ตอนที่ 232 กำจัดปีศาจ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 232 กำจัดปีศาจ โดย Ink Stone_Fantasy

ชายร่างผอมแห้งทำเสียง “ถุย” ออกมา

แม้ว่าเสียงจะไม่ดังมาก แต่พริบตาที่เขาอ้าปาก แสงลูกกลมๆ สีมืดครึมก็ถูกพ่นออกมา

เข็มเงาหยกแทงเข้าไปในแสงลูกกลมๆ และค่อยๆ หยุดชะงักลง

ชายหนุ่มร่างผอมบางอาศัยโอกาสนี้หันศีรษะจนหลบเข็มเงาหยกไปได้

ขณะนั้นเองหลิ่วหมิงที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ก็กระทืบเท้าลงพื้นในฉับพลัน ร่างของเขาพุ่งเข้ามาราวกับลูกธนู พอเคลื่อนไหวเพียงแค่ทีเดียวก็มาถึงข้างชายหนุ่มร่างผอมบางราวกับปีศาจ พอเขายกแขนขึ้น แท่งวารีสีฟ้าก็พุ่งออกไป

ชายหนุ่มร่างผอมบางมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาในทันที มือข้างที่บีบคมวายุจนแหลกละเอียดก็พร่ามัวไปต้านทานแท่งวารีไว้ ขณะเดียวกันก็หัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา

“คิดจะทำร้ายข้าด้วยวิชาแบบนี้หรือ ฝันไปเถอะ!”

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าแปลกๆ ออกมาในฉับพลัน และตีลังกาถอยไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกัน แท่งวารีสีฟ้าก็ระเบิดตัวออกมาโดยที่ชายหนุ่มร่างผอมบางยังไม่ทันได้บีบมัน

“ตู๊ม!” ไอเย็นประหลาดๆ ม้วนตัวออกไป

สำหรับชายหนุ่มร่างผอมบางแล้ว ไอเย็นแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ดันมีมุกสีแดงขนาดเท่านิ้วโป้งสามเม็ดโผล่ออกมาจากเศษแท่งวารี

“แย่แล้ว!”

ชายหนุ่มร่างผอมบางเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก เขาอยากจะทำท่าป้องกันก็สายเกินไปเสียแล้ว

มุกสีแดงทั้งสามระเบิดออกมาพร้อมกันภายใต้แสงสว่างที่เปล่งประกายออกมา

“ตู๊ม!” “ตู๊ม!” “ตู๊ม!”

หมอกเพลิงสามกลุ่มที่อยู่เหนือหลุมขนาดใหญ่ม้วนพุ่งขึ้นฟ้า มันรวมตัวกันเป็นแสงแดดอันเจิดจ้า

แสงแดดเจิดจ้าปกคลุมชายหนุ่มรูปร่างผอมบางกับเก้าอี้สีทองไว้ในนั้น มันแผ่อุณหภูมิสูงจนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นดูหรุบหรู่ลงทั้งแถบ

ชายหนุ่มที่อยู่กลางแดดเจิดจ้าร้องออกมาอย่างเวทนา จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นขี้เถ้าภายในพริบตา เหลือทิ้งไว้เพียงโครงกระดูกสีดำราวกับหมึก

แต่โครงกระดูกนี้ก็พยุงตัวอยู่ได้เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ค่อยๆ ละลาย

แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเปลวเพลิงสีดำลุกไหม้ขึ้นในเบ้าตาทั้งสอง โครงกระดูกแหงนหน้าแผดเสียงแหลมยาวออกมา เก้าอี้สีทองละลายเป็นของเหลวสีทอง และม้วนตัวเข้าหาโครงกระดูกอย่างรวดเร็ว

พริบตานั้น โครงกระดูกที่ดำมืดราวกับหมึกก็เปล่งประกายสีทองเหลืองอร่ามเจิดจ้า

แต่พริบตาที่โครงกระดูกสีทองหลุดพ้นจากแสงสีแดง ก็มีเงาเคลื่อนไหวตรงหน้า ที่แท้ก็เป็นหลิ่วหมิงที่มาปรากฏตัวอย่างไร้สุ้มเสียง และพอเขายกมือขึ้น สิ่งของสีขาวมัวบางอย่างก็พุ่งออกไป

ที่แท้มันก็คือลูกประคำที่ดูแวววาวเส้นนั้น

แม้ว่าลูกประคำนี้จะไม่ได้ผ่านการปรับแต่งมากนัก แต่พริบตาที่มันเผชิญหน้ากับโครงกระดูกสีทอง ก็มีเสียงภาษาสันสกฤตดังออกมาราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ จากนั้นก็พร่ามัวไปปรากฏอยู่บนคอของโครงกระดูกสีทอง แสงสว่างเปล่งประกายออกมา พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นวงแหวนเจ็ดสีขนาดใหญ่รัดคอไว้แน่น

โครงกระดูกสีทองร้องออกมาอย่างเวทนา ควันเหม็นคาวสีดำพุ่งออกจากคอ ทำให้ร่างเขาสั่นไหวอยู่ไม่หยุดจนไม่อาจควบคุมตนเองได้

“ฟู่!”

เข็มเงาหยกหมุนวนหนึ่งรอบ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในหัวกะโหลก และพุ่งออกมาระหว่างคิ้วของมัน

โครงกระดูกสีทองพยายามสลัดตัวเอาชีวิตรอดอย่างสุดชีวิต ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีดำในเบ้าตาก็สลายไป ร่างที่ดิ้นรนอยู่อ่อนแรงลงในทันที

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาถึงด้านข้างโครงกระดูก แสงสีขาวเปล่งประกายในมือ คมวายุเส้นหนึ่งปรากฏออกมา เขาขยับแขนอีกครั้งเพื่อฟันคมวายุเข้าใส่หัวกระโหลก

แต่ขณะนั้นเอง เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป!

โครงกระดูกสีทองที่ดูไร้ลมหายใจ พลันมีเปลวเพลิงสีดำลุกไหม้ในเบ้าตาอีกครั้ง และหลังจากที่หมุนติ้วๆ แล้วก็กลายเป็นไอสีดำสองสายพุ่งออกไป และยังประกอบกันเป็นหน้าปีศาจสีดำที่ดูพร่ามัว

“เจ้าเด็กน้อย ในเมื่อเจ้าทำลายร่างไอปีศาจของข้าไปแล้ว งั้นข้าก็จะใช้ร่างของเจ้ามาชดเชย”

หน้าปีศาจยิ้มอย่างอัปลักษณ์ จากนั้นก็พุ่งมาหาหลิ่วหมิงอย่างพร่ามัว

หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขาถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันคมวายุสีเขียวในมือก็ฟันหน้าปีศาจอย่างไม่ปราณี

หลังจากแสงสีเขียวกระพริบผ่านไป หน้าปีศาจกลับไม่เป็นอะไรเลย แต่มันกลับพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ

หลิ่วหมิงคำรามออกมาด้วยความโมโห ฝ่ามือถูกพลิกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กระบอกเหล็กสีแดงปรากฏออกมา เพียงแค่ได้ยินเสียง “แกร่กๆ!” ตาข่ายแวววาวก็พุ่งออกไป

ตาข่ายกระพริบผ่านร่างหน้าปีศาจ แต่กลับทำอะไรมันไม่ได้เลย

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก เขาคิดที่จะแสดงวิชาอื่นออกมา แต่ก็ไม่ทันการแล้ว

หน้าปีศาจยืดตัวกลายเป็นไอดำพุ่งไปปะทะกับหลิ่วหมิง

สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเย็นสะท้านในทันทีก็คือ ไม่ว่าแขนทั้งคู่จะต้านทานอาวุธใดๆ ก็ตาม มันไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าปีศาจตนนี้ไร้ซึ่งรูปร่าง

หน้าปีศาจหัวเราะออกมาอย่างแปลกประหลาดและคิดจะมุดเข้าไปในร่างหลิ่วหมิง

แต่ขณะนั้นเอง พลันมีแสงสีแดงเปล่งประกายออกมาบนตัวหลิ่วหมิงสิบกว่าแสง พอหน้าปีศาจสัมผัสกับแสงบางอย่าง มันก็ต้องร้องออกมาอย่างเวทนา พริบตาเดียวก็กลายเป็นไอสีดำม้วนตัวถอยไป

มันคือเกราะเกล็ดมังกรที่หลิ่วหมิงสวมอยู่ พอมันรับรู้ได้ว่ามีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาใกล้ ก็สำแดงอานุภาพอันน่าตกใจออกมา และโจมตีหน้าปีศาจถดถอยไป

หลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ย่อมรู้สึกดีใจมาก เขาอ้าปากพ่นพายุบ้าระห่ำออกมาอย่างไม่ลังเล จนทำให้หน้าปีศาจถูกพัดวนอยู่ที่เดิมไม่หยุด และไม่สามารถเคลื่อนไปที่ได้ในชั่วขณะ

จากนั้นเขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว นิ้วมือนิ้วหนึ่งชี้ไปทางโครงกระดูกสีทอง

“เพล้ง!”

วงแหวนแสงเจ็ดสีตรงคอโครงกระดูกสลายไปในพริบตา และลูกประคำจำนวนมากก็พุ่งยิงออกจากในนั้น มันพร่ามัวไปโจมตีหมอกดำที่กลายมาจากหน้าปีศาจ

ทันใดนั้นกลุ่มแสงเจ็ดสีก็ระเบิดตัวในหมอกดำพร้อมกัน

หน้าปีศาจร้องออกมาอย่างเวทนา หมอกดำดิ้นขยุกขยิกท่ามกลางแสงเจ็ดสีอยู่ไม่หยุด ทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูสภาพเดิมได้ชั่วขณะ

และเมื่อมีเวลาพักหายใจเช่นนี้ หลิ่วหมิงถึงได้ควักยันต์สีเหลืองออกจากแขนเสื้อมาปึกหนึ่งแล้วโยนไปด้านหน้า

“ฟู่!” “ฟู่!”

เพียงแค่ยันต์เหล่านั้นพร่ามัว มันก็ไปแปะอยู่บนหมอกดำ พริบตาเดียวก็ปกคลุมมันไว้อย่างแน่นหนา

หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือในทันที และตะโกนคำว่า “ระเบิด!” ออกมา

ยันต์สีเหลืองทั้งหมดระเบิดตัวออกมาเป็นกลุ่มแสงสีขาว และมีเปลวเพลิงสีทองกระพริบอยู่ในแสงสีขาวไม่หยุด

ครั้งนี้หน้าปีศาจไม่ทันได้ส่งเสียงร้องใดๆ ออกมา จากนั้นเปลวสีทองก็มลายหายไป

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้ถอนหายใจยาวๆ ออกมา

หากไม่ใช่เพราะว่าปีศาจตนนี้ไม่ยอมออกห่างเก้าอี้เลยแม้แต่น้อย และบนตัวเขาก็พกสิ่งของปราบปีศาจมาเป็นจำนวนมากล่ะก็ เกรงว่าคงจะกำจัดมันได้ยาก

แต่หลังจากที่เขาคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกปวดใจอยู่ไม่หยุด

ยันต์ปึกเมื่อครู่ คือยันต์ระดับสูงในการรับมือกับปีศาจโดยเฉพาะ ซึ่งชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้มอบให้เขาเมื่อไม่นานมานี้ มันมีมูลค่ามาก จนดูเหมือนจะเป็นรองแค่ยันต์แสงทองที่ใช้คุ้มครองชีวิตเท่านั้น

ถ้าไม่ใช่ว่าหน้าปีศาจเมื่อครู่รับมือได้ยาก และยันต์สยบปีศาจทั่วไปไม่สามารถทำอะไรมันได้ เขาคงไม่ใช้มันหมดในครั้งเดียวอย่างเด็ดขาด

แต่จะว่าไปแล้ว ลูกประคำเส้นนั้นเป็นอาวุธพุทธานุภาพ มันขับไล่ปีศาจได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เกราะเกล็ดมังกรก็ให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และยกมือขึ้นลูบเกราะหนังบนตัวที่ยังอุ่นๆ อยู่ จากนั้นก็โบกมือไปด้านหน้า

บังเกิดเสียงดังขึ้นมา

ลูกกลมๆ จำนวนมากพุ่งยิงเข้ามา และพร่ามัวกลายเป็นลูกประคำสีขาวมัว

และในพริบตาที่หน้าปีศาจสลายไป วานรสีดำสองตัวที่ต่อสู้กับหัวบินอยู่ก็สลายกลายเป็นไอสีดำ

หัวบินค่อยๆ ลอยเข้ามา

แมงป่องกระดูกขาวคลานขึ้นมาจากรอยเว้าได้ในที่สุด มันวิ่งโซซัดโซเซมาอยู่ข้างหลิ่วหมิง และใช้ก้ามทั้งสองถูขากางเกงของเขา

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองความเสียหายบนหลังแมงป่องกระดูกขาวที่ปรากฏอยู่หลายแห่ง แล้วก็คงต้องขมวดคิ้วออกมา ทันใดนั้นเขาก็ตบถุงหนังทันที

“ฟู่!”

แสงสีดำม้วนตัวผ่านไป มันดูดแมงป่องกระดูกขาวเข้าไปในนั้น

ครั้งนี้มันได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ดูท่าหลายเดือนนี้คงไม่สามารถให้มันทำการต่อสู้ได้

แม้ว่าหัวบินจะสูญเสียพลังไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย จึงไม่ต้องรีบเก็บมันเข้าไป

หลิ่วหมิงใช้จิตสั่งหัวบินให้คอยระวังภัยอยู่แถวนี้ จากนั้นเขาถึงเดินไปยังโครงกระดูกสีทองที่ดูเหมือนจะยังรักษาสภาพที่เกือบสมบูรณ์ไว้อยู่

โครงกระดูกนี้นอนเงียบๆ อยู่ข้างหลุมใหญ่ ด้วยสภาพที่ไร้โอกาสรอดแล้ว

พอภาพเหตุการณ์ที่โครงกระดูกในก่อนหน้านั้น ถูกของเหลวสีทองที่ละลายจากเก้าอี้ปกคลุมไปทั่วร่างผุดขึ้นในสมองหลิ่วหมิง เขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบของสิ่งนี้

เขาจึงได้แต่เดินวนโครงกระดูกสีทองสองรอบ จากนั้นถึงปล่อยยันต์เก็บของง่ายๆ ออกมา และเก็บโครงกระดูกสีทองไว้ในนั้น

ต่อมา เขาเดินไปข้างศพชายร่างอ้วน

ในระหว่างการต่อสู้ในก่อนหน้า ปีศาจตนนั้นได้โยนศพชายผู้นี้ลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ

หลิ่วหมิงค้นตัวชายร่างอ้วนอยู่รอบหนึ่ง ไม่คิดว่าจะค้นพบคัมภีร์ฝึกฝนนอกรีตอยู่สองสามเล่ม วิชาผสานร่างปีศาจก็อยู่ในนั้นด้วย

นอกจากนี้ ยังมีหินจิตวิญญาณระดับสูงที่มีมูลค่าหลายหมื่น

การค้นพบเหล่านี้ย่อมทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เขาเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ค้นดูศพของชายรูปร่างสูงใหญ่เลย

ชายร่างอ้วนผู้นี้เป็นแค่ผู้นำหมายเลขสองของพรรควิญญาณมืด แต่กลับมีสมบัติมากมายถึงเพียงนี้ แล้วชายรูปร่างสูงใหญ่ที่เป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งคงจะมีสมบัติไม่น้อยไปกว่ากัน

ดีที่ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครบุกรุกเข้ามาได้ง่ายๆ เขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบ

เมื่อเขาเก็บสิ่งของทั้งหมดแล้วก็สูดหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นถึงเดินไปยังขอบหลุมใหญ่ตรงหน้า และจ้องมองลงไป

……………………………………….