ตอนที่ 277 เหลวไหลที่สุด
บรรยากาศกำลังดี นอกห้องมีเพียงเทียนเล่มเดียว แสงไฟรำไรส่องสว่าง ทุกสิ่งเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงร้องอู้อี้ในมุ้ง สุดท้ายก็มีประโยคหนึ่งระเบิดออกมา “เฝิงเยี่ยไป๋ เจ้าคนชั่ว!”
“ข้าเป็นคนชั่ว เช่นนั้นเจ้าเป็นอะไร” เฝิงเยี่ยไป๋ยื่นแขนกำยำออกจากมุ้งแล้วแขวนม่านมุ้งทั้งสองขึ้นเขี่ยไส้เทียนที่ใกล้จะดับลง เผยใบหน้าแดงปลั่งเปี่ยมสุข แสงเทียนส่องให้เห็นความอิ่มเอมของเขาหลังจากที่กินจนอิ่ม
เฉินยางเคยทรมานเช่นนี้เสียที่ใด นางขดตัวอยู่ในผ้าห่ม หัวก็ไม่โผล่ออกมา นางหมดแรงที่จะเถียงกับเขาจริงๆ ที่จี้หรู่ฉางพูดไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ เรื่องนี้จะทำให้นางตายเสียให้ได้ นางไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา ที่ผ่านมาเมื่อครู่เป็นอย่างไรนางก็ไม่รู้ เฝิงเยี่ยไป๋หมอบอยู่ข้างตัวนางบอกให้นางผ่อนคลาย บอกว่าเจ็บยาวไม่สู้เจ็บสั้น ยังบอกอีกว่าครั้งแรกไม่ชินครั้งสองก็จะชินเอง หลังจากนี้นางก็จะรู้ถึงความสุขในเรื่องนี้
ความสุข? เขาทำไปรอบหนึ่งลุกขึ้นมาแล้วสดชื่นไปทั้งตัว หลังจากความวุ่นวายนี้ผ่านไปก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เขาดีขึ้นแล้ว แต่นางเล่า เสมือนตายไปแล้วเสียรอบหนึ่งอย่างไรนั้น อย่าว่าแต่ไม่มีแรงจะเถียงเลย แม้แต่หอบหายใจก็ยังเจ็บ ถูกรังแกเช่นนี้นางไม่มีที่ระบาย ลูกผู้หญิงคิดไม่ออก นอกจากซ่อนอยู่ในผ้าห่มปิดหน้าร้องไห้แล้วยังจะทำอะไรได้อีก ตีเขาหรือ หากตอนนี้นางยังสามารถลุกขึ้นมานั่งได้ คงจะข่วนหน้าเขาให้เละไปแล้วแน่ๆ
“ออกมาสูดอากาศหน่อย ประเดี๋ยวจะหายใจไม่ออก” นางห่อตัวเองเหมือนดักแด้ เฝิงเยี่ยไป๋ยื่นมือไปดึงผ้าห่มที่อยู่บนตัวนาง ให้นางโผล่ศีรษะออก ดูใบหน้าแดงเรื่อนั่นสิ ชวนให้ยิ่งรักถนอมมากขึ้นจริงๆ “ยังหงุดหงิดอีกหรือ เจ็บหรือ โทษข้า โทษข้าที่ควบคุมไม่ดี ไม่เช่นนั้น… ข้าไปเรียกหมอหลวงมาดูให้เจ้าดีหรือไม่”
เฉินยางไม่มีที่ให้หลบ นางเบือนหน้าหนี หลับตาไม่มองเขา ทั้งอายทั้งโกรธ กัดจนฟันกรามปวดขึ้นมา วันนี้เขาเหลวไหลเป็นที่สุด ที่แท้ผู้ชายก็หน้าไม่อายเช่นนี้ นางกำหมัดแน่คิดด้วยความเจ็บแค้น นี่เป็นครั้งแรกและก็เป็นครั้งสุดท้าย นางจะไม่ยอมทรมานเช่นนี้อีก
เฝิงเยี่ยไป๋เปลือยกายครึ่งท่อนบน ครึ่งท่อนล่างคลุมทับด้วยมุมหนึ่งของผ้าห่ม ช่างเป็นร่างกายที่ดีเสียนี่กระไร ไม่มีก้อนเนื้อส่วนเกินเลย แข็งแรงกำยำ เกรงว่าผู้ชายเห็นแล้วยังอิจฉา เพียงแต่ตรงหน้านี้มีคนที่ไม่อยากเจอ ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกดี แถมยังรังเกียจอีก
เขายื่นมือไปประคองหน้านางบังคับให้หันมาสบตากับเขา “แค้นข้าขนาดนี้เลยหรือ ไม่แม้แต่คิดจะพูดกับข้าหน่อยเลยหรือ”
นางเพียงทำเสียงหึเบาๆ ในเมื่อไม่อาจเบือนหน้าหนีได้ ดวงตาก็เสมองไปทางอื่น ด้วยไม่อยากเห็นเขา
ทั้งสองคนเล่นแง่ใส่กันเงียบๆ เช่นนี้อยู่นาน สุดท้ายก็ยังคงเป็นเฝิงเยี่ยไป๋ที่ปล่อยมือก่อน แล้วหลุดหัวเราะออกมา “ได้ จะหงุดหงิดใส่ใช่หรือไม่ ข้าจะให้เจ้าหงุดหงิดให้พอ!”
น้ำเสียงนี้ฟังแล้วเหมือนจนใจ เฉินยางหึเบาๆ คิดว่าเขาจะรู้ตัวรีบไสหัวไป อยู่ที่นี่นางก็ไม่อยากเจอเขา ไฉนต้องหาเรื่องใส่ตัว เพราะการกระทำของเขา ตอนนี้นางจะพลิกตัวก็ยาก ทั้งกายปวดดั่งถูกถ่วงด้วยตะกั่วเหมือนไม่ใช่ร่างกายของนางเลยอย่างไรอย่างนั้น
“เว่ยเฉินยาง เจ้าดีทุกอย่าง มีเพียงแต่นิสัยดื้อรั้นเช่นนี้ที่ต้องเปลี่ยน” เขาพลิกตัวกดร่างนางไว้ หัวเราะเสียงน่ากลัว “ท่านพ่อของเจ้าสอนสิ่งต่างๆ มากมายกับเจ้า แต่ไม่ได้สอนเจ้าว่าเมื่อใดต้องยอมผู้ชายหรือไร”
ทันใดนั้นนางพลันระแวงขึ้นมาทันที จ้องมองเขาด้วยความหวาดกลัว “ท่านยังคิดจะเอาอย่างไรอีก”
จู่ๆ ใบหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋ก็ขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้านาง สุ้มเสียงแผ่วเบาราวกับไร้น้ำหนัก “เวลายังมีอีกมาก ข้าจะสอนเจ้า อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด”
——
ตอนที่ 278 ไม่เคยกินเนื้อหมูแล้วยังไม่เคยเห็นหมู
วันรุ่งขึ้นตื่นมา ก็เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เฝิงเยี่ยไป๋เพิ่งจะหลับตาลง ยังไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป ผู้ดูแลที่อยู่ข้างนอกก็มาปลุกเขาแล้ว ผู้ดูแลกลัวจะรบกวนเขา จึงไม่กล้าเสียงดัง กดเสียงต่ำพูดว่า “ท่านอ๋อง ถึงเวลาแล้วขอรับ”
เขาหันหน้าไปมองเฉินยางที่หลับลึกไปแล้ว ประโยคนั้นคืออะไรนะ ‘คืนแห่งความสุขช่างสั้นนัก จากนี้ไม่เข้าราชกิจ[1]’ เมื่อก่อนก็ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนี้ตอนนี้ถึงกับรู้สึกได้เป็นอย่างดี ช่างอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก
เมื่อคนข้างนอกไม่ได้ยินเสียงตอบ จึงกดเสียงต่ำแล้วเรียกอีกครั้ง “ท่านอ๋อง ถึงเวลาแล้ว”
เฝิงเยี่ยไป๋ดึงแขนออกจากใต้ศีรษะของนาง แล้วจูบที่หน้าผากของนาง ตอนลุกขึ้นนั่งนั้นพอเห็นรอยช้ำเขียวแดงบนตัวนางก็นึกเสียใจขึ้นมา เมื่อคืนเขานี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ นางพูดเพียงอย่างเดียวว่าเกลียดเขา นิสัยที่ดื้อดึงของนางนี้ หากนางคิดไม่ได้ไปตลอด ไม่ใช่ว่าต้องเกลียดเขาไปตลอดชีวิตเลยหรือ
เขาสวมชุดชั้นในเสร็จก็ปล่อยม่านลง แล้วเรียกคนเข้ามาปรนนิบัติ
ผู้ดูแลมองไปที่เตียง ก็พอจะเดาเรื่องเมื่อคืนได้แล้ว
การปรนนิบัติสวมชุดนั้นผู้ดูแลไม่อาจทำได้ จึงยืนอยู่ข้างๆ รอคำสั่ง
“ท่านอ๋อง บ่าวจัดคอเสื้อให้ท่านเจ้าค่ะ” สาวใช้เล็กไม่กล้ามองที่อื่น มือไปถึงที่ใด สายตาก็มองไปที่นั่น เกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาด พอมาถึงที่คอเสื้อ ก็ต้องขอให้เขาเงยศีรษะ พอมือไปถึงที่คอเสื้อ ที่ว่าไม่มองที่อื่น แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไปข้างบน ไม่มองยังไม่เท่าไหร่ พอได้มองแล้ว สวรรค์! บนคอมีรอยฟันกัดสองแถวลึกเป็นจ้ำสีเขียวเข้ม เห็นได้ชัดว่าเลือดแทบจะไหลออกมาแล้ว
สาวใช้ตกใจ รีบพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านบาดเจ็บแล้ว”
เมื่อคืนเฉินยางทั้งอายทั้งแค้น ขณะที่ทนไม่ไหวไม่มีที่ระบายนั้น เขาก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆ ให้นางได้โอกาส เฉินยางจึงกัดเขาไปคำหนึ่ง ตอนนั้นก็ไม่รู้สึกเจ็บ หากไม่มีใครพูดเขาก็ไม่รู้สึกตัว พอตอนนี้มีคนพูดขึ้นมา เขาก็เอามือไปคลำรอยฟันกัดที่ยังอยู่ ดูเหมือนว่าที่กัดไปนั้นนางออกสุดแรงเกิดเลยทีเดียว
สาวใช้คนนี้อายุเพียงสิบห้าสิบหก ยังไม่เคยผ่านเรื่องชายหญิง จะรู้เรื่องราวเบื้องหลังของรอยกัดนี้ได้อย่างไร นางยังคงตกใจอยู่ คิดว่าตัวเองเจอเรื่องใหญ่หลวง จึงหันไปพูดกับผู้ดูแลว่า “ท่านอ๋องบาดเจ็บแล้ว”
ผู้ดูแลถลึงตาใส่นาง สั่งให้นางถอยออกไป ช่างไร้แววตายิ่งนัก ไม่เคยกินเนื้อหมูยังจะไม่เคยเห็นหมูวิ่ง[2]อีกหรือ เรื่องระหว่างสามีภรรยา นางก็พูดออกมาโง่ๆ เช่นนี้ คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง!
เรื่องนี้ต่างคนต่างรู้อยู่ในใจ ต่อให้รู้ก็ต้องแกล้งไม่รู้ แต่ดันถูกนางพูดออกมาเสียได้ คราวนี้ก็จำต้องเข้าไปถามแล้ว “ท่านอ๋อง…รอยแผลของท่านนี้…”
“ไม่เป็นไร” เขาดึงคอเสื้อขึ้นเล็กน้อย แล้วเหลือบมองด้านในเตียง “อีกเดี๋ยวไปหาหมอหลวงมาดูให้พระชายา… ดูว่านางบาดเจ็บที่ใดหรือไม่”
“ขอรับ” ผู้ดูแลตอบรับ จู่ๆ ก็นึกถึงอิ๋งโจวขึ้นมา “ท่านหมออิ๋งโจวมีฝีมือแพทย์สูงส่ง ไม่เช่นนั้นให้ข้าน้อยไปเชิญเขามาดูให้พระชายาดีหรือไม่ขอรับ”
นี่ไม่ใช่โรคทั่วไปเสียหน่อย ให้อิ๋งโจวมาดู จะดูอย่างไรหรือ เขาถลึงตาใส่ผู้ดูแลด้วยความโมโห “หาผู้หญิงที่รู้วิชาแพทย์มาดูให้นาง ยังจะหาอิ๋งโจวอีก ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากเก็บศีรษะเอาไว้แล้วกระมัง”
ผู้ดูแลขอโทษไม่หยุด พอคิดไป ก็จริงตามนั้น เรื่องเช่นนี้ไม่สะดวกที่จะให้ผู้ชายมาดู เขาเองถึงกับคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้ สมองถูกสุนัขกินไปแล้วหรืออย่างไร
รถม้าที่อยู่ข้างนอกก็เตรียมเรียบร้อย หลังจากเฝิงเยี่ยไป๋ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ข้าวก็ยังไม่ทันกินก็รีบเข้าวัง ก่อนจะขึ้นรถจู่ๆ เขาก็หยุดเดิน ถามผู้ดูแลว่า “เจ้าชื่ออะไร”
ผู้ดูแลตะลึงเล็กน้อย “ข้าน้อยเฉาเต๋อหลุนขอรับ”
——
[1] คืนแห่งความสุขสั้นนัก จากนี้ไม่เข้าราชกิจ เป็นส่วนหนึ่งในบทกลอนของไป๋จวีอี้ ในท่อนนี้หมายถึง เจ็บแค้นใจที่ค่ำคืนแห่งความสุขแบบชายหญิงนั้นสั้นมาก พอหลับแล้วตื่นขึ้นมาพระอาทิตย์ก็ขึ้นสูงแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฮ่องเต้ก็จะไม่เข้าหารือราชกิจอีก
[2] ไม่เคยกินเนื้อหมูและก็ไม่เคยเห็นหมู เป็นสำนวนจีน เดิมคือไม่เคยเห็นหมูก็ต้องเคยเห็นหมูเดิน หมายถึงแม้จะไม่เคยประสบเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยตัวเองก็ต้องเคยได้ยินหรือรู้อยู่บ้าง