ตอนที่ 238 ดูหมิ่น 

 

 

เซียงฉือปราดเข้าไปเบื้องหน้าหวังชิงซิ่วหวังจะอธิบายกับนางและขอให้เปิดทางให้ 

 

 

แต่หวังชิงซิ่วทำเหมือนนางเป็นตัวเชื้อโรคจึงหลบเดินห่างไปไกล มีแต่ความรังเกียจเซียงฉืออยู่บนใบหน้า 

 

 

“หญิงบ้าคนนี้หลุดมาจากไหน กองเย็บปักของเราไม่รับผู้หญิงที่ไม่มีระเบียบเช่นนี้!” 

 

 

หวังชิงซิ่วมีความสัมพันธ์กับตระกูลเดิมของไทเฮาอยู่บ้าง ดังนั้นถึงกองเย็บปักจะตกต่ำ แต่ตลอดมานางไม่เคยเห็นใครในฝ่ายในนี้อยู่ในสายตาทั้งสิ้น 

 

 

นอกจากจินกุ้ยเฟยแล้ว คนอื่นๆ นางจะมองด้วยความรังเกียจ 

 

 

เซียงฉือถูกนางว่าเสียจนโกรธจัด นี่หรือคือกองเย็บปักที่นางหมายมั่นจะเข้าไป เจ้านายที่หลงอยู่กับเกียรติยศจอมปลอม รู้จักแต่ละโมบในทรัพย์สินเงินทองเช่นนี้ 

 

 

“ใต้เท้าหวัง ใช่ว่าข้าจะไร้ระเบียบ เพียงแต่ไม่รู้กฎเกณฑ์ของกองเย็บปักเท่านั้น และเพราะท่านพูดเกินไป นี่เป็นกฎเกณฑ์วังหลังตั้งแต่เปิดแคว้นมาหรือไร” 

 

 

เซียงฉือโกรธ เสียงจึงดังขึ้นมากและย้อนถาม แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการไปเหยียบหางของหวังชิงซิ่วเข้า สายตาที่ไม่ใส่ใจแต่แรกตอนนี้กวาดซ้ายแลขวา ชี้แล้วมองเซียงฉือด้วยสายตาดุร้าย 

 

 

“นังคนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีระเบียบวินัย ยังไร้การอบรมสั่งสอนอีกด้วย ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ยังจะล่วงเกินผู้อาวุโส ไม่รู้จักดูตัวเองเสียบ้าง” 

 

 

เซียงฉือเห็นนางเต้นเร่าไปด้วยความโกรธเพราะถูกทำให้อายเช่นนั้นจึงตัดใจลงพลัน นางผิดหวังอย่างสิ้นเชิงกับกองเย็บปักนี้ 

 

 

แม้หากนางเข้าไปได้ก็จะเป็นการสูญเสียเวลาไปเปล่า ทั้งความรู้ความสามารถยังจะถูกลบไปสิ้น แต่ถ้าหากนางคิดจะใช้ชีวิตเช่นนั้น ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้ให้โอกาสนั้นแก่นาง 

 

 

“ทหาร นังคนนี้ล่วงเกินข้า ตัดสิทธิ์การสอบของนางแล้วไล่ออกไปให้พ้นสนามสอบ!” 

 

 

หวังชิงซิ่วคนนั้นชี้นิ้วไปที่เซียงฉือ แล้วสั่งทหารองครักษ์สองคนข้างกาย เซียงฉือได้ยินดังนั้นจึงยิ่งเดือดดาลด้วยรู้สึกไม่เป็นธรรม นางคิดว่าการได้เป็นข้าราชสำนักสตรีจะได้ไม่ต้องทนรับข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมมากมายพวกนั้นอีก แต่ตอนนี้มองดูแล้ว ในวังหลังนี้ยังจะมีที่ใดที่จะหาความสงบสุขได้บ้าง 

 

 

นอกจากคนที่มีอำนาจบาตรใหญ่แล้ว ทุกคนในวังหลังนี้ล้วนไม่ต่างกับมดปลวก สามารถถูกคนเหยียบย่ำได้ตลอดเวลา สิ่งที่ตนเองเทิดทูนให้ความสำคัญล้วนถูกผู้อื่นเหยียบไว้อยู่ใต้ฝ่าเท้าได้เช่นกัน 

 

 

“ใต้เท้าหวัง หวังว่าท่านจะไม่สำนึกเสียใจกับเรื่องในวันนี้!” 

 

 

เซียงฉือยังคงบันดาลโทสะไม่หยุดยั้ง นางไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองจึงต้องรับการกระทำที่ไม่ยุติธรรมมากมายเช่นนี้ นางอาศัยเพียงความสามารถตนเองเพื่อทำเรื่องบางอย่าง เรื่องที่มีความหมายอยู่บ้าง 

 

 

เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องคอยประจบประแจงไร้ศักดิ์ศรีอยู่ทุกวี่วัน ทั้งยังอกสั่นขวัญแขวนว่าจะกลายเป็นหมากเบี้ยที่หมดความสำคัญของเจ้านายและถูกฆ่าทิ้งได้ตลอดเวลา 

 

 

อีกทั้งยังหวังจะให้ตนเองเป็นคนที่มีประโยชน์ สามารถอยู่รอดในวังหลังนี้ได้อย่างเข้มแข็ง สามารถเป็นความหวังให้กับคนข้างกายและมีความหวังให้กับอนาคตของตนเอง 

 

 

“นังเด็กปากกล้าบังอาจลบหลู่ข้า กุ้ยเฟยสั่งความไว้แล้ว ไม่มีใครต้องการรับเจ้าไว้ เจ้ายังบังอาจมาไร้มารยาทต่อหน้าข้าอีก” 

 

 

หวังชิงซิ่วอาศัยความสัมพันธ์ทางไทเฮาจึงวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในวังหลังมาโดยตลอด หัวหน้างานของแต่ละกองงานล้วนต้องไต่เต้าทีละขั้นๆ แต่เพราะนางอาศัยความสัมพันธ์จึงได้มีฐานะในวันนี้ และลำพองไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตาตลอดมา 

 

 

กระทั่งตอนนี้ยังบุ่มบ่าม หัวหน้ากองอื่นถึงแม้จะได้รับการแจ้งของกุ้ยเฟย แต่พวกนางรับรู้อยู่ในใจ ไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง อย่างน้อยก็ไม่เหมือนกับหวังชิงซิ่วที่ทำให้ถูกผู้อื่นจับผิดคำพูดได้ 

 

 

เป็นเพราะตอนนี้นางอับอายจนกลายเป็นโทสะจึงไม่ยอมละเว้นเซียงฉือ 

 

 

เซียงฉือได้รับความอยุติธรรม ความเพียรพยายามของตนกำลังถูกคำพูดเพียงคำเดียวของผู้หญิงคนนี้ทำให้ไร้ค่า ในใจนางจึงราวกับมีกองไฟกำลังเผาไหม้อยู่ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 239 สวี่อี้เข้าช่วย 

 

 

สายตาของทั้งสองคนปะทะกันอย่างแรงกลางอากาศ เซียงฉือถูกทหารองครักษ์จับแขนไว้ แล้วหวังชิงซิ่วก็ยกมือขึ้นตบเซียงฉือฉาดหนึ่ง 

 

 

นางตบลงบนซีกหน้าข้างซ้ายของเซียงฉืออย่างเหมาะเหม็ง ผิวพรรณขาวผ่องนั้นจึงปรากฏรอยนิ้วมือทั้งห้าขึ้นอย่างเด่นชัดทันที 

 

 

เลือดซึมออกมาจากมุมปากเซียงฉือ สายตาที่จ้องมองนางนั้นยิ่งดุร้ายขึ้น 

 

 

การวิวาทกันในตำหนักเหวินอิงที่ไม่ใหญ่นักเช่นนี้ทำให้มีคนมามุงดูไม่น้อย ในหมู่คนพากันชี้มือชี้ไม้กระซิบกระซาบแก่กัน คำพูดของผู้คนทำให้หวังชิงซิ่วรู้สึกตัวขึ้นบ้าง 

 

 

นางที่ไม่ยอมจะเลิกราพอเห็นกลุ่มคนข้างๆ ที่แห่กันเข้ามาแล้วจึงรู้สึกถึงความไม่เหมาะสม จึงส่งสายตาให้ทหารองครักษ์นำเซียงฉือออกไป 

 

 

ขณะนั้นสวี่อี้เดินออกมาจากกลุ่มคน 

 

 

“รอเดี๋ยว ใต้เท้าหวังท่านกำลังทำอะไร ผู้สมัครสอบคนนี้ทำอะไรผิดถึงกับต้องให้ทหารองครักษ์นำตัวนางไป” 

 

 

สวี่อี้เป็นคนน้ำเสียงเย็นเยียบ เมื่อเอ่ยขึ้นในที่นี่เวลานี้จึงยิ่งแฝงด้วยอำนาจที่ไม่อาจละเมิดได้ 

 

 

หวังชิงซิ่วเดินไปเบื้องหน้าสวี่อี้ ขวางการเดินเข้าไปของนาง 

 

 

คิ้วที่วาดไว้โก่งงามของนางเลิกขึ้น พูดเสียงเย็นกับสวี่อี้ว่า 

 

 

“นางพูดจาสามหาวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง และยังทำผิดระเบียบในการสอบ ข้าจะขับไล่นางออกจากสนามสอบ เหตุใดเรื่องนี้ใต้เท้าสวี่ต้องเข้ามาวุ่นวายด้วยเล่า” 

 

 

หวังชิงซิ่วคนนั้นถึงจะชอบวางอำนาจบาตรใหญ่แต่ก็ไม่ได้โง่เขลา นางรู้ฐานะของสวี่อี้ในกองคดีดีจึงไม่ต้องการจะไปผิดใจด้วย แต่นางจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องเสียหน้า 

 

 

สวี่อี้พ่นลมออกจมูก ยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างไม่โกรธว่า 

 

 

“ตามกฎพิธีการของวังหลังข้อที่สามสิบเจ็ด ไม่ว่าสตรีในวังจะทำผิดด้วยเรื่องใด จะต้องส่งให้กองคดีไต่สวนกำหนดโทษ” 

 

 

“เซียงฉือเป็นนางกำนัลในวัง และเป็นผู้ที่ผ่านการสอบรอบแรกมาแล้ว อีกทั้งเหตุเกิดขึ้นในวัง แล้วเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับกองคดีของข้าได้อย่างไร หรือว่าใต้เท้าหวังลืมกฎระเบียบของบรรพชนไปแล้ว” 

 

 

ท่าทีของสวี่อี้เย็นชา เพียงแค่คำพูดเรื่อยๆ ไม่กี่ประโยค ก็ยันหวังชิงซิ่วไว้ได้แล้ว 

 

 

หวังชิงซิ่วมองดูสาวใช้ของกุ้ยเฟยและซูเฟยที่ส่งมาด้านหลัง อีกทั้งยังมีพวกซูกงกงก็กำลังมองดูอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่ว่าไม่มีใครเลยที่จะออกมาช่วยนางพูดอะไรบ้าง 

 

 

หวังชิงซิ่วรู้ดีว่าตนไม่มีวาทศิลป์เท่าสวี่อี้ และนางก็ไม่โง่ขนาดเอาตัวเองไปให้ถูกเย้ยหยันอีก 

 

 

เรื่องนี้ทำไปตามคำสั่งของซูเฟย นางเป็นเพียงผู้รับปฏิบัติ ถึงสวี่อี้จะโต้แย้ง แต่เมื่อไปถึงซูเฟยแล้ว นางยังจะทำอะไรได้ 

 

 

“ก็ได้ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็มอบให้ใต้เท้าสวี่อี้ ข้าเข้าวังมานานพอควร ทุกคนในวังนี้ต่างพูดกันว่าใต้เท้าสวี่อี้มีพรสวรรค์สูงส่งในการสืบสวนคดี เป็นเหมือนพระกรซ้ายขวาของฝ่าบาท ข้าก็ควรต้องศึกษาตามให้มาก” 

 

 

“งั้นก็เชิญใต้เท้าสวี่เถิด” 

 

 

เมื่อชิงซิ่วสะบัดมือ ทหารองครักษ์ด้านหลังจึงปล่อยเซียงฉือ 

 

 

“เป็นอะไรไป” 

 

 

พอทหารองครักษ์ปล่อยมือ ร่างของเซียงฉือก็อ่อนยวบทาบไปบนร่างของสวี่อี้ สวี่อี้จึงถามเบาๆ ขึ้นที่ข้างหูนาง 

 

 

แต่เซียงฉือไม่ตอบ พยายามออกแรงสะบัดศีรษะ 

 

 

นางรู้สึกมึนศีรษะตั้งแต่ตื่นเช้าวันนี้ ที่ผ่านมานางพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองต้องสัปหงกในสนามสอบ แต่เมื่อครู่ถูกทหารองครักษ์ฉุดกระชากลากถูอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ในหัวจึงคล้ายดั่งแป้งเปียกกองหนึ่ง 

 

 

“ข้าเวียนหัวเหลือเกิน สวี่อี้ ข้าเวียนหัวมาก” 

 

 

เซียงฉือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง แต่ขณะที่อิงสวี่อี้อยู่นั้น เสมือนได้พบกับที่พึ่งพิงใจ ตอนที่ถูกทหารองครักษ์จับตัวเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าถูกเขาใช้อะไรทิ่มเข้าทีหนึ่งตอนนี้จึงได้วิงเวียนศีรษะ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง