บทที่ 582 ผู้อยู่บนจุดสูงสุด!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 582 ผู้อยู่บนจุดสูงสุด!
หลังจากที่คว้าเอากุญแจมา หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำ เขากลับยืนนิ่งอยู่บนก้อนหินข้างๆ กายตู้กูหลินก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีคลื่นสะท้านเป็นระลอกออกไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้แผนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนเริ่มพร่าเลือน ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้ขึ้น ครั้งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นราวสิบสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ เป็นสัญญาณ…ว่าการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไปกำลังจะมา

“จบกันเท่านี้ละนะ” หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมาแผ่วเบาขณะที่ละสายตาจากท้องฟ้าสีดำก่อนจะก้มศีรษะลงมองตู้กูหลินอย่างใจเย็น หวังเป่าเล่อโคลงศีรษะขณะที่จ้องมองคู่ปรับของเขา ผู้ซึ่งยังคงมีเลือดไหลออกมาเป็นทางและพยายามจะลุกขึ้นยืนอย่างลำบากลำบน ชายหนุ่มโคลงศีรษะอีกครั้ง คราวนี้เขาตัดสินใจจากประสบการณ์ในชีวิต ไม่ใช่ตามคำสอนของอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง หวังเป่าเล่อยื่นมือออกไปให้ตู้กูหลิน

ตู้กูหลินผู้ซึ่งไร้กำลังและพยายามดิ้นรนจะลุกขึ้นอยู่นั่นตกใจขึ้นมาชั่วขณะเมื่อมองเห็นมือของหวังเป่าเล่อที่ยื่นมา เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมาได้ และคว้าเอามือขวาของหวังเป่าเล่อไว้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เช็ดโลหิตจากมุมปากด้วยซ้ำ แม้ว่าร่างกายจะยังสั่นเทาแต่เมื่อหวังเป่าเล่ออกแรงดึง ตู้กูหลินก็ลุกขึ้นมานั่งได้

แรงดึงนั้นดูเหมือนจะสะเทือนไปถึงอาการบาดเจ็บของตู้กูหลินทำให้เขาถึงกับห่อปาก ก่อนจะจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อพร้อมกับหอบหายใจ พลางจ้องมองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และเลื่อมใส

“ในสหพันธรัฐ ยังมีใครแข็งแกร่งเช่นเจ้าอีกหรือไม่” ดู้กูหลินอดใจถามไม่ได้

“ถ้าเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตา หากว่าข้า หวังเป่าเล่อผู้นี้บอกว่าเป็นอันดับสอง ก็คงไม่มีใครกล้าพูดได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง! แต่ถ้าหากในด้านการต่อสู้แล้ว ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้าอยู่อีกมากมายนัก” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดเนิบๆ หากว่าเป็นใครอื่นที่พูดแบบนั้นก็คงต้องรู้สึกอับอายเป็นอันมาก แต่ทว่า เพราะหวังเป่าเล่อสะกดจิตตนเองมานับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มจึงเชื่ออย่างสนิทใจในคำพูดเยินยอรูปลักษณ์ของตนเองเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้ เขาน้ำหนักลดลงไปมากโข!

ตู้กูหลินไม่เคยพูดคุยกับหวังเป่าเล่อมาก่อน เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาถึงกับงุนงง ทันใดนั้นเอง เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นก่อนที่สนามทดสอบจะสั่นไหว พลังการเคลื่อนย้ายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนยังคงตกตะลึงไม่หายจากผลการต่อสู้ที่เพิ่งจบลงไปนั้นเมื่อการเคลื่อนย้ายเริ่มขึ้น!

การเคลื่อนย้ายนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในสนามทดสอบ ทุกๆ คนที่ไม่ได้ถือกุญแจอยู่จะต้องหลุดออกไป และในขณะนี้ มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่มีกุญแจอยู่กับตัว

เมื่อเห็นการเคลื่อนย้ายที่กำลังเริ่มขึ้นและสัมผัสได้ถึงพลังการเคลื่อนย้ายที่ดูดดึงกายเขาออกมาจากสนามทดสอบไป ตู้กูหลินก็สูดลมหายใจ สายตางุนงงของเขาจ้องมองหวังเป่าเล่อผู้ผ่ายผอมอย่างชื่นชม ก่อนจะผงกศีรษะเบาๆ ไปให้

“ความหมายของความงามในสหพันธรัฐของเจ้า อา…ข้าเข้าใจแล้ว จริงๆ เราควรจะเกลียดชังกันมากมายแท้ๆ” ตู้กูหลินพูดเบาๆ ก่อนจะโคลงศีรษะอยู่ไปมา เขาไม่ใช่คนที่จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แม้ว่าชายหนุ่มอาจจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่จากการต่อสู้ครั้งนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็แก้ไขไม่ได้ ไม่นานนัก จิตวิญญาณการต่อสู้ก็ลุกโชนอยู่ในสายตาเขาอีกครา ตู้กูหลินจ้องมองหวังเป่าเล่อก่อนจะพูดว่า

“หวังเป่าเล่อ การต่อสู้ครั้งนี้ช่างยอดเยี่ยม ข้าจะกลับไปถือสันโดษอีกครั้ง เจ้าเองก็จงฝึกให้หนัก เพราะว่าเมื่อข้าออกมาจากถือสันโดษเมื่อใด ข้าจะท้าเจ้าสู้อีกครั้งหนึ่ง!” เมื่อพูดจบ นัยน์ตาเขาก็มีประกายร้อนแรงสะท้อนอยู่ กายของตู้กูหลินเริ่มพร่าเลือนเมื่อพลังการเคลื่อนย้ายสูบพาเอาสรรพสิ่งไป แต่จิตวิญญาณการต่อสู้ที่เผาไหม้ในกายนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่แม้กระทั่งพลังเคลื่อนย้ายก็ไม่อาจลบล้างได้

“ข้าจะเฝ้าคอยการต่อสู้ของเราครั้งต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ!” หวังเป่าเล่อตอบกลับอย่างผ่อนคลาย ตู้กูหลินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนที่ร่างกายของเขาจะสลายหายไปจนหมด ในขณะเดียวกัน ผู้ชมรอบข้างก็จางไปด้วย แต่ก่อนที่พวกเขาจะหายไปนั้น ต่างก็พากันประกบมือคำนับหวังเป่าเล่ออย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ดวงตาของพวกเขาทุกคนมีประกายแห่งความตื่นเต้นและชื่นชม เพราะพวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ่งว่า ต่อแต่นี้จะไม่มีใครกล้าดูหมิ่นนาม ‘หวังเป่าเล่อ’ อีกเป็นอันขาด แม้ว่าจะมีผู้ที่อยากจะแข็งข้ออยู่ไม่น้อย แต่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็จะต้องมีปฏิกริยานบนอบต่อชายหนุ่ม แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม เพราะอย่างไรเสีย กฎเพียงข้อเดียวของสำนักวังเต๋าไพศาลก็คือ ผู้แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด!

ผู้คนพากันทยอยหายไปเรื่อยๆ ทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ด้วย พวกเขาหายไปพร้อมกับความสุขสมและตื่นเต้นในแววตา กระทั่งหวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่แต่ผู้เดียวบทสนามทดสอบ!

เหลือไว้แต่เพียงความว่างเปล่าระหว่างสวรรค์และพื้นพสุธาในสนามทดสอบนั้น ความเงียบสงบทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อสงบลงไปด้วย ชายหนุ่มเงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน พลางนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เข้ามาที่นี่ ประกายประหลาดฉาบเคลือบอยู่ในดวงตา ก่อนที่เขาจะนึกถามขึ้นมาในใจว่า

“แม่นางน้อย เป็นไปได้ไหมว่า เมื่อข้าแข็งแกร่งกว่านี้ ฝักกระบี่ในกายข้าจะสามารถเก็บเอากระบี่สำริดเขียวโบราณเอาไว้ได้ทั้งเล่ม”

แม่นางน้อยผู้ซึ่งไม่ได้พูดจากับเขาตั้งแต่ชายหนุ่มเข้ามาในสนามทดสอบแห่งนี้ก็เงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ในใจของหวังเป่าเล่อว่า

“ได้แน่นอน!”

หวังเป่าเล่อยิ้ม ชายหนุ่มก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอ เพราะเขาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในสนามทดสอบ ทำให้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไม่สลายตัวไปเหมือนเช่นวันก่อน มันกลับเปิดคอยให้หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไป

ขณะที่เขาก้าวเท้าออกไปนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกราวกับว่าได้ก้าวข้ามอากาศบางเบาระหว่างขุนเขา ร่างกายของชายหนุ่มพร่าเลือน เริ่มจากขา ไล่ขึ้นมาถึงแขน ก่อนที่ตัวเขาทั้งหมดจะหายวับไป ในที่สุด การทดสอบที่ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลจับตามองก็มาถึงจุดสิ้นสุด!

หวังเป่าเล่อมองเห็นทุกอย่างพร่าเลือน เมื่อการเคลื่อนย้ายสิ้นสุดลง และทุกสิ่งตรงหน้ากลับมาชัดเจนอีกครา ชายหนุ่มก็เห็นท้องฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของวังเต๋าไพศาลตรงหน้าอีกครั้ง ทะเลเพลิงอยู่ห่างออกไปสุดสายตา โถงใหญ่ที่ยอดของภูเขา และสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาที่ตัวเขาที่ยืนอยู่บนจัตุรัสสาธารณะนั้น!

ในสายตาเหล่านั้นมีโจวซู่เต๋า ตู้กูหลิน และคนอื่นๆ ที่เขาเอาชนะมาได้ เช่นเดียวกับเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า และพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐคนอื่นๆ แต่ทว่า ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะรู้จักพวกเขาหรือไม่ ในวินาทีนั้น ทุกสายตาต่างก็จับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว เช่นเดียวกับบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคน รวมไปถึงเมี่ยเลี่ยจื่อและพวก

ความเงียบงันปกคลุมจัตุรัสสาธารณะอยู่ครู่ใหญ่

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นคนของสหพันธรัฐ ชายหนุ่มเองก็ได้แสดงพลังการยุทธที่ทำเอาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลต้องตื่นตะลึง แม้ว่าพวกเขาส่วนมากจะเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิก็ตาม แต่ทว่า มีบางคนที่รู้สึกอิจฉาหวังเป่าเล่ออยู่ไม่น้อยโดยที่ไม่แสดงออกมา แต่อย่างไรเสีย ขณะนี้ หวังเป่าเล่อก็ต่างไปจากเมื่อก่อนลิบลับ!

การจะเรียกเขาว่าผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด หลังจากที่กำราบโจวชู่เต๋าและตู้กูหลินก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยแม้แต่น้อย!

กระทั่งเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต่างก็พากันจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาลึกล้ำยากจะคาดเดา แน่นอนว่า คลื่นพลังที่แผ่ออกมาระหว่างการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับตู้กูหลินนั้นก้าวผ่านระดับกำเนิดแก่นในไปแล้ว นับว่ารุนแรงเพียงพอจะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณเลยก็ว่าได้!

พวกเขาย่อมต้องเคารพพลังระดับนั้นอย่างแน่นอน กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งดูขังขังเป็นพิเศษ ก็ยังมีแววตาชื่นชมเมื่อมองจ้องมายังหวังเป่าเล่อ แต่ทว่า ชายชราก็อดเสียดายไม่ได้ที่คนที่เก่งกาจเช่นนี้ไม่ได้อยู่ในสายของเขา

ส่วนศิษย์สำนักเต๋าโยวหรันนั้นหลับตาพริ้มพร้อมกับมีรอยยิ้มบางๆ พาดผ่านใบหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ในใจ

ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น หวังเป่าเล่อค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างช้าๆ ก่อนจะยกมือคารวะพร้อมโค้งคำนับต่ำไปยังเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่สูงขึ้นไป

การทำความเคารพของหวังเป่าเล่อทำเอาเฟิ่งชิวหรันเอ่อท้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายประดังประเด นางผุดลุกขึ้นยืนทันที เมี่ยเลี่ยจื่อทอดถอนใจก่อนจะยืนขึ้นตาม โยวหรันยืนตามขึ้นเช่นกัน เมื่อทั้งสามลุกขึ้นยืน บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ก็ยืนบ้าง พร้อมๆ กับบรรดาศิษย์ที่รายล้อมอยู่โดยรอบ!

“ลั่นระฆังได้!” เฟิ่งชิวรันพูดโดยไม่รอเมี่ยเลี่ยจื่อ หากสถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อคงจะรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นแน่ แต่ทว่า ขณะนี้นั้น เขาเงียบเฉยอยู่ เป็นเชิงว่าไม่ได้ติดใจอะไร

“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์ของข้า หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งได้อันดับหนึ่งในการทดสอบแย่งชิงใบต้นไฮยาซิน เจ้าจะได้รับใบต้นไฮยาซินสามใบและสามารถจะนำไปแจกจ่ายได้ตามใจปรารถนา!” เฟิ่งชิวหรันยิ้มอย่างอบอุ่นขณะที่เสียงระฆังดังก้องกังวาลไปทั่ววังเต๋าไพศาล

เสียงระฆังกังวาลสะท้อนก้องได้ยินชัดเจนทั่วกัน หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งขณะนี้ตกเป็นเป้าความสนใจของมวลชน หัวใจสั่นสะเทือนเพราะเสียงนั้น ชายหนุ่มก้มลงมองเจ้าเยี่ยเหมิงและพรรคพวกก่อนจะส่งยิ้มให้ ก่อนที่ยกมือคารวะเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ อีกครั้ง

“คณะผู้อาวุโสเมตตาข้ายิ่งแล้ว!”

เมื่อสิ้นเสียงหวังเป่าเล่อพูด เสียงอื้ออึงดังสนั่นก็ดังขึ้นจากบรรดาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐ เสียงสนับสนุนนั้นดังก้องไปไกล ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเองก็เริ่มออกเสียงเช่นกัน พวกเขาต่างก็แสดงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็หันกลับมาพูดคุยกับพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐอย่างออกรส ท่ามกลางความวุ่นวายกลางจัตุรัสสาธารณะนั้น เซี่ยไห่หยาง ผู้ซึ่งแฝงตัวอยู่ในฝูงชน ก็เริ่มเก็บดอกผลของการเสี่ยงโชคที่เขาหว่านเอาไว้ด้วยความรื่นรมย์ใจ

จู่ๆ ก็มีเสียงพูดถึงชามทั้งสามใบที่เซี่ยไห่หยางดึงออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เซี่ยไห่หยางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนพลิกชามแรกขึ้นมา ภายในมีแผ่นหยกอยู่ที่มีคำว่า ‘หวังเป่าเล่อ’ เขียนอยู่!

จากนั้น เมื่อพลิกชามที่สองและสามขึ้นมา เฉกเช่นเดียวกัน ชื่อ ‘หวังเป่าเล่อ’ เขียนอยู่ในชามทั้งสองเช่นกัน!