บทสนทนาสัพเพเหระที่เกิดในวัดเก่าทรุดโทรมท่ามกลางพิรุณราตรีนี้ บรรยากาศดีมาก
ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนอยู่ในเส้นทางการบำเพ็ญเพียรที่ยาวนาน ล้วนเจอปัญหาที่ยากลำบากบ้าง และปัญหาเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้นกับตัวของพวกเขาเอง
แม้จะเป็นปรมาจารย์ก็ยากที่จะชี้วิธีแก้ไข มักต้องการเวลานานมาก ถึงจะสามารถคิดวิเคราะห์ออกมาได้ และระดับความยากง่ายของปัญหาเหล่านั้น อันที่จริงในความหมายหนึ่งนั้นแสดงถึงความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียร
เฉินฉางเซิงที่อยู่ท่ามกลางบทสนทนาเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรนี้ ปัญหาที่ชี้แนะออกมาล้วนเป็นปัญหาที่ยากมาก ระดับความสามารถสูงมาก เวลาส่วนใหญ่สวีโหย่วหรงล้วนฟังอย่างเงียบๆ นานๆ ทีจะพูดไม่กี่ประโยค แต่แล้วทุกประโยคก็เหมือนกับแสงไฟในเวลากลางคืน สะดุดตาอย่างยิ่ง ส่องสว่างโลกที่อยู่ข้างหน้าเขา ทำให้เขาเห็นเส้นทางตัดใหม่
นี่ทำให้เขาตกตะลึงมาก จากนั้นก็เลื่อมใสยิ่ง ความรู้ในด้านการบำเพ็ญเพียรและธรรมเนียมปฏิบัติของหญิงสาวผู้นี้สูงส่งจนยากที่จะจินตนาการ พรสวรรค์การบำเพ็ญเพียรของถังซานสือลิ่วและซูม่ออวี่ก็สูงยิ่งเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับนางนั้นยังห่างอีกระยะหนึ่ง คนวัยเดียวกันที่เขาพบเห็นในชีวิตนี้ กลับมีเพียงแค่โก่วหานสือที่สามารถพอที่จะเอามาเทียบกับนางได้ แน่นอนว่า ยังมีศิษย์พี่อวี๋เหรินที่มองดูเหมือนบำเพ็ญเพียรไม่เป็นท่านนั้น
เนื่องจากลำดับขั้นปัญหาการบำเพ็ญเพียรเหล่านี้และมุมมองการวิเคราะห์ที่แปลกประหลาด สวีโหย่วหรงเกิดความนับถือต่อเขาเป็นอย่างมาก ใจคิดในบรรดาวัยรุ่นรุ่นใหม่ที่ตัวเองเคยเจอ นอกจากศิษย์พี่ชิวซานและโก่วหานสือ ก็ไม่คิดว่าจะมีใครไล่ตามเขาได้ ต้องรู้ว่าพรรคภูเขาหิมะแม้จะมีการสืบทอดมาเป็นหมื่นปี พื้นฐานหนาแน่น เคยเจริญรุ่งเรืองไร้ขอบเขต แต่อย่างไรก็ตามอยู่ค่อนไปทางตะวันตก ไม่เหมือนเหล่าโรงเรียนสำนักในจิงตูเช่นพรรคฉางเซิงและเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สามารถสัมผัสความรู้ใหม่ล่าสุดในโลกบำเพ็ญเพียรได้ตลอดเวลา เขากลับมีความรู้และความสามารถเช่นนี้ พูดได้เพียงว่าเป็นพรสวรรค์
สายฝนหนาวเหน็บนอกวัดยิ่งมายิ่งแรง เสียงพูดสนทนาถูกกดทับจนยิ่งมายิ่งเบา กองหญ้าถูกเผาจนยิ่งมายิ่งอุ่น สองคนห่างกันระยะหนึ่งไม้บรรทัด นั่งพิงกำแพง พูดคุยเสียงเบา นานๆ ทีเงียบขรึมคิดวิเคราะห์สักพัก คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ถูกแสงไฟส่องจนเป็นรูปร่างที่น่าขัน จากนั้นเขาก็ยื่นข้อคาดเดาบางอย่างออกมา นางกลับพูดความเป็นไปได้อีกแบบหนึ่ง
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีสั้นๆ จากไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้จนกลายเป็นระดับทะลวงอเวจีขั้นปลายที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ นอกจากอาจารย์และศิษย์พี่อวี๋เหรินปูพื้นฐานให้กับเขาตั้งแต่เด็กไว้อย่างแน่นหนา เฉินฉางเซิงแน่นอนว่าก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะท่านหนึ่ง ต้องรู้ว่าเพียงแค่พึ่งการขวนขวายอ่านตำราอย่างกว้างขวาง อ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าอย่างถ่องแท้ นั้นไม่สามารถที่จะชิงอันดับแรกขั้นแรกในการสอบใหญ่ได้อย่างแน่นอน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ของสุสานส่วนหน้าทั้งหมดได้ภายในคืนเดียว ส่วนสวีโหย่วหรงนั้นยิ่งเป็นอัจฉริยะที่ไม่ต้องเอ่ยปากพูดก็รู้กัน ต้องรู้ว่า ถ้าคำนวณดีๆ แล้ว ระดับทะลวงอเวจีขั้นปลายที่วัยเยาว์ที่สุดในประวัติศาสตร์นั้นมิอาจใช่เฉินฉางเซิง มีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะเป็นนาง เนื่องจากนางเด็กกว่าเฉินฉางเซิงสามวัน
เวลานี้พวกเขาไม่รู้สถานะตัวตนที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม แต่ยิ่งมายิ่งมั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นอัจฉริยะทางด้านการบำเพ็ญเพียรอย่างแน่นอน แล้วอัจฉริยะมักจะโดดเดี่ยว เนื่องจากขาดคู่สนทนาที่มีระดับเท่ากันในโลกของสติปัญญา ประโยคนี้แลดูโบราณหน่อย แต่กลับจริงมาก อัจฉริยะทั้งหมดล้วนมีความหวังในการพบเจอเพื่อนคนหนึ่ง พบกับคู่สนทนาที่สามารถฟังความหมายของตัวเองรู้เรื่องอย่างสบาย สามารถสนทนาวิเคราะห์ปัญหากับฝ่ายตรงข้ามที่ปกติไม่มีที่ให้วิเคราะห์ นี่ก็เหมือนกับจุดที่คันบางจุดบริเวณหลังที่เกาไม่ถึงเป็นเวลาหลายปี จู่ๆ ก็มีคนยื่นมือไปเกาตรงนั้นให้เจ้า นี่นับเป็นการเกาในจุดที่คัน จะไม่สบายได้อย่างไร?
การสนทนารอบนี้ดำเนินไปได้อย่างยิ่งมายิ่งสบายอารมณ์ แม้จะเป็นดวงตาที่คงความสงบของสวีโหย่วหรงก็ยิ่งมายิ่งสว่างสดใส
จนกระทั่งค่อนคืน เฉินฉางเซิงยื่นเหตุการณ์จำลองที่ผิดครรลองคลองธรรมเล็กน้อยข้อหนึ่ง ว่าสามารถใช้ช่องว่างระหว่างไตแทนการใช้ประโยชน์ของการไหลเวียนเส้นลมปราณสองเส้นได้หรือไม่ นี่ทำให้สวีโหย่วหรงคิดหนักเป็นเวลานาน ในตอนที่นางเพิ่งคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหัวไหล่หนักเล็กน้อย จากนั้นพลันได้กลิ่นร่างกายที่จืดจาง
มองเฉินฉางเซิงที่พิงไหล่ของตัวเองหลับอย่างหอมหวาน นางชะงักเล็กน้อย ในสายตาเกิดความมีไม่ค่อยพอใจระคนเขินอายเล็กน้อย
นางไม่ชอบถูกผู้ชายเข้าใกล้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าทีที่สนิทสนมขนาดนี้ ตลอดทางที่ผ่านมา นางถูกเฉินฉางเซิงแบก ทำให้นางรู้สึกเป็นตัวภาระ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามกลับพิงเข้ามา
นางยื่นนิ้วมือ ค่อยๆ เอามือแตะที่หว่างคิ้ว เตรียมผลักเขาออกไป แต่แล้วไม่รู้ว่าทำไม กลับไม่ได้ออกแรง
เสียงกรนดั่งฟ้าร้อง ดังลั่นวัดเก่า กลับกดเสียงของฝนที่ด้านนอกลงไป
สวีโหย่วหรงมองเฉินฉางเซิงที่อยู่ในสภาพหลับลึก นึกถึงว่าตลอดทางที่ผ่านมาเขาล้วนนอนกรนอย่างยิ่ง เพียงแค่มีเวลา ส่วนใหญ่ล้วนหลับตาแล้วนอน น่าจะเป็นผลข้างเคียงจากวิชาของพรรคภูเขาหิมะ…คิดว่าคืนนี้ก็ไม่เว้น ก่อนหน้านี้เขาน่าจะง่วงจนทนไม่ไหวแล้ว กลับพูดคุยเป็นเพื่อนอยู่ตลอด ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย
ในขณะเดียวกัน นางก็ยังคงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางใกล้ชิดกับผู้ชายขนาดนี้
แน่นอนว่า นางอยู่บนหลังของเขาเป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่…นั่นมันสุดวิสัย นั่นเป็นเพราะสภาพบาดแผล นั่นเป็นการแก้ไขปัญหา…อย่างไรก็ตามโดยสรุป นางมีวิธีมากมายในการแก้ตัว หาข้ออ้าง แต่ตอนนี้ นางไม่สามารถหาข้ออ้างได้ เขาซบไหล่ของนางเช่นนี้ คิ้วตาอยู่ใกล้ใบหน้าของนาง ชัดเจนอย่างยิ่ง
เหล่าพี่สะใภ้ในเมืองเล็กชอบพูดกันว่าบุรุษเหม็นเน่า บุรุษฉาวโฉ่ เขากลับไม่เหม็นสักเท่าไร ไม่มีกลิ่นอะไร
ก็ได้ เห็นว่าเจ้าบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งข้าก็บาดเจ็บหนัก ขยับไม่ถนัด หยวนๆ ให้เจ้าก็แล้วกัน
สวีโหย่วหรงคิดอย่างนี้ เก็บนิ้วมือกลับมา จากนั้นนางหลับตา เตรียมที่จะนอนไปพร้อมเสียงฝนกลางคืน แต่แล้วจนกระทั่งก่อนหน้านั้นเป็นเวลานาน ขนตายังคงสั่นไหวเบาๆ
ไม่รู้เป็นเพราะเสียงกรนของเขาดังเกินไป หรือว่าสาเหตุอื่น
……
……
“คู่ชู้รักดีๆ นี่เอง”
ฝนไม่รู้หยุดไปตั้งแต่เมื่อไร นอกวัดมีเสียงที่เย็นชาของหนานเค่อดังขึ้นมา
คล้อยตามเสียงเท้า นางและผู้เฒ่าดีดพิณ สาวรับใช้สองคน และยังมีคู่สามีภรรยาขุนพลมารคู่นั้นเดินเข้ามาในวัด
สายตาของนางย้ายจากกองไฟที่ดับมอด ไปยังบนกองหญ้าที่อยู่ข้างกำแพง มองกิ่งก้านวัชพืชที่วุ่นวายเล็กน้อยเหล่านั้นและร่องรอยการกดทับของร่างกาย วิเคราะห์ออกมาได้อย่างง่ายดาย เมื่อคืนสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงน่าจะนอนกอดกันแล้วหลับไป
สาวรับใช้สองคนรู้ว่าใต้เท้า ตั้งแต่เด็กก็รักษาขนบธรรมเนียมและกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ดำรงตนอยู่ในศีลธรรมดีงาม มองคำว่าศีลธรรมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ฉะนั้นไม่รู้สึกประหลาดใจกับการตอบสนองในตอนนี้ของนาง คู่สามีภรรยาขุนพลมารคู่นั้นกลับรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นรู้สึกน่าขันเล็กน้อย หลิวเสี่ยวหวั่นหัวเราะพลางพูดว่า “พวกเขามีสัญญาสมรสอยู่บนตัว จะเรียกว่าเป็นชู้รักได้อย่างไร”
หนานเค่ออับจนคำพูดไปชั่วขณะ ความสามารถของคู่สามีภรรยาขุนพลมารคู่นี้มากล้น อีกทั้งไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของนาง ไม่สามารถต่อว่าเหมือนสาวรับใช้ได้ แต่ยังคงพูดเสียงแข็งยืนกรานว่า “ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัว แม้จะเป็นสามีภรรยาที่ยังไม่สมรส หนึ่งวันไม่สมรส ก็ต้องรักษาระยะห่าง ตลอดทางที่ผ่านมา นางให้เขาแบก สามารถพูดได้ว่าสุดวิสัย แต่นี่คืออะไร?”
หลิวเสี่ยวหวั่นยิ้มเล็กๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ในเมื่อสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงได้จากไปแล้ว ผู้แข็งแกร่งเผ่ามารทั้งขบวน แน่นอนว่าไม่ได้หยุด เดินออกจากวัดไป
สองข้างของถนนหญ้าขาว ในที่ราบทุ่งหญ้าทุกหนแห่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสัตว์อสูร มีสัตว์อสูรบางส่วนที่แข็งแกร่งจนขนาดคู่สามีภรรยาขุนพลมารคู่นี้ยังรู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อย
แม้ผู้เฒ่าดีดพิณท่านนี้จะใช้เสียงพิณควบคุมสัตว์อสูรที่ระดับต่ำหน่อยได้ แต่ไม่มีความสามารถในการควบคุมสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเช่นนี้อย่างแน่นอน อีกทั้งตอนนี้เขาก็แบกกู่ฉินไว้ข้างหลัง ไม่ได้ดีดให้เสียงดัง แต่ว่าไม่รู้ทำไม สัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นนอกจากจะไม่โจมตีใส่พวกเขาแล้ว กระทั่งยังเหมือนจะเห็นท่าทีนอบน้อมยอมรับชนิดหนึ่ง
นั่นเป็นเพราะในมือของหนานเค่อถือไม้ดำชิ้นหนึ่ง
ไม่รู้ว่าไม้ดำท่อนนี้เป็นสิ่งของอะไร กระจายสัญญาณบางอย่างไปรอบๆ ที่ราบทุ่งหญ้าอย่างต่อเนื่อง
สายตาของผู้เฒ่าดีดพิณตกอยู่บนไม้ดำท่อนนั้น นึกย้อนกลับไปถึงเมื่อหลายวันก่อนการตกตะลึงของตัวเองในตอนที่เห็นใต้เท้าหนานเค่อเอาไม้ดำออกเป็นครั้งแรก…ไม้ดำที่มองไม่เห็นความมหัศจรรย์ใดๆ ท่อนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะทำให้สัตว์อสูรในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลเชื่อฟังคำสั่งได้ ขนาดเหล่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุด ในขณะเดียวกันก็ทะนงโหดเหี้ยมที่สุด หลังจากในตอนแรกสุดมีความไม่สงบเล็กน้อย ต่อมาก็ยอมรับและถ่อมตัวลงอย่างรวดเร็ว
ชัดเจนมากว่า ไม้ดำท่อนนี้เป็นเครื่องมือที่แข็งแกร่งที่สุดที่กุนซือชุดดำมอบให้กับหนานเค่อ หนานเค่อยังคาดไม่ถึงว่าไม้ดำท่อนนี้จะมีพลังมหัศจรรย์เหลือเชื่อขนาดนี้ ใต้เท้าชุดดำในใจของผู้แข็งแกร่งเผ่ามารกลายเป็นยิ่งลึกลับยิ่งขึ้น เขาคือใครกันแน่ ทำไมถึงเข้าใจในสวนโจวได้ขนาดนี้ กระทั่งมีไม้ดำที่เป็นศาสตราวิเศษของสวนโจวอย่างเห็นได้ชัดท่อนนี้?
นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ และไม่รู้จะเริ่มไต่ถามได้จากที่ไหน สิ่งที่ผู้เฒ่าดีดพิณไม่เข้าใจคือ ทำไมใต้เท้าหนานเค่อไม่ใช้ประโยชน์จากไม้ดำชิ้นนี้ สั่งให้สัตว์อสูรในที่ราบทุ่งหญ้าที่ยากที่จะนับได้ว่ามีจำนวนเท่าไร ฉีกสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงเป็นชิ้นๆ ไปเลย ในทางกลับกันกลับสั่งให้สัตว์อสูรเหล่านั้นห้ามทำการโจมตีด้วยตัวเองก่อนได้รับคำสั่ง จริงๆ แล้วนางต้องการอะไรกันแน่?
“อาจารย์เอาไม้ดำท่อนนี้ส่งมอบให้ในมือข้า น่าจะคำนวณได้ว่า ข้าเป็นไปได้ที่จะเดินเข้าที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ แต่อาจารย์ไม่ได้บอกข้าไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับที่มาที่ไปของไม้ดำท่อนนี้ แสดงว่าอาจารย์อยากให้ข้าจัดการกับการตัดสินใจสุดท้ายของข้าเอง ข้าสามารถใช้ไม้ดำฆ่าพวกเขาได้ แต่ก็สามารถตามหาความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้”
หนานเค่อมองไปยังบริเวณห่างไกลของถนนหญ้าขาวมองไม่เห็นเงาหลังของสองคนนั้น กลับราวกับมองเห็นแล้ว สีหน้าไม่แยแสพูดว่า “แม้ข้าไม่เข้าใจพวกเขาว่าทำได้อย่างไร แต่ชัดเจนมากว่าพวกเขารู้ว่าสุสานของโจวตู๋ฟูอยู่ไหน รู้ตำแหน่งของสระกระบี่ ฉะนั้นห้ามให้พวกเขาตายก่อนแน่นอน”
ผู้เฒ่าดีดพิณพูดด้วยเสียงต่ำว่า “แต่ว่าตอนนี้พวกเราหาเจอถนนหญ้าขาวแล้ว ยังจะไว้ชีวิตพวกเขาไปทำไม?”
หนานเค่อพูดว่า “ถ้าไม่มีพวกเขา พวกเราเป็นไปไม่ได้ที่จะหาถนนหญ้าขาวเจอชั่วนิรันดร์ ในทำนองเดียวกัน ข้าไม่สามารถยืนยันได้ว่าหากจะเดินเข้าไปที่สุสานของโจวตู๋ฟูยังต้องผ่านการทดสอบอย่างไรบ้าง ข้าไม่มีทางที่จะเอาเรื่องที่ไม่มีในกำมือไปเสี่ยงกับฝ่ายตรงข้ามที่มีสิ่งของอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าดีดพิณเข้าใจแล้ว ไม่พูดมากความอีก ถอยไปที่ด้านข้างอย่างเคารพนอบน้อม เถิงเสี่ยวหมิงเดินไปยังที่บางแห่งของข้างทางแล้วนั่งยองๆ ลง สังเกตร่องรอยที่สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงหลงเหลือไว้อย่างละเอียด เกิดความรู้สึกเคารพนับถือมากต่อสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิง ใจคิดสมกับที่เป็นชายหญิงผู้ยอดเยี่ยมที่สุดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของโลกเผ่ามนุษย์ สามารถทนมาได้จนถึงตอนนี้
หนานเค่อเงยศีรษะยืนยันตำแหน่งของตะวันหลังฝนในท้องฟ้า เดินหน้าต่อไป รองเท้าหนังกดทับที่ราบหญ้าขาวและเกล็ดน้ำแข็ง หลงเหลือรอยเท้าที่ชัดเจนสายหนึ่ง
ผู้เฒ่าดีดพิณ โฉมสะคราญเผ่ามารสองคน ยังมีคู่สามีภรรยาเถิงเสี่ยวหมิงและหลิวเสี่ยวหวั่นเดินตามอยู่ข้างหลัง ที่บริเวณด้านหลังพวกเขาในที่ราบทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ สัตว์อสูรจำนวนมาก ราวกับคลื่นน้ำพัดข้ามแหล่งน้ำและที่รกร้าง ย่องตามมาอย่างเงียบๆ
เป็นภาพสยดสยองชวนขวัญผวาอันเกิดขึ้นจากความมหาศาลฉากหนึ่งดีๆ นี่เอง