บทที่ 166 หอกทะลวงเมฆา

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 166 หอกทะลวงเมฆา

หลายวันหลังเหตุการณ์ศึกหอประมูลตระกูลมี่ผ่านไป

ตอนนี้อาณาจักรจันทรากลับเข้าสู่สภาวะสงบเรียบร้อยเหมือนเดิมอีกครั้ง หากจะมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คงจะมีแต่ตระกูลมี่เท่านั้นที่กำลังขยายอำนาจอย่างรวดเร็ว

ส่วนบรรยากาศภายในสถาบันราชวงศ์ก็กลับสู่สภาพเดิมเช่นกัน

บรรดาคณะผู้ตรวจสอบ ที่เมื่อไม่นานมานี้ถูกส่งเข้ามาสอดส่องควบคุมเรื่องต่าง ๆ ในสถาบัน หลังจากเหตุการณ์งานประมูล ทุกคนในสถาบันก็ตระหนักได้ว่าเหล่าผู้ตรวจสอบที่คอยยุ่มย่ามกับชีวิตพวกเขาได้หายตัวไป

คนที่สบายใจที่สุดที่นี้คงเป็นอธิการบดีอย่างจ้าวปาเทียน เขาย่อมเข้าใจดีว่าทำไมคณะผู้ตรวจสอบเหล่านั้นถึงหายตัวไป ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเบิกบานที่หายนะได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ตอนนี้เมื่อถึงเวลาชั้นเรียนของศาลาศักดิ์สิทธิ์เริ่มสอน เขาจึงไปที่นั่นในทันที

ชื่อเสียงของศาลาศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบันนั้นโด่งดังยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เนื่องจากหลังจากเหตุการณ์งานประมูลของตระกูลมี่ ทุกคนก็ได้รู้ว่าอาจารย์โม่แห่งศาลาศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเทพปีศาจที่น่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ด้วยอาจารย์ที่มีชื่อเสียงน่าเกรงขามเช่นนี้ ผู้ที่มาเข้าร่วมชั้นเรียนจึงมีความกระตือรือร้นอย่างมาก

เมื่อจ้าวปาเทียนมาถึงศาลาศักดิ์สิทธิ์ เขาได้พบสหายเก่าหลายคนที่เขาไม่ได้เห็นหน้ามานานรวมไปถึงอาจารย์ในสถาบันเป็นจำนวนมาก

พวกเขามาเพื่อฟังโม่หยูถังเล่าถึงความรู้รอบตัวงั้นหรือ?

เปล่าหรอก!

เป็นเพราะพวกเขาที่รู้ถึงความแข็งแกร่งของโม่หยูถังพวกเขาจึงรีบมากันที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์เพื่อยลโฉมผู้ที่สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาได้ดั่งบี้แมลงผู้นี้ แม้ว่าบทเรียนการสอนของวันนี้นั้นมันจะเป็นบทเรียนธรรมดาก็ตาม

ในการเข้าฟังชั้นเรียนพวกเขายังคงต้องจ่ายค่าเข้าเป็นวัสดุระดับสูงให้หลิงตู้ฉิง 1 ชิ้นทุกเดือนเช่นเดิม ซึ่งบรรดาผู้เข้าฟังชั้นเรียนต่างเต็มใจจ่ายเป็นอย่างยิ่งถึงแม้ว่าบทเรียนที่พวกเขาได้ฟังจะเป็นเพียงการเล่าเรื่องราวธรรมดา ๆ ของยุทภพทั่วไปเท่านั้น

แล้วยิ่งในวันนี้เมื่อพวกเขามาถึงศาลาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาพบว่าตอนนี้โม่หยูถังและหลิงตู้ฉิงต่างก็ยืนอยู่บนเวทีบรรยายคู่กันด้วย

เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้พวกเขาต่างก็พากันดีใจ เนื่องจากเป็นเพราะประสบการณ์ก่อนหน้านี้ที่หลิงตู้ฉิงได้เปิดสอนด้วยตัวเอง มันทำให้พวกเขารู้ว่าการบรรยายของหลิงตู้ฉิงเป็นการบรรยายที่พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด

ทุกคนนั่งลงเตรียมฟังอย่างเป็นระเบียบ วันนี้มีคนมานั่งฟังทั้งคนแก่อายุหลักร้อยปีไปจนถึงเด็ก ๆ ที่อายุยังไม่ถึง 4 ขวบด้วยซ้ำ พวกเขาทั้งหมดต่างมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความคาดหวัง

หลิงตู้ฉิงที่ยืนรออยู่ได้สักพัก เมื่อเขาเห็นว่าหลิงเจิ้งสงและมี่ตั้วตั้ว ได้มาถึงชั้นเรียนของเขาแล้ว เขาจึงพูดว่า “วันนี้ข้าจะไม่สอนบทเรียนอะไรทั้งนั้น แต่วันนี้ข้าจะทำการสร้างอาวุธวิเศษวิเศษระดับราชวงศ์ให้สำหรับอาจารย์โม่แทน เหนืออาวุธวิเศษระดับวิญญาณคืออาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ อาวุธวิเศษระดับราชวงศ์แตกต่างจากอาวุธวิเศษระดับวิญญาณในจุดที่มันสามารถยืมพลังจากกฎของโลกและสามารถดึงพลังวิญญาณที่สถิตอยู่ในฟ้าดินมาเสริมพลังให้กับผู้ใช้ของมันได้ แต่ข้อจำกัดของมันก็คือต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาหรือสูงกว่าเท่านั้นถึงจะสามารถปลดปล่อยอำนาจของมันได้อย่างเต็มที่”

“และหลังจากที่ข้าสร้างอาวุธให้อาจารย์โม่เสร็จ ในชั้นเรียนต่อไปจะเป็นการบรรยายของอาจารย์โม่เช่นเดิม ซึ่งบทเรียนที่อาจารย์โม่จะสอนในชั้นเรียนต่อไปคือหัวข้อเกี่ยวกับเส้นทางการบ่มเพาะจากขอบเขตประสานทะเลปราณไปยังขอบเขตรวมแสงดาราที่ถูกวิธีให้พวกท่าน พวกท่านส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตรวมแสงดารานั้นเพียงแค่อยู่ในระดับ 10 ของขอบเขตประสานทะเลปราณก็สามารถทะลวงได้แต่อันที่จริงแล้วการทะลวงขอบเขตรวมแสงดาราที่ถูกต้อง ผู้บ่มเพาะควรจะอยู่ที่ระดับ 12 ของขอบเขตประสานทะเลปราณขึ้นไปเท่านั้นถึงจะถูกต้อง!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ฝูงชนที่ฟังอยู่เกิดความโกลาหลในทันที ก่อนหน้านี้ความเข้าใจของแทบทุกคนในทวีปเทียนหยวนนั้นเข้าใจว่าขอบเขตประสานทะเลปราณมีถึงแค่เพียง 10 ระดับเท่านั้น แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้หลังจากการที่หลายคนได้แลกเปลี่ยนความรู้กับบรรดาศิษย์ของสำนักต่าง ๆ ที่มาจากทวีปอื่น พวกเขาจึงได้ยินมาว่ามีคนฝึกฝนจนถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 แต่พวกเขาก็ยังไม่ทราบอยู่ดีว่าเหตุใดจึงต้องบ่มเพาะไปให้ถึงระดับนั้น? และมันจำเป็นต้องทำตามไหม?

แต่เมื่อครู่หลิงตู้ฉิงกลับบอกพวกเขาว่าในชั้นเรียนหน้า โม่หยูถังจะไขข้องใจนี้ให้พวกเขา พวกเขาจึงตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ที่นั่งฟังอยู่ตอนนี้ พวกเขาล้วนเคยมาฟังชั้นเรียนที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์หลายครั้งแล้ว พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าระหว่างการบรรยายพวกเขาจะยังไม่ได้รับอนุญาตให้ถามหรือส่งเสียงรบกวน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีคำถามสงสัยมากมายในหัวแต่พวกเขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกไป

ที่สำคัญกว่านั้นการบรรยายของโม่หยูถังนั้นเป็นการบรรยายในครั้งหน้า ซึ่งมันยังไม่มีประโยชน์ที่จะให้ความสำคัญในตอนนี้ ฉะนั้นพวกเขาจึงหันมาจดจ่อกับสิ่งที่พวกเขาอยากรู้อยากเห็นในตอนนี้คือหลิงตู้ฉิงกำลังจะสร้างอาวุธวิเศษวิเศษให้กับโม่หยูถัง

หลังจากที่หลิงตู้ฉิงกล่าวหัวข้อการบรรยายในครั้งหน้าของโม่หยูถังจบ เขาเปลี่ยนหัวข้อการพูดเป็นการบอกรายการวัสดุที่เขาจะใช้ในการสร้างอาวุธให้กับโม่หยูถังทีละรายการให้ทุกคนได้ยิน

จ้าวปาเทียนและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่ได้ยินรายการวัสดุ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าวัสดุจำนวนมากที่หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นล้วนเป็นวัสดุระดับราชวงศ์แทบทั้งนั้น

ในตอนนี้พวกเขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นเพราะพวกเขารู้ว่าวัสดุบางชิ้นที่พวกเขารู้จัก มูลค่าของมันแค่ชิ้นเดียวก็พอที่จะซื้อสมบัติระดับวิญญาณขั้นสูงได้อย่างสบาย ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาบางคนยังไม่มีสมบัติระดับวิญญาณขั้นสูงไว้ในครอบครองสักชิ้นด้วยซ้ำ

หลังจากที่หลิงตู้ฉิงระบุวัสดุเสร็จแล้ว เขาก็เดินลงมาจากเวที และเริ่มวางค่ายกลหลอมวัสดุขึ้นด้านล่างเวทีบรรยายซึ่งเป็นพื้นที่ปูด้วยกระเบื้องหิน “ค่ายกลที่ใช้หลอมวัสดุนี้เรียกว่า ‘ค่ายกลควบแน่นวิญญาณเพลิง’ ค่ายกลนี้ความสามารถของมันคือการรวบรวมพลังวิญญาณธาตุไฟ และควบแน่นพลังพวกมันให้เกิดเป็นประกายเพลิงอันรุนแรงตามระดับพลังวิญญาณของผู้ใช้ อย่างไรก็ตามหากระดับการบ่มเพาะของพวกท่านไม่สูงพอ ข้าแนะนำว่าอย่าลอง เพราะมีโอกาสสูงมากที่ท่านจะถูกไฟคลอกตาย”

ในระหว่างการบรรยายของหลิงตู้ฉิง หลายคนที่นั่งอยู่ไม่สามารถมองเห็นค่ายกลได้ชัดเจนพวกเขาจึงต้องลุกขึ้นยืน แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราพวกเขาเลือกที่จะลอยตัวขึ้นในอากาศแล้วจ้องมองไปที่การกระทำของหลิงตู้ฉิงตาไม่กะพริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหลียนปู้ชิง และบรรดาอาจารย์จากคณะช่างหลอม พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่เพ่งดูอย่างตั้งใจมากที่สุด

หลิงตู้ฉิงที่เสร็จจากการวาดค่ายกลควบแน่นวิญญาณเพลิงเรียบร้อย เขาเรียกเสี่ยวเยว่เฟิงให้เข้ามา และบอกให้นางเปิดใช้ค่ายกลสร้างเพลิงระดับนภาขึ้นเพื่อหลอมวัสดุระดับราชวงศ์

ซึ่งในระหว่างที่เขาโยนวัสดุต่าง ๆ เข้าไปในค่ายกล หลิงตู้ฉิงเองก็ได้อธิบายถึงวิธีการหลอมวัสดุและสร้างสมบัติวิธีต่าง ๆ ไปด้วย โดยที่ไม่สนใจว่าจะมีใครบ้างที่เข้าใจที่เขาพูดอยู่

อาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ มีความซับซ้อนมากกว่าการสร้างสมบัติวิเศษระดับวิญญาณทั่วไป แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังคงต้องเพ่งสมาธิในทุกขั้นตอนการสร้างตลอดทั้งวันทั้งคืน และแน่นอนว่าทุกคนที่กำลังเฝ้าดูอยู่ พวกเขาล้วนไม่ได้จากไปไหนเช่นกัน พวกเขาต่างอยากเห็นการถือกำเนิดของอาวุธวิเศษระดับราชวงศ์โดยที่ไม่รู้สึกง่วงเลย

หลังจากการสร้างดำเนินข้ามคืนไปจนเข้าสู่อีกวัน ในที่สุดอาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ ของโม่หยูถังก็ถือกำเนิดขึ้น มันเป็นหอกยาวอันงดงามด้ามหนึ่ง

เมื่อได้รับอาวุธวิเศษของตนเองมา โม่หยูถังตั้งชื่อให้กับมันทันที เขาตั้งชื่อให้กับมันว่า “หอกทะลวงเมฆา” เมื่อตั้งชื่อให้มันเสร็จ โม่หยูถังจึงหลอมรวมหอกเล่มนี้เข้าไปในร่างของเขา

ทุกคนที่เฝ้าดูการถือกำเนิดของอาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ชิ้นนี้ ต่างรู้สึกอิจฉาโม่หยูถังเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดถึงแม้กระทั่งต้องการยืมมันจากโม่หยูถังแต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อเห็นอาวุธชิ้นนี้ของโม่หยูถัง ทุกคนไม่เพียงแต่รู้สึกอิจฉา แต่พวกเขากลับเริ่มมีความตั้งใจที่จะบ่มเพาะให้หนักมากขึ้นด้วย เนื่องจากเงื่อนไขการใช้อาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ได้จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งต่อให้พวกเขาได้รับ อาวุธวิเศษระดับราชวงศ์มาครอบครอง พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติในการใช้มันอยู่ดี

หลังจากจบชั้นเรียนการสร้างอาวุธของโม่หยูถังหนนี้ มีเพียงอาจารย์ของคณะช่างหลอมเท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด

เมื่อการสร้างอาวุธจบสิ้น บรรดาอาจารย์ที่มาจากคณะช่างหลอมต่างก็นั่งลงเพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์สิ่งที่เพิ่งเห็นและฟังจากหลิงตู้ฉิงมา

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้คนอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากชั้นเรียนครั้งนี้มากนัก ก็ค่อย ๆ พากันถอยจากไปอย่างเงียบสงบ

สำหรับหลิงตู้ฉิงและคนของเขาทั้งหมด เมื่อจบชั้นเรียนพวกเขาขึ้นรถม้าแล้วเดินทางกลับคฤหาสน์สราญรมย์ทันที

หลังจากกลับมาที่ลานคฤหาสน์ เด็ก ๆ ที่ไม่ได้นอนมาทั้งวันทั้งคืนก็เข้านอนทันที มีเพียงหลิงเจิ้งสงที่ตามหลิงตู้ฉิงกลับมา เขายังคงอยู่พูดคุยเรื่องต่าง ๆ กับหลิงตู้ฉิง

“ไม่กี่วันที่ผ่านมา จู่ ๆ จักรพรรดิก็กล่าวชื่นชมตระกูลของเราและถอนผู้เชี่ยวชาญ 2 คนที่เขาเคยส่งให้มาเป็นที่ปรึกษาของปู่ออกไป” หลิงเจิ้งสงหัวเราะ

หลิงตู้ฉิงพูดยิ้ม ๆ “ตอนนี้เขาคงจะไม่กล้าทำอะไรไปสักพัก แต่เมื่อไหร่ที่เขาเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น เขาย่อมไม่ปฏิบัติกับเราแบบนี้”

หลิงเจิ้งสงพยักหน้าและพูดต่อ “นอกจากนั้น เมื่อวานจักรพรรดิได้กล่าวเอ่ยชมเจ้าในที่ประชุม เขาบอกว่าเขาชื่นชมเจ้ามากที่ได้ทุ่มเททำงานหนักในศาลาศักดิ์สิทธิ์และเขาอยากจะเชิญเจ้าไปเป็นที่ปรึกษาของเขา ซึ่งข้อนี้ปู่คิดว่านี่คงเป็นการหยั่งเชิงดูปฏิกิริยาตอบโต้จากเจ้า เนื่องจากเขาเองก็ไม่ได้ออกกฤกษฏิกามาโดยตรง และที่สำคัญเขายังต้องการที่จะเป็นพ่อสื่อให้เจ้ากับบรรดาหลานสาวของเขาอีกด้วย เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?”

หลิงตู้ฉิงโบกมือและพูดว่า “ข้าไม่สนใจ! ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาของจักรพรรดิหรือพวกองค์หญิง ข้าไม่ต้องการที่จะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาทั้งนั้น!”

ในขณะที่หลิงตู้ฉิงพูดจบ หลิวเฟ่ยเฟ่ยก็เข้ามาและพูดว่า “นายท่าน มีองค์หญิงต้องการพบท่าน!”

หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและพูดว่า “หากนางต้องการพบข้า เจ้าไปบอกกับนางให้นางมอบวัสดุระดับสูงให้ข้าตามกฎ!”

เมื่อหลิวเฟ่ยเฟ่ยจากไป หลิงเจิ้งสงรีบพูดว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจเหล่าองค์หญิง แต่ปู่เองยังต้องสนใจอยู่ ฉะนั้นปู่ขอออกไปก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากข้าอยู่ด้วยบรรยากาศในห้องนี้มันคงจะแปลกพิกล” หลังจากพูดจบหลิงเจิ้งสงก็บินจากไปทางหน้าต่าง