ตอนที่ 242 ขอความช่วยเหลือ / ตอนที่ 243 เกศาผูกรัก

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 242 ขอความช่วยเหลือ

 

 

เซียงฉือยังคงยืนอยู่กับที่ แหงนหน้ามองดูแสงสีส้มของพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับหลังเขาอย่างช้าๆ นางรู้ว่าเมื่อมาถึงที่นี่เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกเหอจิ่นเซ่อปิดประตูใส่หน้า แต่นางก็ไม่ได้หวั่นเกรง

 

 

ตอนนี้นางไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกนางต้องการทำลายความหวังทั้งมวลของนางให้ได้ละก็ นางก็คงจะไม่ทุ่มสุดตัวเช่นนี้

 

 

ความจริงนางเป็นคนหัวแข็งดื้อรั้น เซียงฉือนำจดหมายที่เตรียมไว้แล้วออกมาจากนั้นยัดใส่ในมือขององครักษ์คนนั้น

 

 

“ของสิ่งนี้สำคัญมาก ขอให้ส่งกับใต้เท้าเหอให้ได้ ส่วนเงินพวกนี้เป็นค่าเหนื่อยของพี่ทหาร รบกวนช่วยวิ่งให้อีกสักรอบเถิด”

 

 

เซียงฉือส่งจดหมายให้ทหารองครักษ์และเห็นเขาเก็บถุงเงินอย่างยิ้มแย้มแล้วเข้าไปข้างใน นางแหงนหน้ามองดูอาคารนั้น

 

 

เหอจิ่นเซ่อในชุดราชสำนักสีฟ้าอมเขียวกระโปรงขาว กำลังยืนมองเซียงฉืออยู่บนอาคาร

 

 

ข้างกายนางคือสวี่อี้ สวี่อี้มาที่นี่เพื่อจะกล่อมเหอจิ่นเซ่อเช่นกัน ผู้คนในวังต่างพูดกันว่าเหอจิ่นเซ่อมีนิสัยประหลาด ต่างบอกว่านางเป็นหม้ายก่อนแต่ง นิสัยรุนแรงและยากจะคบหา

 

 

แต่สวี่อี้กับนางพอจะคุ้นเคยกันอยู่ ทั้งคู่มีวัยต่างกันอยู่บ้างแต่มีความชอบแบบเดียวกัน ยามปกติจึงเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาแก่กันได้

 

 

“ใต้เท้าเหอ หวังว่าท่านจะพิจารณาคำพูดเมื่อครู่ของข้าอย่างจริงจัง ให้โอกาสนางสักครั้งเถิด ขอรบกวนท่านด้วย”

 

 

สวี่อี้ได้แต่เพียงอาศัยมิตรภาพในการพูดกับนาง เพราะนางก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจจะทำได้

 

 

เหอจิ่นเซ่อไม่ปฏิเสธว่านางก็ชื่นชอบความฉลาดปราดเปรื่องของเซียงฉือ แต่นางยังไม่ตัดสินใจที่จะทำเช่นนี้ สวี่อี้เมื่อพูดเรื่องที่นางจะพูดจบและรู้ว่าเหอจิ่นเซ่อต้องคิดทบทวนเรื่องนี้อย่างรอบคอบจึงไม่รบกวนนางแล้วเดินออกไป

 

 

เมื่อออกมาถึงหน้าประตูก็พบอวิ๋นเซียงฉือจึงเดินเข้าไปจับมือนาง

 

 

“ข้าทำอะไรไม่ได้มาก ขอโทษด้วย ข้าได้พยายามเต็มที่แล้ว”

 

 

สวี่อี้เห็นท่าทางของเซียงฉือแล้วเจ็บแปลบในใจจึงไม่อาจทนดูต่อไป อีกทั้งรู้ว่าไม่อาจสั่นคลอนการตัดสินใจของนางได้ เมื่อพูดปลอบนางหลายคำแล้วจึงออกจากกองราชเลขาไป

 

 

ในเวลานี้เซียงฉือยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวต้นท้อต้นหนึ่ง เมื่อลมพัดผ่านเห็นเส้นผมอ่อนนุ่มของนางพลิ้วเบาๆ ไปตามสายลม สายตานางดุจดั่งลำแสงนั้น ทำให้ผู้พบเห็นพากันชื่นชอบ

 

 

สวี่อี้จากไปไม่นาน เหอจิ่นเซ่อก็เรียกนางเข้าไป

 

 

เซียงฉือยิ้ม นางรู้ว่าอย่างน้อยของขวัญของนางคงส่งผลขึ้นบ้าง

 

 

ถึงจะยังไม่รู้ว่าหลังจากเข้าไปแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้นางไม่มีก้าวถอยที่ดีกว่านี้แล้ว

 

 

กองราชเลขานอกจากจะมีประตูเล็กสองบานที่รอบนอกแล้ว ยังเป็นลานสามขั้นประตูเดียว ตั้งอยู่ในกึ่งกลางวังลึกล้ำแห่งนี้ โอบอุ้มตำหนักเจิ้งหยางดุจเดียวกับมารดาอุ้มทารก

 

 

เป็นเช่นเดียวกับบทบาทเป้าหมายของนาง

 

 

เซียงฉือเดินเข้าไปถึงหน้าประตูฮุ่ยอิงโหลวของกองราชเลขาแล้วเดินขึ้นบันไดไป แว่วเสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้กระดานต้นไหวใต้ฝ่าเท้า เซียงฉือเดินเข้าไปถึงเบื้องหน้าเหอจิ่นเซ่อในที่สุด

 

 

“อวิ๋นเซียงฉือคารวะใต้เท้าเหอ ขอบคุณใต้เท้าที่ให้โอกาสข้าเจ้าค่ะ”

 

 

อวิ๋นเซียงฉือกราบเหอจิ่นเซ่อสามครั้ง เดิมนางสูญสิ้นแรงใจไปแล้ว แต่พอได้ยินนางตอบคำจึงได้มีกำลังวังชาขึ้นมาใหม่

 

 

“ที่ข้าให้โอกาสเจ้า เพราะหวังว่าจะได้ฟังเรื่องของสิ่งนี้จากเจ้า”

 

 

เหอจิ่นเซ่อเปิดกระเป๋าสีชมพูใบเล็กในมือแล้วนำของข้างในออกมา

 

 

“ไม่ทราบใต้เท้าคิดว่ามันเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”

 

 

เซียงฉือดูนางหยิบออกมาด้วยท่าทีสงบแล้วถามขึ้น ทว่าในใจไม่ได้สงบนิ่งนัก

 

 

เหอจิ่นเซ่อมองดูแล้วยิ้มน้อยๆ พูดขึ้นว่า

 

 

“เกศาผูกรัก!”

 

 

เซียงฉือยิ้มแล้วรับเส้นผมสองปอยที่ถูกมัดรวมกันด้วยด้ายแดงมาจากมือของเหอจิ่นเซ่อ

 

 

เกศาผูกรักร่วมสามีภรรยา เหตุใดเซียงฉือจึงได้นำของสิ่งนี้มาให้เหอจิ่นเซ่อดูได้

 

 

 

 

ตอนที่ 243 เกศาผูกรัก

 

 

เซียงฉือนำของสิ่งนี้ออกมาย่อมต้องมีจุดประสงค์ในการใช้

 

 

เดิมทีเซียงฉือยังลำบากใจอยู่ว่าจะพูดกับเหอจิ่นเซ่ออย่างไร เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของนางแล้ว พลันนางคิดถึงเรื่องที่เหอเจี่ยนสุยเคยบอกกับนางได้

 

 

เหอเจี่ยนสุยและเหอจิ่นเซ่อเป็นคนในตระกูลเดียวกัน ท่านปู่ของทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน เพียงแต่ครอบครัวเหอเจี่ยนสุยลงหลักปักฐานที่อันหลัน ดูแลช่วยเหลือกันและกันกับบ้านสกุลอวิ๋น ซึ่งสนิทสนมราวครอบครัวเดียวกัน ส่วนเหอจิ่นเซ่ออยู่ที่อวิ๋นหยางในเมืองหลวงตลอดมา ดังนั้นเซียงฉือจึงไม่เคยรู้จักเหอจิ่นเซ่อมาก่อน

 

 

แต่จู่ๆ คิดถึงเรื่องที่เหอเจี่ยนสุยบอกกับนางได้ จึงกล้าที่จะมาอย่างผลีผลามเช่นนี้

 

 

เซียงฉือเมื่อรับเกศาผูกรักจากมือนางแล้วจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า

 

 

“สมานใจแล้วผูกรักด้วยเกศา การรบราสิ้นสุดได้วันไหน สิ้นขุนศึกเหลือเพียงร่างห่อไว้ คนอยู่ไซร้มีใครคอยเวทนา”

 

 

“ตอนที่เจี่ยนสุยบอกกับข้าเช่นนี้ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงหลั่งน้ำตา จนกระทั่งวันหนึ่งที่ข้าจำต้องเข้าวัง ส่วนเขาจำต้องมองดูข้าจากไป ข้าจึงได้รู้ว่าคนจากไปนั้นไม่แน่ว่าจะเจ็บปวด แต่คนที่อยู่ต่อนั้นจะต้องปวดร้าวอย่างแน่นอน”

 

 

“ใต้เท้าเหอ พี่เจี่ยนสุยกำลังคอยข้าอยู่”

 

 

เซียงฉือมาถึงนี่อย่างไม่มีแต้มต่อมากนัก นางเพียงเสี่ยงพนันกับความเจ็บปวดที่อยู่ในใจของเหอจิ่นเซ่อเท่านั้น ตอนนี้นางจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตนเองเป็นคนใจร้าย เพื่อตัวเองแล้วถึงกับเปิดบาดแผลของเหอจิ่นเซ่อ

 

 

“เจ้าฉลาดมากแล้วก็น่ารังเกียจด้วย เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะช่วยเจ้าเช่นนั้นหรือ ดีไม่ดีจะยิ่งเกลียดเจ้าเสียอีก”

 

 

เหอจิ่นเซ่อยืนอยู่ริมหน้าต่าง รับรู้ถึงลมเย็นที่พัดเข้ามา หลอมใจที่เย็นเฉียบของนางเป็นเส้นบาง แทรกซึมไปบนร่างของเซียงฉือ

 

 

น้ำเสียงเหอจิ่นเซ่อราบเรียบยิ่งนัก แต่ไม่อาจพูดได้ว่าจิตใจของนางไม่ได้กระเพื่อมไปด้วย ตรงกันข้าม ในใจนางตอนนี้มีรอยแผลเต็มไปหมด

 

 

“ข้ารู้ดีว่าตัวเองไร้ยางอาย แต่เพราะข้าต้องการต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง เพราะไม่อยากให้มีวันที่ต้องย้อนสำนึกเสียใจถึงความอ่อนแอของตัวเองในครั้งนั้น”

 

 

“เมื่อไม่มีวิธีและไร้หนทางจึงต้องไปเสี่ยงดวง อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสได้ไขว่คว้าอีกครั้ง!”

 

 

เซียงฉือมองดูแผ่นหลังเหอจิ่นเซ่อ นางรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลของการพยายามยืนหยัด น้อยนักที่นางจะพูดมากเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่อยากทำร้ายคนที่นางนับถือเช่นนี้

 

 

แต่เพราะนางต้องการบรรลุเป้าหมายจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการเรียกร้องความสนใจจากนาง และนี่ก็เป็นวิธีเดียวที่นางคิดได้

 

 

เหอจิ่นเซ่อหันหลังให้อวิ๋นเซียงฉือจึงไม่รู้ว่านางมีปฏิกิริยาเช่นไร แต่แผ่นหลังของนางทำให้เซียงฉือต้องตำหนิตนเอง

 

 

“เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดนักหรือไร ทั้งยังคิดว่าขอเพียงตัวเองฉลาดก็สามารถอยู่ในวังได้ราวกับปลาได้น้ำ ทุกคนจะยอมหลีกทางให้กับความฉลาดเฉลียวของเจ้าโดยไม่ต้องสนใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะเสียใจหรือกล้ำกลืนเพียงใด”

 

 

น้ำเสียงเหอจิ่นเซ่อไม่มีแววตำหนิแม้แต่น้อย แต่เมื่อเซียงฉือได้ยิน ทำให้นางยิ่งตำหนิตนเองยิ่งขึ้น

 

 

นางกัดฟัน ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ

 

 

“ใต้เท้าเหอ ข้ารู้ว่าตัวเองล่วงเกินใต้เท้า แต่เพราะนี่เป็นหนทางอันอับจนของข้า ข้ารู้ว่าในวังมีคนเฉลียวฉลาดมากมาย ส่วนข้าเป็นเพียงคนโง่เขลาที่ไม่รู้จักปรับตัวเท่านั้น”

 

 

“หากมิใช่เช่นนี้ข้าคงจะไม่ต้องตกอยู่ในสภาพดังเช่นวันนี้เป็นแน่ ใต้เท้าเหอ ข้าขอร้องท่าน ขอร้องท่านให้โอกาสกับข้าสักครั้ง เพราะนี่จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของข้า”

 

 

“ขอร้องท่านได้โปรดให้โอกาสข้าสักครั้งด้วยเถิด เพื่อเป็นการชดเชยเรื่องที่ท่านไม่สามารถทำได้ในครั้งก่อน ให้โอกาสกับข้า”

 

 

เซียงฉือพูดด้วยน้ำใสใจจริง นิ้วมือแทบจะกำทะลุฝ่ามือ นางรู้ว่าการกระทำของตนเลือดเย็นอย่างยิ่ง คำพูดของนางทำให้เหอจิ่นเซ่อราวถูกทิ่มทะลวงใจ

 

 

เหอจิ่นเซ่อยังไม่ได้หันกลับมามองเซียงฉือเลยตั้งแต่ต้น

 

 

คงให้นางเห็นเพียงภาพแผ่นหลังไร้คลื่นกระเพื่อมที่อวิ๋นเซียงฉือเห็นแล้วหนาวจับใจ