ตอนที่ 221 กว่าจะได้ออกงานด้วยกัน / ตอนที่ 222 คลื่นใต้น้ำ

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 221 กว่าจะได้ออกงานด้วยกัน

 

 

เหยียนเฟิงมองหญิงสาวที่ใบหน้าบิดเบี้ยว ก็แอบเย้ยหยันในใจ ผู้หญิงโง่เง่าคนนี้ทำให้เขาไม่ต้องพูดอะไรมาก

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูเนื้อเพลงบนขาตั้งตรงหน้า ก่อนจะเหลือบมองเหยียนเค่อหนึ่งทีด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ส่วนเหยียนเค่อก็มีสีหน้าเดียวกับเธอ ช่วยเปิดไมค์บนขาตั้งให้ ก่อนจะหันกลับไปขอเพลงกับวงดนตรีที่อยู่ด้านหลัง

 

 

ทั้งคู่นั่งใกล้กันเป็นอย่างมาก เข่าของซย่าเสี่ยวมั่วชนกับขาของเขา มือหนึ่งประคองไมโครโฟนไว้

 

 

เดิมทีเหยียนเค่อจะเล่นเปียโน แต่พอสติหลุดก็เลยมานั่งอยู่ข้างๆ เธอเสียได้ ตอนนี้ก็เดินออกไปไม่ได้แล้ว ถือไมค์ไว้ในมือโดยไม่ใช้ขาตั้ง

 

 

หลังจากทั้งงานเงียบลงแล้ว ก็มีเสียงคนที่คุ้นเคยส่งเสียงเชียร์อยู่ด้านล่างเวที

 

 

ท่วงทำนองอันคุ้นเคยดังขึ้น คนที่ส่งเสียงกู่ร้องอยู่ด้านล่างก็เงียบลง

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหัวอย่างจนปัญญา หาจังหวะที่แม่นยำเพื่อจะเข้าเพลง

 

 

“เธอคือการจากลาของสายลมในยามค่ำคืนที่ค่อยๆ จางหายไปและทางช้างเผือกที่วับวาบไม่ชัดเจน…

 

 

เธอคือภาพอันสดใสยามฟ้าสางในสายตาของฉัน

 

 

เธอคือเวลาที่ร้องฮัมเพลงเบาๆ ราวกับแสงดาวพร่างพรายไปทั่วทั้งตรอกถนน

 

 

แป้นเปียโนสีดำขาวส่องแสงทองยามรุ่งเช้า

 

 

ขอให้เธอมีพลังอยู่เสมอ ขอให้เธอเป็นดวงอาทิตย์ของตัวเอง

 

 

ขอให้เธอหยุดอยู่ในยามที่ตกหลุมรักซึ่งกันและกันแบบนี้ตลอดไป

 

 

แสงสว่างในดวงตาของเธอยังคงระยิบระยับบอกเล่าถึงความบ้าคลั่งเหล่านั้น

 

 

มีความฝันที่ฉันอยากจะเก็บมันไว้กับเธอ….”

 

 

เสียงใสของหญิงสาวมีความแหบพร่าเล็กน้อยค่อยๆ ดังขึ้น นุ่มนวลราวกับไวน์เข้มข้น

 

 

มือของเธอวางอยู่บนหน้าขาของเหยียนเค่อ นิ้วมือเคาะเข้าที่ขาของเขาเบาๆ ตามจังหวะเพลง นัยน์ตาหลุบมองขาตั้งด้านหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เปี่ยมไปด้วยความรักที่เธอมีต่อสวีรั่วชีลงในบทเพลงนี้

 

 

เมื่อมือของซย่าเสี่ยวมั่วหยุดเคาะ ท่วงทำนองเพลงก็ดังขึ้น ถึงท่อนร้องของเหยียนเค่อ

 

 

“เธอคือบทเพลงเล่าเรื่องความทรงจำและความรักในอดีตที่ร้องให้ฉันฟังเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

 

เธอคือดอกไม้ที่เบ่งบานในหัวใจของฉันตลอดสี่ฤดู

 

 

เธอคือสีสันและน้ำหมึกบนกระดาษที่เขียนข้อความที่ฉันชอบที่สุด

 

 

เมื่อในหัวใจมีเธอ ดวงตาก็เบิกบานไปด้วยความสุข…”

 

 

เป็นครั้งแรกที่ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินเหยียนเค่อร้องเพลง ก็หลงใหลในน้ำเสียงไพเราะของเขาในทันที

 

 

ทั้งคู่ไม่ได้ซ้อมมาก่อน ในเนื้อเพลงก็ไม่ได้ทำเครื่องหมายบอกไว้ แต่ก็ร้องต่อกันได้อย่างรู้ใจ

 

 

ท่อนสุดท้ายเป็นท่อนที่ทั้งสองคนต้องร้องประสานเสียงกัน

 

 

เสียงใสของหญิงสาวกับเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มผสมผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งคู่ไม่ได้มองตากันเลยตลอดเพลง เพียงแค่ร้องเพลงเดียวกันเงียบๆ เท่านั้น แต่ก็มีเพียงความรู้สึกที่ล่องลอยไปมา โดยมีเพียงทั้งคู่เท่านั้นที่รู้

 

 

สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หญิงสาวในชุดพิธีสีแดงเพลิงบนเวที รูปร่างเล็กในชุดพิธีรัดรูป กระโปรงยาวลากพื้น ขนตางอนกระทบกับแสงไฟ ทำให้ใบหน้าทั้งดูงดงามและน่าหลงใหลไปในที

 

 

ส่วนผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างเธอนั้นท่าทางสะอาดสะอ้านและเย็นชา ชุดสูทสีดำธรรมดาเข้ากับใบหน้างดงามดุจภาพวาด มีท่าทางสบายๆ

 

 

ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้ส่งสายตาสื่อสารกันเลยตลอดทั้งเพลง แต่ตำแหน่งมือที่ไม่สะดุดตานั้นกลับทำให้ไม่สามารถละเลยไปได้

 

 

คนที่คุ้นเคยกับเหยียนเค่อต่างก็กำลังครุ่นคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ส่วนคนที่ไม่คุ้นเคยกับ

 

 

เหยียนเค่อต่างก็คิดว่าจับคู่นี้แยกกันได้ไหม

 

 

หลี่หมิงฉวีมองดูคนบนเวทีแล้วกำหมัดแน่น เมื่อครู่ตอนที่ซย่าเสี่ยวมั่วบอกว่าจะไปหาสวีรั่วชีนั้น เขาร้องห้ามไว้ไม่ทัน ตอนนี้กลับมาร้องเพลงอยู่กับผู้ชายคนนั้นบนเวทีเสียอย่างนั้น

 

 

ฉินจานควงแขนซูอี้แล้วเอ่ยอย่างอิจฉา “ว้าว ทั้งสองคนเหมือนมีซัมติงกันเลย ในที่สุดก็ได้มาออกงานด้วยกันแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจที่แต่งงานไปเร็วขนาดนั้น”

 

 

“คุณว่าอะไรนะ” ซูอี้หน้านิ่ง มองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ

 

 

ฉินจานกลัวเขาโกรธเป็นที่สุด จึงรีบอธิบาย “ฉันหมายความว่า ถ้าแต่งงานช้า มั่วมั่วจะได้มาร้องเพลงให้ฉันไง”

 

 

สีหน้าของซูอี้จึงดูดีขึ้นมาหน่อย เพื่อเป็นการยับยั้งภรรยาของเขาไว้ เขาก็คงต้องช่วยเหยียนเค่ออีกแรงแล้วล่ะ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 222 คลื่นใต้น้ำ

 

 

ตัวตนของเหยียนเค่อดูลึกลับมาตลอด มีคนรู้จักเขามากมาย แต่คนที่เคยเจอเขาช่างน้อยนิด

 

 

ตอนแรกเขายังอยากจะลองเป็นพิธีกรด้วย แต่ถูกสวีอันหรานด่ากลับมาก่อน ดังนั้นเขาทำได้เพียงหาโชว์พิเศษให้ตัวเองเท่านั้น

 

 

ผู้ช่วยหวังที่รู้เรื่องล่วงหน้าก็รู้สึกหมดคำพูด ได้เพียงทำประชาสัมพันธ์ให้ดีก่อนล่วงหน้า ป้องกันพวกคนโง่ที่จะปล่อยรูปของเหยียนเค่อออกไป

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินมองหนุ่มสาวที่ดูเหมาะสมกันอย่างมากบนเวที คอยถ่วงเวลาให้คู่หมั้นของสวีรั่วชีมาถึงที่นี่ช้าหน่อย

 

 

คุณชายใหญ่ตระกูลฉู่ร้อนใจจนไฟจะลุกแล้ว โดนขับคนรถเบียดไม่เท่าไร แถมจู่ๆ ก็โดนต่อยอีกต่างหาก นั่งรอจัดการเรื่องอยู่ที่สถานีตำรวจอยู่นานแล้ว ไม่ว่าจะยืนยันตัวตนของตัวเองอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

 

 

เหยียนเค่อนึกว่า ถ้าสวีอันหรานฉุดเจ้าสาว ทางที่ดีคือให้บ้านตระกูลสวีถอนหมั้นแล้วขอโทษบ้านตระกูลฉู่ แต่สวีอันหรานกลับไม่ทำเช่นนั้น จะฉุดเจ้าสาวคนอื่นไปแถมยังจะให้ฝ่ายนั้นขอโทษด้วย

 

 

แผนเดิมคือ สวีอันหรานพาเจ้าสาวหนีไปเลย แต่หลังจากสวีอันหรานไม่เห็นด้วยกับแผนนี้แล้วก็เปลี่ยนเป็นให้ฝ่ายชายมาสาย ส่วนบ้านตระกูลสวีก็ถอนหมั้นได้อย่างสวยงาม

 

 

แผนนี้ยุ่งยากกว่าแผนเดิมอยู่มาก ถ้าเกิดคนอื่นมาเห็นเข้า เรื่องก็จะจัดการยากมากขึ้น แถมการทำให้ฝ่ายชายมาสายได้ก็ต้องมีการลงมือลงไม้เหมือนกัน

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วถูกพาลงจากเวที ยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไรเหยียนเค่อก็กำชับขึ้นก่อน “เธอระวังตัวด้วย ฉันมีเรื่องต้องไปทำต่อ ไปก่อนนะ”

 

 

เธอมองคนที่เดินหายเข้าไปในฝูงชนอย่างงุนงง ทำได้เพียงยกชายกระโปรงเดินไปหาหลี่หมิงฉวี

 

 

งานหมั้นเริ่มขึ้นแล้ว แต่เพราะว่าฝ่ายชายมาสาย ทำได้เพียงเปิดงานเลี้ยงก่อน

 

 

เมื่อสวีอันหรานขึ้นไปบนเวที หัวใจดวงน้อยของซย่าเสี่ยวมั่วก็กระตุกสั่นไหว ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว แต่กลับไม่กล้าคิดต่อ

 

 

“ทุกท่านคิดเสียว่าเป็นงานเลี้ยงธรรมดาแล้วกันนะครับ หวังว่าวันนี้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านจะสนุกกันให้เต็มที่”

 

 

ทุกคนสังเกตได้ถึงสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน จึงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกหลี่หมิงฉวีโอบไว้ในอ้อมกอดตัวแข็งเกร็ง ฟังเขาแนะนำคนนั้นคนนี้ให้รู้จัก

 

 

กลุ่มคนของเฉิงซีก็ส่งเสียงแซวถามขึ้น “นี่สาวบ้านไหนที่โดนนายหลอกมากันล่ะเนี่ย”

 

 

หลี่หมิงฉวีแนะนำอย่างไม่ปกปิด “นี่คือรักแท้ในชีวิตของผม ซย่าเสี่ยวมั่วครับ”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่สนใจว่าเขาจะแนะนำตัวยังไง อย่างไรเสียรักแท้ของเธอไม่ใช่เขาก็แล้วกัน

 

 

ในใจยังกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านสวีรั่วชี นั่งอยู่บนโซฟาอย่างร้อนอกร้อนใจ

 

 

พวกหลี่หมิงฉวีก็โทรศัพท์ติดต่อคุณชายใหญ่ตระกูลฉู่ไม่หยุด ไม่รู้ว่าเวลาที่สำคัญแบบนี้ฉู่อวิ๋นมัวไปทำบ้าอะไรอยู่

 

 

“เธอเป็นห่วงสวีรั่วชีเหรอ” หลี่หมิงฉวีกุมมือเธอไว้

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วอยากสลัดออก แต่แรงน้อยเกินไปทำได้เพียงปล่อยให้เขาจับไว้ ขณะกำลังจะพยักหน้านั้น ก็รู้สึกว่าด้านหลังศีรษะมีลมเย็นพัดผ่าน ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว

 

 

เมื่อหันไปก็เห็นเหยียนเค่อพาผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา สายตานั้นเยือกเย็นราวกับศรธนู ยิงปักลงบนตัวของซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเบ้ปาก พวกเขาก็เหมือนกันนั่นแหละ ทำหน้าเหมือนภรรยาที่พลัดพรากจากสามีมานานอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“ได้ยินมาว่างานหมั้นของประธานเหยียนก็ใกล้แล้วนี่นา ยินดีด้วยนะครับ” หลี่หมิงฉวีโอบซย่าเสี่ยวมั่วให้ยืนขึ้นทักทายกับเขา

 

 

ครั้งแรกที่เจอไม่รู้ว่าเขาคือเหยียนเค่อ ตอนนี้เขาต้องกู้หน้าและจิตใจที่โดนทำร้ายของตัวเองกลับมาให้ได้ก่อน

 

 

“เช่นกัน” เหยียนเค่อตอบกลับสั้นๆ ชูแก้วให้ทุกคน แต่สายตากลับเหลือบมองไปทางซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

พ่อแม่ของสวีอันหรานรู้แผนการของพวกลูกชายตนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ปล่อยให้พวกเขาก่อเรื่องแล้วออกจากงานไปตั้งนานแล้ว คนของตระกูลฉู่ต่างก็ตามหาคุณชายใหญ่ของพวกเขาอยู่ พวกผู้ใหญ่ก็ไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องกะทันหันแบบนี้ คนที่ออกจากงานได้ก็จากไปนานแล้ว เหลือเพียงเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน สถานการณ์ภายในงานราวกับคลื่นใต้น้ำ แต่ละฝ่ายต่างก็กำลังเคลื่อนไหว