ตอนที่ 18 ไม่ละอายใจบ้างเหรอ

หัวโจก

เคอเสี่ยวฝานวิ่งไปโรงอาหารด้วยใจที่เต้นรัว

ตอนเห็นโจวจิ้งถูกล้อม เขาคิดอยากเข้าไปช่วยแต่อีกฝ่ายคนเยอะกว่า ถึงเข้าไปก็โดนซ้อมอยู่ดี ยิ่งเป็นแก๊งต่างโรงเรียนก็ยิ่งไม่ไว้หน้ากัน จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน

ความรู้สึกของเคอเสี่ยวฝานที่มีต่อโจวจิ้งซับซ้อนมาก

บ้านของเขายากจน แถมเป็นคนขี้กลัว พอเข้ายวู่เต๋อก็ถูกโจวจิ้งกลั่นแกล้ง ผ่านไปครึ่งเทอมเธอก็มาบอกว่าจะรับเขาเป็นลูกน้อง ซึ่งเขาไม่กล้าปฏิเสธ แม้ความฝันที่แท้จริงคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดี จะได้มีอาชีพ มีรายได้ไปจุนเจือที่บ้าน แต่เพราะการเงินที่ฝืดเคือง จึงจำใจย้อมผมสีเขียวแล้วผันตัวมาเป็นหนึ่งในแก๊งของเธอ

ที่ผ่านมาโจวจิ้งดูแลเขาดีมาก ด้วยความที่บ้านรวย เธอจึงมักจะออกค่าขนมและแบ่งเบาภาระทางการเงินให้กับเคอเสี่ยวฝาน

เขาเกลียดตัวเองที่คอยเกาะอีกฝ่ายเพื่อให้อยู่รอด ไม่ต้องพูดถึงผลการเรียนที่นับวันก็ยิ่งแย่ลง ต่างจากตอนเรียนมัธยมต้นลิบลับ จนคุณยายเริ่มเอือมระอาและถอดใจเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของหลานชายคนนี้แล้ว

เมื่อคนเราไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เป็นอยู่ จึงมักจะโทษนั่นโทษนี่เพื่อจะได้ไม่รู้สึกผิด เหมือนกับที่เขาโยนความผิดให้โจวจิ้ง พยายามสั่งตัวเองให้เกลียดเธอทั้งที่ยังต้องพึ่งพาอาศัย โดยเฉพาะตอนที่เกือบถูกไล่ออก

ตอนโรงเรียนโทรมาบอกว่าตรวจสอบเรื่องที่เงินหายเรียบร้อยแล้วและเขาไม่ได้เป็นคนผิด เคอเสี่ยวฝานแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ระบบการทำงานของยวู่เต๋อเป็นอย่างไรเขารู้แก่ใจดี พอสอบถาม
รายละเอียดถึงจะรู้ว่าโจวจิ้งเป็นคนไปคุยกับเมี่ยเจวี๋ยเอง

เคอเสี่ยวฝานไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร เพราะโจวจิ้งเห็นเขาเป็นแค่สัตว์เลี้ยงมาตลอด การกระทำของเธอในครั้งนี้จึงเหนือความคาดหมายของเขา เมื่อไม่รู้เจตนาที่แท้จริงจึงทำตัวไม่ถูก รู้เพียงว่าได้พูดความในใจออกไปหมดแล้วและโจวจิ้งคงไม่ให้อภัยเขาอย่างแน่นอน

โจวจิ้งเกิดบนกองเงินกองทอง โดนสปอยแต่เด็ก ภายนอกดูน่าเกรงขาม แต่เอาเข้าจริงกลับสู้ใครไม่ได้ ยิ่งถูกแก๊งต่างโรงเรียนหาเรื่องแบบนี้ คงไม่รอดแน่

เคอเสี่ยวฝานพยายามไม่คิดมาก แต่ฝีเท้ากลับชะลอลง

โรงอาหารห่างเพียงเอื้อมมือ แค่เดินเข้าไปแล้วสั่งอาหารมานั่งกิน กินเสร็จก็กลับบ้าน ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ

แม้จะคิดเช่นนี้ แต่เขากลับกำหมัดแน่น

ขณะกำลังลังเล เสียงเรียกหนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง

“เคอเสี่ยวฝาน?”

พอหันไปมอง เขาก็พบกับหยวนคังฉีและเฮ่อซวินที่ยืนถือลูกบอล เหงื่อโซมกาย

“กลับมาเรียนแล้วเหรอ?” หยวนคังฉีถาม

เคอเสี่ยวฝานตอบตะกุกตะกัก “โจวจิ้งถูกคนหาเรื่องอยู่”

“อะไรนะ?” หยวนคังฉีและเฮ่อซวินพูดขึ้นพร้อมกัน

“อีกฝ่ายพวกเยอะกว่า ส่วนเธอไปคนเดียว” เคอเสี่ยวฝานเล่าเพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จะเรียกยามไปช่วยก็กลัวโจวจิ้งเสียหน้า จะให้ไม่สนใจก็กลัวเธอไม่รอด

“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?” เฮ่อซวินถามอย่างร้อนรน

“สวนหลังโรงเรียน”

หยวนคังฉีและเฮ่อซวินหันมองหน้ากันแล้ววิ่งไปที่สวนทันที

เคอเสี่ยวฝานโล่งอก เขาจำได้ว่าตอนโจวจิ้งไปหาเมี่ยเจวี๋ยก็พาสองคนนี้ไปด้วย แม้ไม่รู้ว่าทั้งสามมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยให้เธอตกอยู่ในอันตราย แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาดจริงๆ

ข้างสระว่ายน้ำในสวนหลังโรงเรียนมีเต็นท์ตั้งอยู่ กระเบื้องขอบสระเริ่มแตกเพราะสร้างหลายปีแล้ว โรงเรียนจึงแพลนว่าจะรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ สภาพตอนนี้จึงรกร้างว่างเปล่า ถ้าเดินผ่านตอนกลางคืนคงหลอนน่าดู

นอกจากเด็กใหม่ที่ไม่รู้ทางก็ไม่ค่อยมีใครผ่านทางนี้

ช่วงฤดูร้อนก่อนพลบค่ำ ต้นไม้ ดอกไม้ในสวนขึ้นรกรุงรัง ยุงและแมลงโบยบินกันอย่างอิสระ

เมื่อทั้งสองไปถึงก็ได้ยินเสียง ‘โครม!’ ที่คล้ายกับมีคนล้มกระแทกพื้น

พวกเขารู้สึกกังวลจึงรีบวิ่งตามเสียงไป เมื่อเดินผ่านกองหญ้ารกชัฏก็ได้พบกับที่โล่งกว้าง บนพื้นเต็มไปด้วยวัยรุ่นแต่งกายประหลาด กำลังนอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

ภาพตรงหน้าคือโจวจิ้งกับไม้กวาดด้ามหนึ่งบนบ่า ท่าทางไม่ต่างจากนักรบหญิงที่กำลังถือกระบี่ทรงอำนาจ

“เป็นผู้ชายแต่กลับทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่ละอายใจบ้างเหรอ?”

เฮ่อซวินและหยวนคังฉีได้แต่ยืนตะลึง

“คุยกันดีๆ ก็ได้” โจวจิ้งวางไม้กวาดลง “แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย” เธอต่อว่า “จากนี้ฉันจะเป็นหัวหน้าแก๊งและปกป้องพวกเธอเอง จะได้ไม่นอกลู่นอกทางอีก”

คำพูดของเธอทำหัวหน้าแก๊งอันธพาลหน้าซีด ตอนบุกมาเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีและความมั่นใจ แต่กลับถูกเด็กสาวตรงหน้าจัดการจนหมดสภาพ

เมื่อนึกถึงความน่ากลัวของโจวจิ้ง เขาก็ขนลุก “เอ่อ… เอิ่ม…”

ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ เธอเดินไปตบบ่าเขาแล้วตัดสินใจแทน “ตามนี้แล้วกัน ฉันต้องไปติวหนังสือแล้ว” พูดจบก็พาดไม้กวาดบนบ่าแล้วเดินจากไป

ตรงทางเลี้ยว โจวจิ้งเห็นเฮ่อซวินและหยวนคังฉียืนอึ้งอยู่จึงถามไปว่า “พวกนายมาทำอะไรแถวนี้?” พอนึกขึ้นได้จึงถามต่อ“เห็นหมดแล้วสินะ?”

หยวนคังฉีเลิกคิ้วถาม “รู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป?”

“ไม่มีอะไร แค่ผูกมิตรเฉยๆ” เธอตอบเสียงเรียบ

“เธอซัดพวกเขาจนลงไปนอนกองกับพื้นเหรอ? ไม่เคยรู้ว่าเก่งขนาดนี้” หยวนคังฉียังคงไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

โจวจิ้งตอบอย่างภาคภูมิใจ “ฉันเคยช่วยโจวเค่อ…” เธอชะงักหลังรู้ว่าไม่ควรพูด

“โจวเค่อคือใคร?” เฮ่อซวินถาม

“เอ่อ… เด็กขายไอติมหลังบ้านน่ะ” โจวจิ้งอ้าง

พ่อกับแม่ชอบสั่งให้เธอดูแลโจวเค่อ ด้วยความที่ต้องปกป้องน้อง เธอจึงเป็นคนแข็งแกร่ง ไม่กลัวอะไรง่ายๆ

ตอนโจวเค่อถูกจิ๊กโก๋ไถเงิน โจวจิ้งเอาไม้กวาดที่บ้านไล่ตีพวกนั้นทั่วซอยโดยไม่สนว่าเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย

เรื่องที่พี่สาวโจวเค่อเป็นหญิงแกร่งถูกลือไปทั้งอำเภอ ผ่านไปนานฝีมือก็ยังไม่ตก หรือเพราะเธอโชคดีที่เจอพวกอ่อนหัด ฟาดทีเดียวก็ล้มแล้ว

โจวจิ้งโยนไม้กวาดที่เก็บจากข้างสระลงพื้น “ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ไปซื้อโรตีกันเถอะ”

ทั้งสามออกจากสวนหลังโรงเรียน เดินไปได้สักพักโจวจิ้งก็คว้าแขนเฮ่อซวินไว้

“ฉันยังไม่ได้คืนเงินเลย” พูดจบก็ควักเงิน 1000 หยวน ส่งให้เขา “ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไร” เขาตอบเสียงเรียบ

หยวนคังฉีตัดบท “เธอชอบเฮ่อซวินจริงๆ เหรอ? แล้วหลินเกาล่ะ?”

“หลินเกาน่ะเหรอ มองยังไงก็ไม่เห็นความหล่อ หน้างี้ขาวเหมือนตุ๊ด สู้เฮ่อซวินก็ไม่ได้ หล่อสายเปย์”

ท่าทางและน้ำเสียงของโจวจิ้งไม่ต่างจากป้าแก่ๆ ที่กำลังชมหลานวัยรุ่นอยู่

พอเธอพูดจบ ความเงียบก็ครอบคลุม ตามด้วยเสียงหัวเราะแปลกๆ ของหยวนคังฉีและหน้าตาเลิ่กลั่กของเฮ่อซวิน

โจวจิ้งรู้สึกถึงความผิดปกติ พอเงยหน้ามองก็พบกับชายสามคนที่ยืนห่างไปไม่เกินสามก้าว

หนึ่งในนั้นคือหนุ่มร่างบาง ผิวขาว ตาเรียวคม หน้าตาสะอาดสะอ้าน ท่าทางเย็นชาไม่ต่างจากหยวนคังฉี แต่อ่อนโยนกว่าเฮ่อซวิน

โจวจิ้งรู้จักเขาดี เนื่องจากมีรูปประมาณ 342 รูป จากทั้งหมด 350 รูปในมือถือของเธอ แต่เพราะไม่ใช่สเปก เธอจึงลบทิ้งไปแล้ว

ใช่แล้ว เขาคือหลินเกาในตำนาน คนที่เธอตามจีบตั้งแต่เด็กยันโต

อยู่ใกล้ขนาดนี้ เขาคงได้ยินทุกคำพูดแล้ว ช่างบังเอิญจริงๆ…