ตอนที่ 163 ไปสุสาน

ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ

ภายในห้องนอนอันเงียบเชียบ ถังโจวโจวถูกคลุมด้วยผ้านวมสีเบจ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอซ่อนอยู่ในนั้น หากมีใครเดินเข้ามาก็อาจจะมองไม่เห็นเธอก็เป็นได้ คงจะมีเพียงเส้นผมสีดำขลับที่อยู่บนหมอนเท่านั้น ที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าภายในห้องนี้ยังมีคนอยู่อีกหนึ่งคน 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามาในห้อง เขาเห็นว่าถังโจวโจวยังคงหลับอยู่ แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร แต่เขาก็ยังคงเดินไปที่เตียง จากนั้นก็เขย่าตัวของถังโจวโจวเบาๆ “โจวโจว ตื่นได้แล้ว” 

 

 

ถังโจวโจวพลิกตัวนอนแผ่หราอยู่บนเตียง ลั่วเซ่าเชินคิดว่าวิธีนี้คงใช้ไม่ได้ผล เขาจึงคุกเข่าลงบนเตียงและใช้นิ้วแหย่ไปที่แก้มของเธอ 

 

 

ถังโจวโจวรู้สึกเหมือนมีอะไรไต่อยู่บนหน้า พอเธอใช้มือปัด ความรู้สึกน่าจักจี้นั้นก็หายไป แต่เพียงไม่นานสิ่งน่ารำคาญนั้นก็กลับมาอีก ถังโจวโจวรู้สึกหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย ในขณะที่กำลังหลับอย่างสบายใจ หากถูกรบกวน ไม่ว่าใครก็คงจะอารมณ์เสียกันทั้งนั้น ถ้าเธออยากตื่น เธอก็ต้องลุกขึ้นมาแล้วสิ 

 

 

ถังโจวโจวใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีออกแรงปัด ในที่สุดสิ่งที่น่ารำคาญใจนั้นก็หายไป ถังโจวโจวขยับปากบ่นพึมพำก่อนจะหลับต่อ 

 

 

ลั่วเซ่าเชินพูดไม่ออก เขาทำถึงขนาดนี้แล้วเธอก็ยังไม่ตื่นอีกหรือ นี่มันอะไรกัน! เทพเจ้าแห่งการนอนลงมาประทับร่างเหรอ ปกติปลุกง่ายกว่านี้นี่? ลั่วเซ่าเชินคิดอยู่ว่า หรือจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนเธอนอนดึกมากเกินไป? 

 

 

เมื่อลั่วเซ่าเชินคิดได้ดังนั้น ภาพในหัวของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพที่สวยงาม เขานึกถึงภาพที่ถังโจวโจวพยายามขอร้องเขาสุดชีวิต แต่เขาก็ยังคงตักตวงความรักจากเธออย่างหนักหน่วง และท้ายที่สุดถังโจวโจวก็ทำได้แค่เพียงกรีดร้องออกมา 

 

 

แม้ว่าเขาจะยังต้องการอีก แต่ลั่วเซ่าเชินก็คิดได้ว่าวันนี้เขายังมีธุระสำคัญที่เขาต้องไปทำอยู่ เขาจึงปล่อยให้ถังโจวโจวนอนต่อไปไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วคงจะไปสายกันพอดี 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเลิกผ้าห่มออกแล้ววางมือลงบนเอวของถังโจวโจว เขาขยับมันแค่สองสามครั้ง คนที่นอนอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อถังโจวโจวฝืนลืมตาที่สะลึมสะลือของเธอขึ้นได้ เธอก็เห็นร่างของใครคนหนึ่งอยู่ตรงหน้า และเมื่อเธอกะพริบตาต่ออีกสองสามที เธอก็พบว่าเขาคือลั่วเซ่าเชิน ซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ถังโจวโจวอยากจะม้วนผ้าห่มกลับ แต่ลั่วเซ่าเชินคว้าผ้าห่มของเธอไว้แน่น ไม่ยอมให้เธอนอนต่อ “เซ่าเชิน คุณทำอะไรน่ะ ทำไมถึงไม่ให้ฉันนอน” 

 

 

ถังโจวโจวอ้าปากหาว หยดน้ำตาคลออยู่เล็กน้อย ลั่วเซ่าเชินตบที่แก้มเธอเบาๆ “เอาละ รีบลุกได้แล้วคุณ เดี๋ยวเราต้องออกไปข้างนอกกัน ลั่วอิงยังว่าง่ายมากกว่าคุณเลย” 

 

 

ถังโจวโจวค้อนขวับ เมื่อได้ยินลั่วเซ่าเชินเปรียบเทียบเธอกับลั่วอิง “ก็คุณไม่ได้บอกฉันล่วงหน้านี่คะ แล้วยังจะมาโทษว่าฉันตื่นสายอีก ถ้าเมื่อคืนนี้ไม่ใช่เพราะคุณ…” 

 

 

“เมื่อคืนทำไมเหรอ?” ลั่วเซ่าเชินยิ้มกริ่มพลางมองไปที่ถังโจวโจว เขาเห็นว่าเธอค่อยๆ หยุดพูด ใบหน้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนสี ดูน่ารักเป็นอย่างมาก 

 

 

ถังโจวโจวไม่อยากจะเสวนากับเจ้าหมาป่าตัวนี้ เธอจึงหันหน้าหนี “คุณออกไปก่อนค่ะ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว” 

 

 

“มีตรงไหนบ้างที่ผมยังไม่เห็น คุณจะอายอะไรอีก” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอหน้าแดง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุข พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้แล้ว ถังโจวโจวก็ยังคงขี้อายอยู่เหมือนเดิม 

 

 

อาการเขินอายของถังโจวโจวแปรเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งทันที “จะออกหรือไม่ออกคะ? ถ้าคุณไม่ออก ฉันก็จะไม่ออกไปข้างนอกกับคุณ!” 

 

 

เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินถังโจวโจวพูดขู่ถึงเรื่องนี้ เขาก็หยุดพูดเล่นในทันที “โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมออกไปก่อน คุณก็รีบตามมาล่ะ” 

 

 

หลังจากลั่วเซ่าเชินปิดประตูลงแล้ว ถังโจวโจวก็สะบัดผ้าห่มออกและลุกจากเตียง เธอเดินไปที่หน้าตู้เสื้อผ้า ก่อนจะเปิดออกและหยิบเสื้อผ้าที่เธอจะสวมใส่ในวันนี้ออกมา เป็นกระโปรงจีบลายสก็อตคู่กับเสื้อแจ็คเก็ตบุฝ้ายสีขาว และนอกจากผ้าพันคอสีดำแล้ว เธอก็ยังมีหมวกไหมพรมสีเบจอีกด้วย 

 

 

เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำ ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังแปรงฟันอยู่นั้น เธอก็เห็นรอยแดงบริเวณคอเสื้อของเธอ นั่นคือรอยรักที่ลั่วเซ่าเชินทิ้งไว้บนร่างกายของเธอเมื่อคืนนี้ โชคดีที่ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาว ถังโจวโจวจะสวมเสื้อผ้าหนาสักหน่อยก็คงไม่มีใครสงสัยอะไร 

 

 

ถังโจวโจวจัดการกับตัวเองเสร็จ เธอก็ลงมาชั้นล่าง ลั่วอิงนั่งกินข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะแล้ว ส่วนลั่วเซ่าเชินก็นั่งอยู่ข้างๆ เพียงแต่เขาไม่ได้กินอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าเขากำลังรอเธอหรือว่ากินข้าวเสร็จไปแล้ว 

 

 

อากาศในวันนี้กำลังดี อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่สิบกว่าองศา ซึ่งในตอนนี้ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เมื่อครู่นี้ถังโจวโจวหาเวลาตรวจสอบสภาพอากาศ และได้รู้ว่าวันนี้ท้องฟ้าจะปลอดโปร่ง แต่ตอนนี้น่าจะเช้าเกินไป คงอีกสักพักถึงจะได้เห็นแสงอาทิตย์ 

 

 

ถังโจวโจวนั่งลงบนเก้าอี้ ป้าหลิวยกอาหารเช้าของเธอออกมาเสิร์ฟ และอีกชามหนึ่งก็สำหรับลั่วเซ่าเชิน เขารอกินข้าวพร้อมกันจริงๆ ด้วย! ถังโจวโจวตักโจ๊กข้าวกล้องขึ้นมากินหนึ่งคำ เธอไม่สามารถเก็บกลั้นรอยยิ้มพึงพอใจเอาไว้ได้ 

 

 

“แม่โจวโจวขา คุณพ่อบอกว่าวันนี้เราจะออกไปข้างนอกกัน แล้วทำไมคุณแม่เพิ่งจะลงมาล่ะคะ” ลั่วอิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย 

 

 

“แค่กๆๆ…” เมื่อถังโจวโจวถูกลั่วอิงถามอย่างกะทันหัน เธอก็สำลักโจ๊ก ซึ่งทำให้เธอไอไม่หยุด 

 

 

ลั่วเซ่าเชินรีบส่งน้ำอุ่นที่ตั้งอยู่บนโต๊ะให้ถังโจวโจว “มา ดื่มน้ำก่อน ค่อยๆ หายใจนะ คุณจะรีบอะไรขนาดนั้น ไม่มีใครเร่งคุณสักหน่อย!” 

 

 

เมื่อถังโจวโจวดื่มน้ำลงไปอึกใหญ่ เธอก็รู้สึกว่าโล่งคอมากขึ้น ถังโจวโจวมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน เขายังมีหน้ามาว่าเธออีก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมบอกเธอก่อน เธอจะตื่นสายให้ลั่วอิงหัวเราะเยาะได้อย่างไร! 

 

 

ลั่วเซ่าเชินได้รับคำก่นด่าของถังโจวโจวจากทางสายตา แต่เขาก็แค่ถูจมูกเบาๆ และทำเป็นมองไม่เห็น ลั่วเซ่าเชินรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย ก็เมื่อวานนี้ถังโจวโจวเป็นคนปลุกไฟในตัวเขาขึ้นมา จากนั้นมันก็เหนือการควบคุม เลยพลอยทำให้ถังโจวโจวนอนดึกไปด้วย 

 

 

เดิมทีวันนี้เขาก็อยากจะปล่อยให้เธอพักผ่อนนานกว่านี้ แต่ว่ามันสายมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องปลุกเธอให้ตื่น ใครจะไปรู้ล่ะว่าลั่วอิงจะถามคำถามแบบนี้ออกมา ลั่วเซ่าเชินจึงทำได้แค่เพียงยอมรับผิดอยู่เงียบๆ 

 

 

“แม่โจวโจวดีขึ้นหรือยังคะ” ลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวสำลักเพราะเธอชวนคุย เธอจึงเข้าใจว่าเป็นความผิดของเธอเอง 

 

 

“แม่โจวโจวหายดีแล้วค่ะ ลั่วอิงรีบทานข้าวเถอะนะ อีกเดี๋ยวเราต้องออกไปข้างนอกกันแล้วไม่ใช่เหรอ” ถังโจวโจวเช็ดคราบเม็ดข้าวที่ติดอยู่ที่มุมปากของลั่วอิง 

 

 

ลั่วอิงยังไม่ยอมหยุดคุย “แม่โจวโจวคะ แล้วคุณพ่อได้บอกคุณแม่หรือเปล่าคะว่าวันนี้เราจะออกไปไหนกัน” 

 

 

“ไม่นี่คะ? ทำไมเหรอ ลั่วอิงรู้เหรอลูก” ถังโจวโจวนึกไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ลั่วอิงก็ยังรู้ ดูท่าแล้วลั่วเซ่าเชินคงจะปิดแค่เธอคนเดียว? 

 

 

“รู้ค่ะ!” ถ้าลั่วอิงมีหาง หางเล็กๆ ของเธอก็คงจะสะบัดไปมาอยู่แน่ๆ 

 

 

ถังโจวโจวมองดูท่าทางอันภาคภูมิใจของลั่วอิง ก่อนจะถามว่า “ถ้าอย่างนั้นลั่วอิงบอกแม่โจวโจวหน่อยได้ไหมคะว่าวันนี้เราจะออกไปไหนกัน” 

 

 

ลั่วอิงกำลังจะตอบออกมา พลันเห็นสายตาของลั่วเซ่าเชินจ้องเขม็ง เธอจึงรีบสงบปากสงบคำ “คุณพ่อไม่ให้หนูพูดค่ะ เดี๋ยวแม่โจวโจวไปถึงที่นั่นก็รู้เอง” เธอพูดพลางก้มหน้ากินอาหารเช้าในชามต่อไป 

 

 

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกไปด้วยกันอยู่แล้ว เดี๋ยวพอไปถึงที่นั่นเธอก็รู้เอง ถังโจวโจวพักความอยากรู้ของตัวเองไว้และตั้งใจกินอาหารเช้าต่อให้หมด กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องสิ ถึงจะถูก! 

 

 

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ลั่วเซ่าเชินก็ให้ถังโจวโจวไปเก็บของ ส่วนตัวเขาก็นำรถออกมาจากโรงจอดรถ ถังโจวโจวและลั่วอิงรอเขาอยู่ที่หน้าประตู เมื่อลั่วเซ่าเชินขับรถพอร์เชอสีดำมาจอดที่หน้าประตูบ้าน พวกเธอก็เปิดประตูรถและขึ้นไปนั่ง 

 

 

ถังโจวโจวและลั่วอิงคุยกระซิบกระซาบกันอยู่เบาะหลัง เมื่อเห็นว่ารถจอดอยู่แถบชานเมือง เธอก็มองออกไปด้านนอก แล้วเธอก็พบว่ามีต้นสนมากมายอยู่บนเนินเขา ถังโจวโจวเข้าใจได้ในทันที ว่าแต่จะมาพบใครที่สุสานนะ? 

 

 

ลั่วเซ่าเชินหยิบช่อดอกเบญจมาศสีขาวและดอกลิลลี่ออกมาจากท้ายรถ ถังโจวโจวมองดอกไม้ทั้งสองช่อด้วยความสงสัย มีสองคนหรือ? ถังโจวโจวคิดไปคิดมาก็ไม่รู้ว่าพวกเธอกำลังจะไปพบใคร เธอจึงทำได้แค่เพียงจับมือของลั่วอิงไว้แน่นๆ 

 

 

“ไปกันเถอะ!” ลั่วเซ่าเชินโอบไหล่ของถังโจวโจว ทั้งสามคนเดินเข้าไปในเขตสุสาน ในขณะที่มองดูรูปภาพแต่ละรูปเรียงรายตลอดทาง สีหน้าของถังโจวโจวพลันเคร่งขรึมลง นี่เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เธอจึงทำได้แค่เพียงเคารพผู้คนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ภายใต้พื้นดินให้ได้มากที่สุด 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารูปของคนวัยหนุ่มคนหนึ่ง บนนั้นมีตัวอักษรที่เขียนว่า ‘หลุมฝังศพลั่วเซ่าอวี๋ พี่ชายของผม’ ถังโจวโจวมองไปยังรูปภาพของลั่วเซ่าอวี๋ในชุดทหาร เขาดูกล้าหาญชาญชัยเป็นอย่างมาก 

 

 

ลั่วเซ่าเชินวางช่อดอกเบญจมาศสีขาวไว้ที่หน้าหลุมฝังศพของลั่วเซ่าอวี๋ จากนั้นเขาก็โค้งคำนับ “พี่ครับ ผมพาลั่วอิงกับโจวโจว ภรรยาของผม มาเยี่ยมพี่แล้วนะครับ” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินกวักมือเรียกลั่วอิง “ลั่วอิง มาคำนับคุณลุงเซ่าอวี๋เร็วลูก” เมื่อลั่วอิงได้ยินดังนั้น เธอก็คุกเข่าลงและก้มคำนับหน้าหลุมฝังศพของลั่วเซ่าอวี๋สามครั้ง “โจวโจว นี่พี่ชายผมเอง” 

 

 

ถังโจวโจวเดินเข้าไปใกล้ และโค้งคำนับที่หน้าป้ายหลุมฝังศพ จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็นำพวกเธอไปยังหลุมฝังศพใกล้ๆ กัน ซึ่งบนนั้นเขียนว่า ‘หลุมฝังศพซูเสี่ยว’ 

 

 

ในหัวของถังโจวโจวเต็มไปด้วยคำถาม “เธอเป็นใครหรือคะ เซ่าเชิน” ผู้หญิงในรูปนั้นดูเด็กมาก เธอยิ้มอย่างมีความสุข ซึ่งนั่นสามารถทำให้ผู้คนสัมผัสได้ว่าเธอเป็นคนอารมณ์ดี 

 

 

“คนรักของพี่ชายผมเอง” ลั่วเซ่าเชินพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก 

 

 

ลั่วเซ่าเชินวางดอกลิลลี่สีขาวไว้ที่หน้าหลุมฝังศพของซูเสี่ยว ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถังโจวโจวถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้ แต่เพียงไม่นานก็สลัดความคิดนั้นออกไป เธอปลอบใจตัวเองว่าเธออาจจะคิดมากเกินไป 

 

 

           ถังโจวโจวและลั่วอิงยืนรออยู่ห่างๆ พวกเธอให้พื้นที่แก่ลั่วเซ่าเชิน เขากำลังคุกเข่าพูดอะไรบางอย่างอยู่ที่หน้าหลุมฝังศพของลั่วเซ่าอวี๋ เนื่องจากถังโจวโจวยืนอยู่ไกลเกินไป เธอจึงได้ยินไม่ชัด 

 

 

           เพียงไม่นาน ถังโจวโจวและลั่วอิงก็เดินมานั่งรอในรถ เนื่องจากอากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น และภายในรถก็เปิดระบบทำความอุ่นอยู่ เธอยังไม่เห็นลั่วเซ่าเชินกลับลงมา สายตาของเธอจึงจับจ้องไปที่ประตูทางเข้าของสุสานอยู่ตลอด 

 

 

ลั่วเซ่าเชินคุกเข่าอยู่ที่หน้าป้ายหลุมฝังศพ มือของเขาลูบสัมผัสใบหน้าของลั่วเซ่าอวี๋บนรูปภาพ ส่วนปากของเขาก็พร่ำพูดว่า “พี่ครับ พี่ดูสิว่าลั่วอิงโตขึ้นอีกแล้ว เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน อีกไม่นานเธอก็จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมยังไม่ทันตั้งตัวเลย ไม่รู้ว่าพี่จะชินแล้วหรือยัง” 

 

 

ไม่มีเสียงตอบรับใด เว้นแต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของลั่วเซ่าอวี๋ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ลั่วเซ่าเชินพูด 

 

 

ลั่วเซ่าเชินพูดต่อไปอีก “พี่ครับ ผมมีภรรยาแล้วนะ เธอชื่อถังโจวโจว พี่ชอบเธอไหม? แต่ถึงพี่จะไม่ชอบก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะพี่ห้ามอะไรผมไม่ได้แล้ว และผมก็ไม่อยากให้พี่ต้องมาเป็นห่วงผมอีกหรอกนะ ส่วนผมก็ไม่ห่วงพี่เลยสักนิด เพราะว่าซูเสี่ยวก็อยู่ด้วยกันกับพี่ ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะไม่ยอมรับเธอ แต่ผมจะนับเธอเป็นสะใภ้ใหญ่ตลอดไป… ตลอดไป… 

 

 

…เอาละครับพี่ วันนี้ผมอยู่นานแล้ว ผมคงต้องกลับก่อน ไว้ครั้งหน้าผมจะมาเยี่ยมพี่กับพี่สะใภ้ใหม่นะครับ” ลั่วเซ่าเชินปัดฝุ่นบนร่างกาย ก่อนจะเดินลงไปจากเขา 

 

 

ถังโจวโจวที่กำลังนั่งรอลั่วเซ่าเชินลงมาอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในรถ ทันใดนั้นเอง เธอก็เห็นรถเบนซ์สีเทาที่คุ้นตา และหลังจากที่เจ้าของรถลงมาจากรถ ถังโจวโจวก็ได้พบกับคนที่เธอรู้จัก