ตอนที่ 599 ขึ้นอยู่กับผู้ร่วมแผนการ

Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย

เหมิงชีเหว่ยที่ถูกหลูปิงเซ่อซ้อมจนน่วมไปทั้งตัว โดยไม่คำนึงว่าอีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บไปแล้วมากแค่ไหน แต่อารมณ์ของหลูปิงเซ่อก็ยังไม่ดีอยู่ดี ชูฮันสั่งให้เขาต้องอยู่กับเหมิงชีเหว่ยและหาข้อมูลจากอีกฝ่ายมาให้ได้ เพราะอีกฝ่ายดูลึกลับและเหมือนปิดบังบางอย่างอยู่

 

คนอื่นๆไม่รู้ว่าเหมิงชีเหว่ยได้อาศัยอยู่ที่นี้มาเป็นเวลากว่าสี่เดือนแล้วท่ามกลางความวุ่นวายภายในพื้นที่ผู้ลี้ภัย อย่างน้อยมันก็ต้องมีคนรู้จักกว่าหนึ่งหรือสองคนถ้ามันเป็นเรื่องจริง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ชูฮันถึงต้องใช้สองทีมทำงาน

 

หลูปิงเซ่อมองออกว่าชูฮันมีบางอย่างกับเหมิงชีเหว่ย แต่เข้าไม่เข้าใจว่ามันคือะไร ถึงแม้เขาจะได้รับอนญาตให้หาข้อมูลจากเหมิงชีเหว่ยแต่เขาก็ไม่สามารถทำร้ายอีกฝ่ายจนเกินไปได้

 

แม่งเอ๊ย! นี่เขาตกหลุมกับดักของหัวหน้าชูฮันอีกแล้ว!

 

หลูปิงเซ่อหยิบโน๊ตที่ชูฮันเขียนให้เขาขึ้นมาดู แต่มันไม่มีข้อความอะไรมากข้างใน เพียงแค่ประโยคหลักๆไม่กี่คำสำหรับคำถามที่เขาต้องถามเหมิงชีเหว่ย  หนึ่งในคำถามหลักๆคือ ชินหยวน

 

หลูปิงเซ่อถอนหายใจอย่างหมดหนทาง

 

มันแน่ชัดว่าชูฮันเข้ามาในค่ายหลังพวกเขา แต่ชูฮันกลับมีข้อมูลข่าวสารลึกกว่าพวกเขาซะอีก ความก้าวหน้าของการทำงานนั้นเทียบเท่ากับหัวหน้าไม่ติดเลยสักนิด ความรู้สึกบูชาและนับถือชูฮันยิ่งเพิ่มขึ้นเข้าไป

 

“อย่าโกหก ลุกขึ้นมานั่งที่พื้นและพักซะ” หลูปิงเซ่อพยายามทำความเข้าใจความคิดของชูฮัน เขาเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเหมิงชีเหว่ยเป็นครั้งแรก และยังหยิบอาหารออกมาจากกระเป๋าด้วย “ฉันทำร้ายนายมากเกินไป ถือว่าอาหารนี่เป็นการชดเชยละกัน”

 

เหมิงชีเหว่ยและคนอื่นๆตาโตเป็นประกาย พวกเขาตื่นเต้นมากและรับอาหารไปกินอย่างมูมมามทันที

 

ในตอนนั้น น้ำเสียงของหลูปิงเซ่อก็เปลี่ยนไป มันเข้มขึ้น เขายกกริชในมือขึ้นกำมันแน่น “แต่อย่ามากเกินไปล่ะ ฉันโมโหพวกนายเพราะพวกนายคิดจะปล้นฉัน เพราะฉะนั้นถือว่าเราหายกัน!”

 

ในขณะที่ทีมความลับของพระเจ้ากำลังสำรวจข้อมูล ชูฮันกับทีมกุ้งเสือดำก็ได้เดินวนรอบพื้นที่ผู้ลี้ภัยดูลาดลาวไปแล้วสองสามรอบ พวกเขาไม่ได้ออกมาเดินบนถนนอย่างโจ๋งครึ่ม แต่ไปตามทางที่มืดมิดที่สุดที่มันมีเส้นทางให้เดินไปโดยไม่ให้ใครเห็นพวกเขา

 

ถ้าอยากจะสร้างความวุ่นวายขึ้นในค่ายเจียนอี๋ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน

 

“พวกนายมาจากบริเวณจุดศูนย์กลางของค่าย พวกนายจำเส้นทางตลอดทางที่มีได้มั้ย?” ชูฮันได้จดจำภูมิศาสตร์ทั่วไปของพื้นที่ผู้ลี้ภัยไว้ในหัวเรียบร้อยแล้ว แต่การจดจำแค่พื้นที่นี้มันยังไม่เพียงพอ

 

“ผมคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์เมื่อตอนที่ออกมา เพราะงั้นผมก็เลยวาดแผนที่เอาไว้ครับ” คำตอบของเสี่ยวเคินเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย เขาหยิบกระดาษขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงและส่งให้ชูฮัน และพูดต่อ “ตอนนั้นพวกเขากำลังหนีคนของค่ายมาด้วยครับ เพรางั้นเส้นทางมันเลยจำกัดและมีแค่เท่าที่ผมพอจะจำได้ ส่วนอีกสองเส้นนั่นผมไม่รู้ว่ามันจะนำพาไปที่ไหนครับ”

 

ชูฮันรับมา แววตาของเขามีแสงวูบวาบ ทีมกุ้งเสือดำทำตัวเงียบๆไม่โดดเด่น แต่คอยติดตามทุกอย่างอย่างเงียบๆ ความสามารถในการทำสิ่งต่างๆทำให้ชูฮันค่อนข้างแปลกใจ พวกเขาสามารถทำงานด้วยตัวเองได้

 

“ดูโดยรวมแล้ว ค่ายเจียนอี๋แบ่งได้คร่าวๆเป็นสามจุด” ชูฮันมองแผนที่ที่เสี่ยวเคินร่างไว้ง่ายๆในมือ “พื้นที่ผู้ลี้ภัยอยู่ไม่ไกลจากศูนย์กลางของค่ายเท่าไหร่ ส่วนพื้นที่กว้างใหญ่ทางด้านซ้ายน่าจะเป็นพื้นที่สำหรับชาวบ้านทั่วไป ในค่ายนี้มีผู้รอดชีวิตอยู่หนึ่งหมื่นคน ซึ่งทั้งสามจุดนี้ต่างเชื่อมต่อกันและกัน”

 

เสี่ยวเคินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น “จุดศูนย์กลางนั้นเข้มงวดอย่างมาก แต่มันก็ไม่อยากจะเจาะเข้าไป”

 

ชูฮันหันไปมองเสี่ยวเคิน แววตาของชูฮันกำลังยิ้มอยู่ “ทีมกุ้งเสือดำแบ่งออกเป็นสองทีมย่อย ทีมหนึ่งเข้าไปที่เขตชาวบ้าน ส่วนอีกทีมไปที่ศูนย์กลางของค่าย ฉันต้องการแผนที่ที่ครอบคลุมทุกอย่าง”

 

“ครับ!” เสี่ยวเคินไม่ลังเลที่จะตอบรับคำสั่งของชูฮันเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับสมาชิกของทีมกุ้งเสือดำของเขาทุกคน

 

หลังจากทหารของทีมกุ้งเสือดำจากเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งที่ชูฮันให้ ชูฮันก็ไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่บ้านพักทันที หากเขากลับเดินดูลาดลาวต่อคนเดียว และพอถึช่วงค่ำๆ อาหารแจกฟรีจากทางค่ายก็เริ่มทำการแจกจ่าย ชูฮันเองก็เดินตามกลุ่มคนที่เบียดอัดกันไปหยิบอาหาร เขาคว้าซาลาเปามาหนึ่งลูกและนำมันไปให้เด็กลี้ภัยที่หยิบไม่ทันคนอื่น

 

ข้อมูลที่ทีมความลับของพระเจ้าหามานั่นไม่เพียงพอ ข้อความของเหมิงชีเหว่ยไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือและขอบเขตของข้อมูลก็ไม่กว้างเท่าไหร่ การรวบรวมข้อมูลจำนวนมากที่แท้จริงควรจะมาจากทั้งพื้นที่ผู้ลี้ภัย

 

มันวุ่นวายโกลาหลมาก ไม่มีระบบกฏหมาย ไม่ว่าใครจะทำอะไร มันก็ไม่มีผลกระทบต่อการกระทำของตัวเอง อาหารเพียงแค่เล็กน้อยก็มากพอที่จะปริปากผู้ลี้ภัยคนไหนก็ได้กับทุกอย่างที่พวกเขารู้แล้ว

 

สำหรับพวกผู้ลี้ภัย ข่าวสารทั้งหลายอาจเป็นเพียงแค่เรื่องซุบซิบนินทาหรือการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม แต่สำหรับชูฮันนี่คือปัจจัยสำหรับการกระทำต่อไปของเขา ดังนั้นหลังจากนั้นในช่วงบ่าย ชูฮันจึงมีข้อมูลพื้นฐานโดยรวมทั้งหมดของค่ายอยู่ในหัวแล้ว เงื่อนไขของการชีวิต ข้อมูลข่าวสารเรื่องซุบซิบทั้งหลาย แม้ว่ามันอาจจะมีการเบี่ยงเบนอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แต่หลังจากการคัดกรองทั้งหมด มันก็เพียงพอให้ชูฮันกำหนดแผนการขึ้นได้

 

กลับไปที่บ้านพัก ทีมความลับของพระเจ้าเองก็ทำภารกิจในการเค้นคำสารภาพของเหมิงขีเหว่ยได้สำเร็จ สถานการณ์นั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหมิงชีเหว่ยอยู่ในสภาพย่ำแย่ ชูฮันเห็นว่าเหมิงชีเหว่ยมีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีกหลายจุด เห็นได้ชัดว่าการใช้ไม้อ่อนของหลูปิงเซ่อคงจะเปล่าประโยชน์

 

ชูฮันไม่ได้คาดคั้นอะไร เหมิงชีเหว่ยมีตัวแปรมากเกินไป และเมื่อหลูปิงเซ่อเดินเข้ามาในห้อง ชูฮันก็หันไปมองด้วยตาจริงจัง “ทำยังไง?”

 

“ทุกอย่างกระจ่างตรงจุดนี้ครับ” หลูปิงเซ่อวางความคิดประชดประชันลง เขารู้ว่ามันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ แม้ชูฮันจะไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องเมิงชีเหว่ย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ข่าวกรองที่ได้

 

ชูฮันเหลียวไปดูและได้เห็นข้อมูลที่หลูปิงเซ่อได้มา มันยังข้อมูลหยาบๆเท่านั้น โชคยังดี ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ผู้ร่วมกระบวนการลม!

 

ต่อมา หลังจากแววตาของชูฮันที่มองมา และแสงวาวในนัยน์ตาของชูฮัน “นี่ได้มาจากหลังลงโทษใช่มั้ย?”

 

“ไม่ใช่ครับ” หลูปิงเซ่อส่ายหัว “ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือหลอก”

 

“เขาไม่ได้โกหก นี่เป็นข้อมูลคร่าวๆแบบเดียวกับที่ฉันเจอข้างนอกเหมือนกัน ผู้ชายคนนี้รู้อะไรหลายอย่า

และมีข้อมูลละเอียดพอสมควร” ชูฮันพูดด้วยน้ำเสียงสนใจ “ไปหายามาทำแผลให้เค้าหน่อย มันดูแย่เกินไป”

 

“เรียบร้อยแล้วครับ” หลูปิงเซ่อยิ้มให้ชูฮัน “แต่ชินหยวนนี้เป็นบุคคลสำคัญในแผนการของเราเหรอครับ? ประสบการณ์ชีวิตเขาดูเจอมาหนักไม่น้อย!”