ตอนที่ 217 ความมืดมิดก่อนยามฟ้าสาง / ตอนที่ 218 สวีรั่วชีหมั้น

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 217 ความมืดมิดก่อนยามฟ้าสาง

 

 

“นายไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม” เหยียนเค่อขบฟัน

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินยืนพิงกำแพง อ้าปากหัวเราะเสียงดัง

 

 

“พรุ่งนี้เจอกันก่อนค่อยว่ากัน”

 

 

“ได้สิ” เสิ่นจิ้งเฉินพอเดาได้ว่าเวลานี้เหยียนเค่อกำลังทำอะไรอยู่

 

 

ตอนนี้เหยียนเค่อกำลังห่อตัวอยู่ในผ้าห่มอย่างกลัดกลุ้ม

 

 

เมื่อถึงบ้าน คุณแม่เหยียนก็พูดไปต่างๆ นานา บอกว่าเขาทำตัวแย่ๆ ใส่สวีอิ๋งอิ๋ง บอกว่าพี่ใหญ่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ แถมยังหยิบปฏิทินมาให้เขาเลือกวันหมั้นอีกต่างหาก

 

 

อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันสิ้นโลกจริงๆ ตายกันให้หมดนี่แหละ

 

 

หน้าต่างยังไม่ได้ปิด ผ้าม่านที่ยาวลากพื้นถูกลมพัดสัมผัสพื้นห้องเป็นระยะ ส่งเสียงกระทบกันเบาๆ

 

 

ยายโง่ซย่าเสี่ยวมั่วนั่นคงไม่ได้ปิดหน้าต่างเหมือนกันสินะ ห้องอยู่ชั้นล่างขนาดนั้นก็ไม่กลัวโจรปีนขึ้นมาเลยหรือไง

 

 

เขาพลิกตัวลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง มองดูกล่องใบเล็กที่วางอยู่บนตู้หัวเตียงแล้วก็ถอนหายใจ สร้อยข้อมือเพชรเส้นสวยนอนอยู่ด้านในนั้นไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินกลับมาคุยกับซย่าเสี่ยวมั่วต่อ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเอารูปที่เธอวาดเล่นๆ ให้เสิ่นจิ้งเฉินดู

 

 

“โอ้โห เหมือนนะเนี่ย” เสิ่นจิ้งเฉินมองรูปหน้าบนกระดาษแล้วยิ้มอย่างลำพองใจ “คนหล่อวาดยังไงก็หล่ออยู่ดี”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วกลอกตา “ถ้าฉันวาดไม่เป็น ถึงพี่จะหล่อเป็นเทพบุตรก็วาดออกมาได้ไม่ดีหรอก”

 

 

“คร้าบๆๆ มั่วมั่วเก่งที่สุดเลย” เสิ่นจิ้งเฉินอ้าปากหาว เหนื่อยมาทั้งวันก็อยากไปนอนแล้ว “ฉันไปนอนก่อนนะ เธอก็อย่าดึกล่ะ พรุ่งนี้น่าจะมีเรื่องให้ต้องไปทำ”

 

 

“เรื่องอะไรเหรอ!” ซย่าเสี่ยวมั่วตาเป็นประกาย “จะส่งโซฟามาให้ฉันแล้วเหรอ”

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินจะยิ้มก็ไม่ได้ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก “ยายคนเห็นแก่เงิน ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวฉันบอกเธอเอง”

 

 

“ได้ค่ะๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วตอบกลับแบบขอไปที นอกจากโซฟาแล้ว สำหรับเธอก็ไม่มีอะไรไม่น่าสนใจอีก

 

 

……

 

 

กว่าสวีรั่วชีจะกลับบ้านก็เที่ยงคืนแล้ว เห็นชุดพิธีที่วางอยู่บนเตียงและการ์ดเชิญที่วางอยู่บนโต๊ะ ก็แอบพูดออกมาในใจ ตายแล้ว

 

 

เธอดันลืมส่งการ์ดเชิญก่อนที่จะออกไป ในตอนนี้จะโทรหาซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ได้อีก ต่อให้ซย่าเสี่ยวมั่วจะรับโทรศัพท์ แต่พรุ่งนี้เช้าก็จะนึกว่าตัวเองฝัน แล้วก็จะลืมเรื่องนี้ไป

 

 

สวีรั่วชียีหัวตัวเองอย่างร้อนใจ ตั้งนาฬิกาปลุก เธอไม่เปลี่ยนชุด ไม่สนใจแม้แต่ชุดพิธี ล้มตัวลงนอนบนเตียง

 

 

สำหรับการหมั้นนั้น สวีรั่วชีไม่ได้คาดหวังหรือรู้สึกเสียใจอะไรทั้งนั้น

 

 

ในเมื่อแต่งงานกับคนที่ตัวเองชอบไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นจะแต่งกับใครก็คงเหมือนกัน

 

 

แถมผู้ชายคนนั้นก็มีประโยชน์ต่อสวีอันหรานด้วย ถึงเธอจะเคยเห็นแค่รูปก็เถอะ…

 

 

เธอเหนื่อยมากเกินไปแล้วจริงๆ พลิกตัวห่มผ้าก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

 

 

ในเรื่อง ‘บิลลี่ ลินน์ วีรบุรุษสมรภูมิเลือด[1]’ กล่าวว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนมันเปราะบางขนาดไหนกันนะ แต่ว่า จะมีสักกี่คนที่กระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิด โดยหลงลืมไปว่าอะไรคือขอบเขต คนมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ทำยังไงจึงจะทำให้ความสัมพันธ์ยาวนานได้ แค่สี่คำเท่านั้น คือต้อง ‘รู้จักเลอะเลือน’ บ้าง’

 

 

ถ้าเธออยากจะรักษาความสัมพันธ์กับสวีอันหรานให้ยาวนานต่อไปได้ ก็ต้องรู้จักเลอะเลือนบ้าง  แถมยังต้องจำขอบเขตระหว่างทั้งคู่เอาไว้ให้ดี

 

 

สวีอันหรานเองก็หลับไปตั้งนานแล้ว แต่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะในความฝันสวีรั่วชีจูงมือคนอื่นแล้วมาบอกลาเขา

 

 

รุ่งสาง ท้องฟ้ามืดสนิท แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่ามันจะสว่างไสวในวินาทีข้างหน้า

 

 

วันนี้เขามาเพื่อฉุดเจ้าสาว ที่คุณพ่อสวีโมโหก็เพราะว่าลูกชายของตนยอมคิดแผนร้ายอย่างการฉุดเจ้าสาวแบบนี้ออกมา แต่กลับไม่บอกความจริงกับตนก่อน

 

 

แผนนี้ของสวีอันหรานก็ร้ายจริงๆ แต่คนของเฉิงซีก็ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำกับน้องสาวเขาแบบนี้หรอก

 

 

และครั้งนี้เขาก็มาช่วยเหยียนเค่อจัดการด้วย เขาไม่ลืมหรอกว่าเหยียนเฟิงมีความสัมพันธ์

 

 

แน่นแฟ้นกับพวกคนของเฉิงซีมากแค่ไหน

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] บิลลี่ ลินน์ วีรบุรุษสมรภูมิเลือด หรือ Billy Lynn’s Long Halftime Walk ภาพยนตร์ปี 2016 เนื้อเรื่องดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อเดียวกันของเบน ฟาวเทน (Ben Fountain)

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 218 สวีรั่วชีหมั้น

 

 

เช้าตรู่วันต่อมา ก็ได้รับโทรศัพท์จากสวีอันหรานก่อนที่นาฬิกาปลุกของสวีรั่วชีจะดังขึ้น

 

 

“ฮัลโหล” สวีรั่วชีลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก

 

 

“ตื่นได้แล้ว จัดการตัวเองให้เรียบร้อย เดี๋ยวฉันจะไปรับ”

 

 

สวีรั่วชีรู้สึกจมูกตันๆ หายใจไม่สะดวก พูดเสียงอื้ออึง “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันขับรถไปเองดีกว่า”

 

 

การแต่งงานเพื่อธุรกิจแบบนี้ ถึงจะบอกว่าเป็นงานหมั้น แต่ความจริงแล้วทำให้เป็นงานเลี้ยงเชิงธุรกิจเสียจะดีกว่า ก็แค่ให้ผู้มีอิทธิพลมาประชันขันต่อกันก็เท่านั้น

 

 

สวีรั่วชีแต่งหน้าจัด ชุดกระโปรงพิธีที่ต้องใส่ถูกเธอขยำเป็นก้อนแล้วยัดไว้ใต้ผ้าห่ม จึงยับจนใส่ไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงเลือกชุดพิธีสีดำที่รูปแบบคล้ายๆ กันออกมาจากตู้เสื้อผ้า

 

 

เมื่อแต่งตัวแต่งหน้าจนดูดีแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าต้องหาชุดให้ซย่าเสี่ยวมั่วด้วย

 

 

“มั่วมั่ว นี่สวีรั่วชีนะ” เธอสวมรองเท้าส้นสูงแล้วแนะนำตัวเองกับซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วยังคงมึนงงอยู่ เจ็ดโมงกว่า เธอยังไม่ตื่นเต็มตาเลย

 

 

“อืม” เธอมุดหัวเข้าไปในผ้าห่ม ปิดเปลือกตาแล้วครางตอบรับอย่างเกียจคร้าน

 

 

“วันนี้ฉันหมั้น ที่โรงแรมซีเหยียน เธอมาเอาบัตรเชิญกับฉันก่อนแล้วกัน”

 

 

“หืม?!” ซย่าเสี่ยวมั่วใจเย็นต่อไปไม่ได้แล้ว แผดเสียงแหว สบถคำด่าออกมา “เธอจะหมั้นแต่มาบอกฉันวันหมั้นเนี่ยนะ! ฉันเป็นคนที่เธอรักที่สุดหรือเปล่าเนี่ย!”

 

 

เธอลงจากเตียงก่อนจะรีบเปิดตู้เสื้อผ้าดูว่ามีชุดพิธีที่ยังไม่ได้ตัดป้ายยี่ห้อบ้าง

 

 

สวีรั่วชีที่มีออร่าของสาวที่โตเต็มวัยอธิบาย “ก็ช่วงก่อนหน้านี้ฉันอยู่แอฟริกา เช้ามืดวันนี้เพิ่งกลับมาไหมล่ะ”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบชุดตัวหนึ่งที่ตัวเองก็ไม่ได้ชอบเท่าไรนัก แต่เป็นเสื้อผ้าเพียงตัวเดียวที่ยังไม่เคยใส่ออกมาจากตู้แล้วรีบเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

 

 

“เธอไปตามหาความฝันที่แอฟริกาหรือไง แม้แต่เรื่องหมั้นเธอยังไม่บอกฉันเลย!”

 

 

ชุดกระโปรงพิธีตัวยาวสีขาวขอบชมพู เมื่อสวมลงบนร่างของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วดูเรียบไปหน่อย

 

 

เธอก็ไม่มีเวลาไปสนใจแล้ว อย่างมากก็แค่อาจจะทำให้สวีรั่วชีไม่พอใจ

 

 

สวีรั่วชีอยู่ที่แอฟริกาจนไม่อยากกลับมาแล้ว ถึงแม้ว่าเพื่อนผิวสีเหล่านั้นรูปลักษณ์จะแตกต่างจากชาวเอเชียอยู่มากก็ตาม แต่คนที่นั่นอัธยาศัยดีมาก

 

 

เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิดก่อนเป็นอันดับแรก สมองของเธอยังไม่ได้เปลี่ยนจากยุคดึกดำบรรพ์มาเป็นสังคมปัจจุบันเลย

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วรีบร้อนออกจากบ้าน ไม่มีเวลาสนใจแล้วว่าจะประหยัดเงินหรือเปล่าแล้ว วิ่งไปดูไปว่ามีรถแท็กซี่ไหม

 

 

ช่วงเวลาก่อนแปดโมงเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนก่อนเข้างาน แม้แต่รถแท็กซี่ต่างก็บรรทุกผู้โดยสารเต็มไปหมด

 

 

ขณะที่เธอกลุ้มจนแทบจะถลกหนังหัวตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนบีบแตรอยู่ด้านหลังตน

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วหันกลับไปมองหนึ่งที พลันเอ่ยในใจ ไม่รู้จัก จากนั้นจึงกำโทรศัพท์แน่นแล้วเดินต่อไป

 

 

รถคันนั้นขับตามหลังเธอมาแล้วบีบแตรไม่หยุด ซย่าเสี่ยวมั่วทำได้เพียงหยุดเดิน มองฟิล์มกระจกสีดำมืดแล้วในใจก็แอบคาดหวัง แต่เมื่อกระจกรถเลื่อนลงมาแล้วเธอก็หันหัวกลับแล้วก้าวเดินต่อไปทันที

 

 

“มั่วมั่ว เธอจะไปไหน” หลี่หมิงฉวีตะโกนถามเธอด้วยท่าทางที่ไม่สง่างามเอาเสียเลย

 

 

“ไม่เกี่ยวกับนาย” ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ไว้หน้าเช่นกัน

 

 

“เธอจะไปงานหมั้นของสวีรั่วชีใช่ไหม ฉันก็จะไปเหมือนกัน”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินชื่อของสวีรั่วชีก็หยุดเดิน ครุ่นคิดไตร่ตรอง อย่างไรเสียก็เรียกรถไม่ได้ งั้นก็ทนเอาหน่อยแล้วกัน

 

 

เธอเปิดประตูเข้าไปนั่ง พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ไปหมู่บ้านจิ่งหลาน”

 

 

“เธอจะไปงานหมั้นของสวีรั่วชีไม่ใช่เหรอ”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วอธิบาย “ฉันจะไปเอาบัตรเชิญกับเสี่ยวชี ดังนั้นรบกวนนายไปส่งฉันที่นั่นหน่อย”

 

 

“เวลาไม่พอแล้วนะ” หลี่หมิงฉวีดูนาฬิกาข้อมือ แล้วมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างตน “วันนี้ฉันไม่มีคู่ควง เธอมาคู่กับฉันดีไหม”

 

 

“ไม่ดี!” ซย่าเสี่ยวมั่วขมวดคิ้ว ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

 

 

หลี่หมิงฉวีพูดเกลี้ยกล่อมเธออย่างจริงจัง “งานเลี้ยงเริ่มตอนเก้าโมงเก้านาที ตอนนี้จะแปดโมงแล้ว เธอก็ยังไม่ได้แต่งหน้าทำผมเลยด้วย ดังนั้น…”