ณ ชั้นที่หกของมิติพิเศษ การทำพันธสัญญาระหว่างเต่ามังกรและฉินอวี้โม่ก็เสร็จสมบูรณ์

หลังจากทำพันธสัญญา ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์มากพอสมควร อาการบาดเจ็บของเต่ามังกรฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและพลังความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็เพิ่มขึ้นจนถึงขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูงสุดในทันที

“หืม?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ของฉินอวี้โม่และเต่ามังกร อวิ๋นขวงก็อดแปลกใจไม่ได้ จากนั้นเขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้และกล่าวด้วยความตกใจ “หรือว่าจะเป็นกายเทพมายา?!”

สิ่งที่สามารถรับมือกับพลังกัดกร่อนจากเขาได้เช่นนี้ นอกเหนือจากกายเทพมายาก็ไม่มีสิ่งใดอีก

“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าจะได้พบของดีเช่นนี้ หากข้าจับตัวเจ้ากลับไปได้ ท่านผู้นำจะต้องตบรางวัลข้าอย่างงามเป็นแน่”

อวิ๋นขวงมองฉินอวี้โม่ที่ลุกขึ้นยืนและหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ฉินอวี้โม่ หากเจ้ายอมกลับไปกับข้าดีๆ ข้าให้คำมั่นว่าจะปล่อยฉีอวิ๋นเหล่ยและเต่ามังกรไป”

เขามองฉินอวี้โม่และกล่าวขึ้นมา

กายเทพมายาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ตราบใดที่เขาสามารถนำตัวฉินอวี้โม่กลับไปได้ ต่อให้แผนการครานี้ของพวกเขาจะล้มเหลว พวกเขาก็ยังจะได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล

“ฝันไปเถอะ!”

ฉีอวิ๋นเหล่ยปฏิเสธทันควัน

“ต่อให้ต้องตาย ข้าก็ไม่มีทางยอมให้ฝ่ายมารประสบความสำเร็จได้!”

ฉินอวี้โม่เข้าใจดีว่าเมื่ออีกฝ่ายรู้ว่านางครอบครองกายเทพมายา เขาจะต้องคิดชิงตัวนางไปอย่างแน่นอน ทว่านางเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว หากว่านางควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ นางก็จะปลิดชีวิตตนเองและหายไปจากโลกใบนี้ เพียงแต่ว่าการที่ไม่ได้พบหน้าหานโม่ฉือและครอบครัวที่รักทำให้นางรู้สึกเสียใจไม่น้อย

“เหอะ ถ้างั้นก็อย่าโทษข้าก็แล้วกัน”

อวิ๋นขวงได้ยินวาจาแน่วแน่ของฉินอวี้โม่และตัดสินใจที่จะไม่รามือ เขาปรบมือเบาๆก่อนที่อสูรขนาดมหึมาจะปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเขา

มันคืออสูรน่าเกลียดน่ากลัวที่มีลำตัวสีดำ หัวขนาดใหญ่ของมันขัดกับลำตัวเล็ก รูปลักษณ์หน้าตาของอสูรตัวนี้ดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง

“อสูรดุร้ายโบราณ.. เทาเที่ย!”

 *เทาเที่ยคือหนึ่งในสี่ยอดสัตว์ร้ายบรรพกาล มีใบหน้าเป็นคนร่างกายเป็นแพะ ดวงตาอยู่ใต้รักแร้ เขี้ยวพยัคฆ์กรงเล็บมนุษย์ เทาเที่ยขึ้นชื่อว่าเป็นจอมตะกละจึงถูกนำมาเปรียบเปรยถึงคนที่ตะกละตะกลามหรือละโมบโลภมาก*

เต่ามังกรจำอสูรตัวนี้ได้ทันทีและสีหน้าของมันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

อีกทั้งสภาวะพลังของเทาเที่ยตัวนี้ก็ทรงพลังอย่างยิ่งซึ่งมีพลังอยู่ในระดับอสูรสุริยะขั้นสูงสุดเป็นอย่างต่ำ หากเผชิญหน้ากัน เต่ามังกรไม่มีทางที่จะเทียบมันได้เลย

“มิติพิเศษแห่งนี้เรียกอสูรมายาออกมาไม่ได้ไม่ใช่รึ?”

ฉีอวิ๋นเหล่ยงุนงงเล็กน้อยและกล่าวขึ้นเบาๆ

“เทาเที่ยตัวนี้น่าจะไม่ใช่อสูรมายาของเขา ทว่าเป็นร่างวิญญาณที่ถูกเขาควบคุมไว้โดยวิธีการพิเศษบางอย่าง”

เต่ามังกรกล่าวอธิบายกับฉีอวิ๋นเหล่ย

เทาเที่ยตัวนี้ไม่มีร่างกายทว่าเป็นเหมือนร่างวิญญาณ อย่างไรก็ตาม พลังความแข็งแกร่งของมันก็ทำให้ต้องปวดหัวไม่น้อยเลย

ลำพังเพียงอวิ๋นขวงคนเดียวก็รับมือได้ยากพอแล้ว หากเพิ่มเทาเที่ยตัวนี้เข้ามาอีก ฝ่ายฉินอวี้โม่ก็แทบไม่มีทางที่จะต่อกรได้เลย

“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนว่าวันนี้เราทั้งหมดจะต้องตายอยู่ที่นี่ ทว่าก่อนตาย..เรามาสู้กันอย่างเต็มที่เถอะ!”

จู่ๆฉินอวี้โม่ก็หัวเราะออกมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงใจเย็น

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น นางก็จะต้องต่อสู้อย่างสุดชีวิต

การเข้ามาในมิติพิเศษแห่งนี้น่าจะมีผนึกบางอย่างขวางไว้ มิฉะนั้นซูเสี่ยวจวิ้นที่ออกไปแจ้งให้คนเข้ามาช่วยก็คงกลับมานานแล้ว

“หึหึ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต่อสู้เคียงข้างท่าน”

เต่ามังกรเองก็สงบลงมากแล้วเช่นกันและมันก็รู้ว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีคนเข้ามาช่วย

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็เลือกที่จะต่อสู้อย่างหลังชนฝาสักครา ไม่ว่าท้ายที่สุดจะลงเอยด้วยความเป็นหรือความตาย มันก็ไม่เกรงกลัว

ฉีอวิ๋นเหล่ยเพียงยิ้มบางๆโดยไม่เอ่ยพูดอะไร ทว่าเขาเข้าใจความคิดนี้เป็นอย่างดี เขาจะสู้อย่างเต็มที่โดยที่ไม่คิดชีวิตเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทุกคนจะลงมือ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคน

“จุ๊ จุ๊ จุ๊ ก็แค่เทาเที่ยตัวหนึ่ง ข้าจะจัดการเอง ฮ่าๆๆ”

เสียงนี้ฟังดูคุ้นหูสำหรับฉินอวี้โม่อย่างมาก ทว่านางก็นึกไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง

“ขอโทษด้วย ดูเหมือนข้าจะมาช้าไปหน่อย”

ทันใดนั้นน้ำเสียงอ่อนโยนและคุ้นหูก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ จากนั้นนางก็รู้สึกได้ว่าตนเองอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นและแข็งแกร่งของใครคนหนึ่ง

บัดนี้นางรู้แล้วว่าเหตุใดเสียงเมื่อครู่จึงคุ้นหูนัก มันคืออสูรคู่กายของหานโม่ฉือ—กิเลนอัคคีนั่นเอง

“โม่ฉือ เจ้ามาจนได้”

เมื่อเอนกายพิงอกอุ่นของบุรุษคนรัก ความกังวลใจใดๆก่อนหน้านี้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ฉินอวี้โม่คลายกังวลลงทันที

ในสถานการณ์นี้ อารมณ์ความรู้สึกของนางควรจะตึงเครียดอย่างมาก ทว่าเมื่อบุรุษคนรักปรากฏตัวเช่นนี้ นางก็ผ่อนคลายลงอย่างแท้จริง

“เอ่อ..นี่คือใครรึ?”

เมื่อเห็นบุรุษรูปงามที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ฉีอวิ๋นเหล่ยและเต่ามังกรก็ตกใจเล็กน้อย

ทั้งสองไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าบุรุษเจ้าของอ้อมอกที่ฉินอวี้โม่ซบอยู่ในตอนนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าพลังความแข็งแกร่งของเขาน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

“ข้านึกออกแล้ว เขาคงจะเป็นคู่หมั้นคู่หมายของอวี้โม่—หานโม่ฉือ”

จู่ๆฉีอวิ๋นเหล่ยก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้และยืนยันตัวตนของบุรุษผู้มาใหม่ได้ทันที

เมื่อได้ยินคำพูดของฉีอวิ๋นเหล่ยและเต่ามังกร ฉินอวี้โม่ก็ตอบสนองขณะผละออกจากอ้อมแขนของหานโม่ฉือและพยักศีรษะพร้อมกล่าวยืนยัน “ใช่แล้ว เขาคือคู่หมั้นของข้า—หานโม่ฉือ”

“ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานานแล้ว ไม่คิดเลยว่าการได้พบกันในวันนี้จะทำให้ข้าตกใจถึงเพียงนี้ อวี้โม่.. คู่หมั้นของเจ้าเหนือมนุษย์ยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก!”

ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มบางๆ เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายแกร่งกล้าจากร่างของหานโม่ฉือ เขาก็คลายกังวลลงเช่นกัน

บุรุษผู้นี้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ฉีอวิ๋นเหล่ยเชื่อว่าในตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้อันตรายอีกต่อไป

“เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขทว่าเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจปนสงสัย ถึงแม้นางรู้ว่าซูเสี่ยวจวิ้นออกไปตามคนมาช่วย นางก็ยังแปลกใจเมื่อพบว่าผู้ช่วยที่มาถึงคือหานโม่ฉือ บุรุษคนรักของตนเอง

“ข้าเข้ามาที่นี่ผ่านทางห้วงมิติโดยตรง”

หานโม่ฉือยิ้มและตอบอย่างไม่ปิดบัง

อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขาทำให้ฉีอวิ๋นเหล่ยและเต่ามังกรตกตะลึงสุดขีด การแยกห้วงมิติคือพลังของยอดฝีมือขอบเขตเซียน หานโม่ฉือผู้นี้เป็นยอดฝีมือในขอบเขตเซียน!

“เยี่ยมที่สุด!”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างมีความสุขและจู่ๆนางก็เขย่งปลายเท้าขึ้นสูงและจุมพิตเบาๆลงบนแก้มซ้ายของหานโม่ฉือ

“ดูเหมือนว่าการที่ไม่ได้พบกันนาน โม่เอ๋อร์ของข้าจะใจกล้าขึ้นมาก”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นของสตรีคนรัก หานโม่ฉือก็อดยิ้มพร้อมเอ่ยเย้าแหย่ไม่ได้

ระหว่างเดินทางมาที่นี่ เขาทั้งกังวลและโกรธแค้น หากว่าฉินอวี้โม่เป็นอะไรไปจริงๆ เขาจะต้องบ้าคลั่งและเสียสติเป็นแน่ โชคดีเหลือเกินที่เขามาถึงได้ทันท่วงที ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้

หานโม่ฉือในตอนนี้ต้องการเพียงกอดฉินอวี้โม่ในอ้อมแขนและเติมเต็มความรู้สึกโหยหาในใจ อย่างไรก็ตาม ดูแล้วตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก

สาเหตุที่ฉินอวี้โม่กระตือรือร้นมากเพียงนี้เป็นเพราะนางเพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมา จนนางเข้าใจอย่างกระจ่าง เมื่อได้ประสบกับความรู้สึกที่ว่าชีวิตอาจไม่ยาวนานอย่างที่คิด หากมีสิ่งใดในใจที่ต้องการทำก็อย่ารั้งรอ นางและหานโม่ฉือรักกันอย่างสุดหัวใจ การกระทำของนางจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

เมื่อได้ยินคำเย้าหยอกที่พบได้ยากจากหานโม่ฉือ หัวใจที่ประหม่ากังวลของฉินอวี้โม่ก็สงบลงอย่างแท้จริง

“โม่ฉือ ข้าเหนื่อยจังเลย”

ฉินอวี้โม่มีท่าทีอ่อนแรงขณะแสดงอากัปกิริยาออดอ้อนหานโม่ฉือ

“เอาล่ะ รอข้าสักประเดี๋ยว”

หานโม่ฉือยิ้มพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจและหยิ่งทะนง

ฉีอวิ๋นเหล่ยและเต่ามังกรถึงกับพูดไม่ออก ทั้งสองไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้แกร่งกล้าจะมีมุมออดอ้อนอยู่เช่นกัน

“ไปพักบนเต่ามังกรและปล่อยที่เหลือให้ข้า ข้าจะจัดการชายคนนั้นเอง”

หานโม่ฉือยิ้มอย่างอบอุ่นอีกครั้งก่อนพุ่งตรงไปปรากฏตัวบนหลังเต่ามังกร เขาประคองฉินอวี้โม่นั่งลงอย่างอ่อนโยนและวางผ้าคลุมที่เตรียมไว้คลุมให้กับฉินอวี้โม่ จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ

เต่ามังกรกลอกตาและพูดในใจ ‘ข้าก็เหนื่อยเหมือนกัน’

ฉีอวิ๋นเหล่ยเองก็พูดไม่ออกไม่ต่างกันทว่าเขาไม่ได้ใจเย็นอย่างฉินอวี้โม่ อวิ๋นขวงผู้นั้นประหลาดผิดธรรมดามาก เหตุใดฉินอวี้โม่จึงเชื่อมั่นในตัวหานโม่ฉือมากถึงเพียงนี้?

“นายท่าน นายหญิง นี่เป็นเวลาสำหรับการต่อสู้ มีคนหลายคนกำลังมองดูอยู่ ท่านทั้งสองอย่าเพิ่งแสดงความรักกันก่อนเลย”

กิเลนอัคคีของหานโม่ฉือก็อดไม่ได้จนต้องพูดอะไรบางอย่าง

ทั้งสองแสดงความรักใกล้ชิดต่อกันทันทีที่พบหน้า แล้วจะให้อสูรโดดเดี่ยวอย่างพวกมันทนมองได้อย่างไร?

“ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการร่างวิญญาณของเทาเที่ยนั่น หากผลลัพธ์ออกมาไม่พอใจข้า ข้าจะลงโทษเจ้าด้วยการไม่ให้กินเนื้อนานหนึ่งเดือน”

มุมปากของหานโม่ฉือยกยิ้มเบาๆและกล่าวออกไป

“นายท่าน นี่คือการเอาคืนอย่างเห็นได้ชัด นายหญิง โปรดช่วยพูดให้ข้าด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดข่มขู่ของเจ้านาย กิเลนอัคคีก็ทำท่าทีเศร้าใจ อย่างไรก็ตาม มันพุ่งตรงไปโจมตีเทาเที่ยทันที

มันยังคงตะโกนต่อไป “ข้าอยากกินเนื้อ ข้าอยากกินเนื้อ…”

ฉินอวี้โม่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เดิมทีหานโม่ฉือเป็นคนเย็นชาเยือกเย็น ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเย็นชาไปในทางที่ผิด!

“ข้าจะรีบกลับมา”

หานโม่ฉือยิ้มและจุมพิตเบาๆบนหน้าผากของฉินอวี้โม่

จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งตรงออกไปเผชิญหน้ากับอวิ๋นขวงและกล่าวอย่างเย็นชา “เอาล่ะ พูดมา เจ้าต้องการความตายแบบใด?”

คนชั่วที่ทำให้โม่เอ๋อร์ของเขาตกอยู่ในอันตรายยังคงเสนอหน้ายืนอยู่ที่นี่ เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับฉินอวี้โม่และบอกนางว่าเขาคิดถึงโหยหานางเพียงใด ทั้งหมดเป็นความผิดของอวิ๋นขวงผู้นี้!

หานโม่ฉือเดือดดาลอย่างยิ่ง ผู้ที่คิดจะทำร้ายโม่เอ๋อร์ของเขาจะต้องชดใช้อย่างสาสม!

หากเขามาที่นี่ไม่ทันเวลา เขาไม่รู้เลยว่าโม่เอ๋อร์ของเขาจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคนจากขุมกำลังมารร้ายผู้นี้ หากเขาไม่ได้สังหารอีกฝ่ายล่ะก็ เขาจะบรรเทาโทสะในหัวใจได้อย่างไร

“ยโสโอหังยิ่งนัก!”

ทันทีที่หานโม่ฉือปรากฏตัวขึ้นมา อวิ๋นขวงก็ตกใจไม่น้อย

ทว่าเมื่อเห็นว่าหานโม่ฉือไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เขาก็ไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด บุรุษผู้นี้จะยโสโอหังเกินไปแล้ว

เขาเป็นถึงผู้อาวุโสของขุมกำลังมารร้ายและไม่เคยมีใครกล้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้มาก่อน บุรุษผู้นี้ไม่เห็นหัวเขาเลยสักนิด และเมื่อสบตากันครั้งแรกก็ยังกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา หากไม่ได้สั่งสอนให้รู้สำนึก อวิ๋นขวงก็คงจะรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย

“หนวกหู ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกความตายของตัวเอง ทว่าหากเจ้าไม่เลือก ข้าก็จะเลือกให้เอง!”

หานโม่ฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาทะนงตนแล้วอย่างไร? เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูชั่วร้ายเช่นนี้ อย่างน้อยความโอหังก็เป็นสิ่งที่เหมาะสม

“เหอะ ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักแค่ไหน!”

อวิ๋นขวงแค่นเสียงในลำคอก่อนหันไปมองเทาเที่ยที่กำลังสู้กับกิเลนสง่างาม เขาจึงรู้ว่าจะต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น

เขาไม่รอช้าและพุ่งตรงออกไปจู่โจมหานโม่ฉือทันที

“ไม่รู้จักประมาณตนเอาซะเลย!”

หานโม่ฉือกล่าวขึ้นเบาๆโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย

“ในเมื่อเจ้าไม่เลือก ข้าจะแผดเผาจิตวิญญาณของเจ้าจนแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน!”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา อวิ๋นขวงก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันทรงพลังที่ปกคลุมทั่วร่าง เดิมทีเขาคิดจะโจมตีหานโม่ฉือ ทว่าจู่ๆร่างของเขาก็นิ่งและขยับเขยื้อนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ร่างของเขาก็ร่วงจากกลางอากาศและกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรงจนส่งเสียงดังขึ้นมา

จากนั้น หานโม่ฉือก็ยกยิ้มมุมปากและเดินตรงไปหาอวิ๋นขวงทีละก้าวๆ

.