ตอนที่ 13 เกิดไรขึ้น?

หัวโจก

นี่คือเรื่องน่าอับอายที่สุดเท่าที่เธอเคยทำมา

สมัยเป็นนักเรียนโจวจิ้งไม่เคยต้องขอให้ใครเลี้ยงข้าว แต่ตอนนี้กลับต้องใช้ความเป็นนักเลงขอข้าวคนอื่นกินฟรี แถมยังเอ่ยปากยืมเงินอีก น่าขายหน้าจริงๆ แต่จะทำไงได้ ในเมื่อเธอไม่เหลือเงินสักหยวน ต่อให้วันหยุดสุดสัปดาห์จะลองไปสมัครงาน ก็ต้องรอคำตอบอีกสองวัน จะให้อดข้าวก็คงไม่ได้ จะให้รีดไถเงินเด็กก็ยิ่งแล้วใหญ่

ความสัมพันธ์ของเธอกับเจ้าเขียวยังคงตึงๆ อยู่ ส่วนยัยมั่วลี่ก็เอาแต่ไล่ให้ไปขอเงินพ่อ ไม่ต้องพูดถึงเฝิงเอี้ยน รายนี้มีแต่จะร้องไห้ตกใจเพราะคิดว่าเธอจะไปหาเรื่อง

โจวจิ้งยังไม่รู้จักสังคมเพื่อนฝูงของร่างนี้ ดูจากมือถือก็พอจะเดาได้ว่ามีเพื่อนไม่มากนัก จึงเหลือแค่เฮ่อซวินกับหยวนคังฉีเท่านั้น

แล้วทำไมไม่ขอให้หยวนคังฉีช่วย ก็เพราะลึกๆ เธอรู้ว่าเขามีเล่ห์เหลี่ยมเยอะ แม้เฮ่อซวินจะดูเย็นชา แต่เธอกลับรู้สึกสบายใจกว่า

แต่เขาไม่ใช่พระเยซูผู้ใจบุญ และไม่มีวี่แววว่าจะยื่นมือเข้าช่วยด้วย—เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักคำว่าเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เอาซะเลย!

“นี่” เฮ่อซวินเรียก

พอเงยหน้ามอง คนตรงหน้าก็ควักเงินออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยัดใส่มือเธอ

โจวจิ้งมองเงิน 1000 หยวน ในมือ—นี่เขาประชดเหรอ?

“อาทิตย์หน้าคืนด้วย!” เฮ่อซวินทำเสียงดุ

“ให้… ให้ยืมจริงๆ เหรอ?” เธอกำเงินในมือ รู้สึกเหมือนฝันไป

“ฉันดูเหมือนมูลนิธิเพื่อเด็กยากไร้งั้นเหรอ?” เขาทำเสียงหงุดหงิด

“หล่อแล้วยังใจดีอีก!” โจวจิ้งรีบเก็บเงินเข้ากระเป๋า แล้วตะโกนเรียกเจ้าของร้าน “คิดเงินด้วย!” จากนั้นก็หันไปยิ้มให้เฮ่อซวิน “มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง ส่วนเงินจะคืนให้วันจันทร์นะ”

เฮ่อซวินยกแก้วขึ้นดื่มอย่างไม่สนใจ

หยวนคังฉีที่เพิ่งเดินกลับมารู้สึกถึงความไม่ปกติ “เกิดไรขึ้น?”

“ไม่มีอะไร” โจวจิ้งตอบ “ฉันกินอิ่มแล้ว ไปจ่ายเงินก่อนนะ”

แม้จะมีเงินติดตัว แต่เธอก็ยืนต่อราคาจนเจ้าของร้านไม่พอใจ “เด็กสมัยนี้เล่ห์เหลี่ยมเยอะจริง!”

ที่จริงโจวจิ้งอยากพูดว่าไม่ต้องทอน แต่ก็เพิ่งจะเป็นหนี้ เลยต้องทำตัวงกต่อไป

ถึงจะบอกว่าเลี้ยง แต่เหมือนพวกเขาต้องมานั่งดูเธอกินข้าวมากกว่า พอออกจากร้านชาบู ก็เกือบถึงเวลาปิดประตูหอพักแล้ว

เป็นเด็กเกเรไม่แย่อย่างที่คิด อยากกินก็กิน อยากเล่นก็เล่น จะทำอะไรก็ได้ ไปเรียนก็ยังเป็นจุดสนใจอีก

เธอรู้สึกถึงความแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้รับตลอดสามสิบกว่าปี เพราะธรรมชาติของมนุษย์มักถูกสิ่งตรงข้ามดึงดูดเสมอ โจวจิ้งเองก็จินตนาการถึงชีวิตแบบเด็กเกเรหลายครั้ง กระทั่งโตก็ยังคงฝันอยู่

หากแต่ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น หลายคนจึงเลือกจะเป็นเด็กดี เพราะมองว่าเด็กเกเรมักไม่มีอนาคต

ในเมื่อเธอถูกส่งให้มาอยู่ในร่างนี้ ก็พร้อมที่จะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ลองสัมผัสชีวิตที่เคยฝัน สัมผัสความรู้สึกที่ไม่ต้องกลัวอะไรเลย

“เป็นเด็กเกเรมันดีแบบนี้นี่เอง!” โจวจิ้งบิดขี้เกียจ โดยไม่รู้เด็กหนุ่มทั้งสองยืนฟังอยู่

หยวนคังฉีทำหน้าสงสัย “พูดอย่างกับเคยเป็นเด็กดีมาก่อน”

โจวจิ้งเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากตอบโต้—สมัยที่ฉันได้เกียรติบัตรนักเรียนดีเด่น พวกนายยังเป็นวุ้นอยู่เลยจ้า!

 

พอกลับถึงห้อง เธอพบเฝิงเอี้ยนที่กำลังขะมักเขม้น****อ่านหนังสืออยู่

แม้จะไม่ใช่เด็กห้องบ๊วย แต่คะแนนก็ไม่ใกล้เคียงห้องกิฟต์จึงต้องขยันเป็นพิเศษ

โจวจิ้งกลัวว่าจะรบกวนสมาธิของรูมเมท จึงทำกิจวัตรอย่างเบามือ

ที่อีกฟากของหอพัก หยวนคังฉีขมวดคิ้วด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าเพื่อนรักถูกยืมเงิน

“เธอเนี่ยนะยืมเงิน?”

เจ้าอ้วนใส่แว่นที่อยู่ห้องเดียวกันถึงกับวางปากกาลง “ได้ข่าวว่าบ้านเธอรวยไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องยืมเงินด้วย?”

“พวกนายนี่ไม่รู้เรื่องเลย!” เจ้าผอมที่นั่งฝั่งตรงข้ามพูดแทรก “ช่วงที่เธอตามจีบหลินเกาหมดเงินไปเยอะมาก ต่อให้รวยแค่ไหนก็คงไม่ไหวเหมือนกัน”

“ไม่ใช่เรื่องนี้ ประเด็นหลักคือทำไมเธอถึงยืมเงินนาย?”หยวนคังฉีมองเฮ่อซวินหัวจรดเท้า

“เฮียเฮ่อหน้าตาใจดีไง” เจ้าผอมอวย

“เหลวไหลน่ะ ถ้าใจดีจริงๆ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่มีใครมาขอความช่วยเหลือล่ะ?” เจ้าอ้วนเถียง

“ก็จริง…” เจ้าผอมเริ่มคล้อยตาม “ที่ผ่านมาเพื่อนๆ มักขอความช่วยเหลือจากเฮียหยวนมากกว่า แต่วันนี้กลับแพ้ทาง”

พวกเขาโด่งดังในยวู่เต๋อไฮสคูลมาก โดยเฉพาะความหล่อที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ดูก็รู้ว่าเฮ่อซวินเป็นคนเข้าถึงยากแถมเย็นชา เมื่อเทียบกับหยวนคังฉีที่ยิ้มแย้มตลอด จึงน่าคบหาและมีคนจีบมากกว่า

ต่างจากโจวจิ้งที่มองข้ามรังสีความเป็นมิตรของหยวนคังฉี และเลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากเฮ่อซวินแทน

“ฉันคุยง่ายกว่าตั้งเยอะ แต่เธอกลับไม่เลือก” เขายังคงรับไม่ได้ “หน้าตานายเหมือนคนที่ยอมให้ยืมเงินง่ายๆ ตรงไหน ทำไมไม่มายืมฉัน?” เป็นครั้งแรกที่หยวนคังฉีไม่มั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง

พอถูกถามมากๆ เฮ่อซวินก็รำคาญ เขาผลักอีกฝ่ายให้พ้นทางแล้วลุกไปแปรงฟัน

“ฉันดูไม่เป็นมิตรตรงไหน?” หยวนคังฉีหันไปถามรูมเมทอีกสองคน

“เป็นมิตร เป็นมิตรมากๆ เลย” เจ้าอ้วนรีบตอบพร้อมกับยื่นขนมให้ “ยัยนั่นคงตกบันไดหัวฟาดพื้นมา อย่าไปใส่ใจเลย”

“เธอกล้าหาญดีนะ” เจ้าผอมพูดขึ้นต่อ “ผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาจีบเฮียเฮ่อต้องผ่านเฮียหยวนก่อน แต่ยัยนี่ชกหมัดเดียวเข้าเป้าเลย ตรงดีฉันชอบ”

เจ้าอ้วนตบหัวเจ้าผอมฉาดใหญ่ “ชอบงั้นเหรอ! ไม่จีบไปเลยล่ะ?”

“เดี๋ยวก่อนนะ ยัยนั่นจีบเฮ่อซวินเหรอ?” หยวนคังฉีสงสัย

“น่าจะใช่ ไม่งั้นจะมาหาบ่อยๆ ทำไม” เจ้าผอมยักไหล่

“แต่เธอกำลังจีบหลินเกาอยู่นะ” เจ้าอ้วนรู้สึกเหมือนตกข่าว

“เมื่อก่อนเคยชอบไม่ได้แปลว่าจะต้องชอบตลอดไปนี่ แถมเฮียเฮ่อของเรายังหน้าตาดีกว่า เรียนดีกว่า รวยกว่า แถมอินดี้กว่าสาวที่ไหนจะไม่ชอบ” เจ้าผอมภูมิใจในตัวเพื่อนร่วมห้องมาก

พอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด หยวนคังฉีก็เดินไปหาเฮ่อซวินที่กำลังแปรงฟันอยู่หน้ากระจก

“รู้แล้วว่าทำไมเธอถึงปล่อยคนที่เป็นมิตรอย่างฉันไป แล้วใช้เรื่องเงินมาเป็นข้ออ้างในการเข้าหา” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “เฮ่อซวิน… นายถูกโจวจิ้งจีบแล้ว!”

ประโยคนี้ทำเฮ่อซวินที่กำลังกลั้วปากสำลักน้ำออกมา

ส่วนโจวจิ้งก็เก็บธนบัตรอันมีค่าของอีกฝ่ายลงกระเป๋าสตางค์แล้วคิดหางานทำเพื่อหาเงินใช้หนี้เขา

“แจกใบปลิวหรืออะไรดีนะ? โอ๊ยยย ทำไมชีวิตเด็กเกเรถึงยากแบบนี้ อยากจะกลับไปตายใหม่เหลือเกิน!”