์ก็เดินออกจากเมืองเฟิงเจิ้น นับตั้งแต่วันนั้นชาวเมืองเฟิงเจิ้นก็ไม่พบชายพเนจรทั้งสาม และชายผู้สูงศักดิ์อีกเลย

ขณะเดียวกันที่เมืองเหยียนเฉิงซึ่งเป็นที่ตั้งของตำหนักประกายแสง หลินซิวเหยียนที่รอดูท่าทีก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวขึ้นเล็กน้อย

เพล้งงงง

เสียงแจกันโบราณแตกกระทบกับพื้นปูนดังสนั่นลั่นโถงกลาง ชายทรงอำนาจกลั้นอารมณ์ของตนเอาไว้ไม่อยู่ เขาจึงปัดแจกันสูงค่าตกลงกับพื้นด้วยความโมโห

“เจ้าเย่ เจ้าลูกนางโลม! เป็นแค่เถ้าแก่หอการค้าเล็กๆ เจ้ากล้าดียังไงมาเหยียดหยามข้าเช่นนี้!?” หลินซิวเหยียนกระโชกโฮกฮาก ระบายอารมณ์ด้วยการทุบตีถ้วยรามชามไหที่จัดแสดงตามทางเดิน ดูเหมือนว่าจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาระงับอารมณ์โกรธให้ทุเลาลงได้

เสี่ยวหยุนหลง ผู้เป็นเลขาของชายผู้กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก็ได้แต่ยืนดูเขาอยู่ห่างๆ แม้ว่าเขาไม่กล้าเดินตามผู้เป็นนายไป แต่เขาก็ไม่กล้ากลับออกไปเช่นเดียวกัน

หลังจากที่พวกเขาส่งสาส์นยื่นข้อเสนอให้กับเย่เย่ไป ในที่สุดก็ได้รับการตอบกลับมา เดิมที ประมุขแห่งตำหนักประกายแสงตั้งใจว่าแม้เย่เย่จะปฏิเสธ อย่างน้อยเย่เย่ก็น่าจะรักษาไมตรีจิตไว้บ้าง แต่นอกจากที่ทูตของเขายังไม่ได้เข้าพบเย่เย่แล้ว หนำซ้ำเขายังถูกสาวใช้ไล่ตะเพิดกลับมาอีกด้วยซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่พอใจถึงขั้นบันดาลโทสะออกมา…