ตอนที่ 234 การบุกล่วงล้ำดินแดนของเผ่าเจ้าสมุทร โดย Ink Stone_Fantasy
สายตาหลิ่วหมิงตกอยู่บนแผ่นกระเบื้องสีดำแผ่นที่สิบสาม เขาแกะมันออกมาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็จ้องมองอย่างละเอียด
บนแผ่นกระเบื้องมีคำว่า ‘หลิ่ว’ สลักไว้จางๆ
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว และใช้สองมือหนีบมันไว้ จากนั้นก็ออกแรงเล็กน้อย
“ฟู่!”
แผ่นกระเบื้องกลายเป็นผุยผง มีสิ่งของสองสิ่งหล่นออกมาจากในนั้น มันคือแหวนสีดำกับผ้าสีขาวที่มีอักขระจำนวนมากจารึกอยู่
หลิ่วหมิงคว้าของทั้งสองสิ่งไว้ จากนั้นก็ลอยเข้าหน้าต่างบานหนึ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ จนเข้ามาถึงข้างในของหอชั้นสอง
เขาหยิบหยิบมุกวาวแววออกมาเม็ดหนึ่ง หลังจากกระตุ้นพลังเวทย์เล็กน้อย มันก็กลายเป็นแสงสีขาวลอยอยู่ตรงหน้า
หลิ่วหมิงนำของทั้งสองสิ่งมาตรวจดูอย่างละเอียด
แหวนวงนั้นดูไม่ค่อยเตะตามากนัก ราวกับว่าเป็นแหวนเหล็กธรรมดา แต่ด้านในแหวนกลับสลักดอกบัวบานไว้ดอกหนึ่ง แม้ว่าจะดูเล็กเป็นอย่างมาก แต่กลับงดงามละเอียดอ่อนราวกับมีชีวิต นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก
หลิ่วหมิงพลิกดูแหวนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นถึงเก็บมันเข้าไป และหยิบผ้าขาวขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าผ้าขาวนี้เคยผ่านการแช่น้ำยาพิเศษมาแล้ว ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ อักขระสีดำบนนั้นยังคงแจ่มชัดเช่นเดิม ไม่มีการเลอะเลือนแม้แต่น้อย
อักขระเล็กๆ ที่เรียงเป็นระเบียบบนผ้าขาวนี้ เป็นลายมือของบิดาเขาอย่างแน่นอน
ระยะเวลาผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ พอหลิ่วหมิงได้เห็นสิ่งที่คุ้นเคยก็ทำให้เขาใจลอยอย่างอดไม่ได้
เขาถอนหายใจเบาๆ และพยายามระงับความรู้สึกไว้ จากนั้นก็เขม้นมองสิ่งที่จารึกอยู่บนผ้าขาว
ผ่านไปไม่นาน เขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะคลี่สิ่งของในมือออก และเปลวไฟก็ลุกไหม้ขึ้นในมือ มันเผาไหม้ผ้าขาวจนกลายเป็นขี้เถ้า
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในอดีตท่านแม่คลอดข้าจนเสียชีวิตในหอแห่งนี้ ท่านพ่อก็เป็นคนสนิทของอ๋องสาม เพื่อรักษาชีวิตของพวกเราแม่ลูกไว้ ในปีนั้นถึงได้ขโมยแหวนที่เป็นของล้ำค่าของอ๋องสามวงนี้ แต่สุดท้ายก็ช่วยข้าไว้ได้แค่คนเดียว”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา ใบหน้าเขาถูกปกคลุมด้วยเงาสีดำ ทำให้มองไม่ออกว่าเขามีสีหน้าเป็นแบบใด
แต่เวลาต่อมา เขาก็อยู่ในหออย่างเงียบๆ ไม่จากไปไหน
จนถึงเวลาฟ้าสาง ถึงได้มีเงาร่างหนึ่งกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็หายวับไปจากกำแพงจวนอ๋องสามโดยไร้สุ้มเสียง
หลังจากผ่านไปไม่นาน ในมุมหนึ่งของหอเก่าแก่ในจวนอ๋องสาม ยันต์จำนวนมากที่ติดอยู่ตามผนังก็ค่อยๆ เปล่งประกายออกมา ทันใดนั้นมันก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน เปลวไฟอันคุโชนพวยพุ่งออกมาในทันที
พริบตานั้น หอทั้งหลังก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟอันโชติช่วง
จนเมื่อทหารลาดตระเวนบุกเข้ามาจวนอ๋องสาม หอเก่าแก่ทั้งหลังก็อันตรธานหายไปแล้ว แต่สิ่งก่อสร้างที่อยู่ข้างๆ กลับไม่เป็นอะไรเลย ราวกับว่าไม่มีสะเก็ดไฟกระเด็นเข้าไปเลยแม้แต่นิดเดียว
พอทหารที่บุกเข้ามาได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
……
เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงห้องลับภายในถ้ำก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนพรม เขาจ้องมองแหวนสีดำบนนิ้วด้วยความเคลิบเคลิ้ม และยังรับรู้ได้ถึงพลังฟ้าดินที่รวมตัวกันจางๆ ได้อย่างชัดเจน
คิดไม่ถึงว่าแหวนวงนี้จะสามารถรวบรวมพลังปราณเข้าด้วยกันได้ แม้ว่าพลังปราณเหล่านี้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยสำหรับผู้ฝึกฝน แต่สำหรับคนธรรมดาแล้ว ถ้าพกแหวนวงนี้ติดตัวไว้ตลอดล่ะก็ เกรงว่ามันคงจะมีผลในการยืดอายุขัยได้จริงๆ
มิน่าอ๋องสามในปีนั้นถึงได้มองแหวนวงนี้เป็นสมบัติล้ำค่า แม้กระทั่งบิดาของเขาเปลี่ยนชื่อแซ่หลบซ่อนอยู่หลายปี ก็ยังส่งคนไปตามล่า เพื่อหาเบาะแสแหวนวงนี้อยู่ไม่หยุด
แต่สิ่งที่อ๋องสามผู้นี้คิดไม่ถึงก็คือ ตั้งแต่มารดาของเขาคลอดลูกจนเสียชีวิต บิดาของเขาก็ไม่เคยนำของสิ่งนี้ออกไปจากจวนเลย แต่กลับซ่อนไว้ในหอที่เคยอยู่ในตอนนั้น
ที่ทำให้หลิ่วหมิงแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ อักขระในผ้าขาวนั้น บิดาของเขาไม่ได้กล่าวถึงญาติเลย ญาติทางฝั่งมารดายิ่งไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่อธิบายบอกสาเหตุที่มารดาเสียชีวิต กับสาเหตุที่เปลี่ยนชื่อแซ่แล้วหลบหนีไปจากจวนอ๋องสามเท่านั้น
และก็โชคดีที่อ๋องสามผู้นี้ตายในเงื้อมมือของผู้ฝึกฝนนอกรีตในพรรควิญญาณมืด มิเช่นนั้น แค้นที่ฆ่าบิดาคงไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้! ถ้าอ๋องสามผู้นี้มีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ล่ะก็ เขาคงต้องบุกเข้ามาเองแล้ว
พลันมีเสียงดังจากมือหลิ่วหมิง เปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นบนแหวนสีดำอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
แต่ครู่เดียว เปลวไฟทั้งหมดก็ถูกแหวนสีดำดูดเข้าไปจนหมดสิ้น และยังทำให้พลังฟ้าดินที่รวมกันบริเวณนั้นหนาแน่นมากยิ่งขึ้น
แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา
หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่ง และหยิบกระบี่สั้นสีเขียวออกมา จากนั้นก็ฟันลงบนตัวแหวน
“เต๊ง!” พริบตาที่กระบี่สั้นฟันลงบนตัวแหวน ก็ถูกพลังบางอย่างที่แข็งแกร่งกว่าดีดกระเด็นกลับมา และเด้งขึ้นไปบนที่สูง
หลิ่วหมิงนำแหวนสีดำมาดูตรงหน้า บริเวณที่กระบี่จันทราหยกฟันลงไปนั้น ไม่มีร่องรอยใดๆ หลงเหลือไว้เลย
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ หลังจากก้มมองดูแหวนสีดำในมือแล้ว ก็เผยสีหน้าซับซ้อนออกมา
“เหล็กทมิฬ! คิดไม่ถึงว่าวัสดุที่ตามหาอย่างยากลำบาก จะโผล่ออกมาในสถานการณ์เช่นนี้”
คิดไม่ถึงว่าแหวนวงนี้จะหลอมมาจากเหล็กทมิฬ
ที่เขาจำวัสดุนี้ได้ในทันที เป็นเพราะว่าก่อนหน้าที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยจะจากไปนั้น เขาได้ไปสอบถามถึงรูปร่างและลักษณะพิเศษต่างๆ ของเหล็กทมิฬจากเขา
สามารถรวบรวมปราณฟ้าดินได้เอง เป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษของเหล็กทมิฬที่เห็นได้อย่างชัดเจน
และการทดสอบอื่นๆ ในเมื่อครู่ ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าวัสดุที่ใช้ทำแหวนนี้ เป็นเหล็กทมิฬอย่างแน่นอน
แต่วัสดุชนิดนี้ล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง เกรงว่าผู้ที่หลอมแหวนวงนี้ในตอนนั้น คงไม่รู้สถานะที่แท้จริงของวัสดุชิ้นนี้ อย่างมากก็แค่เห็นว่ามันสามารถรวบรวมพลังได้ เลยสร้างมันขึ้นมา
ส่วนอ๋องสามที่ได้มันมาในตอนหลังก็คงคิดอย่างนี้เช่นกัน
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะได้เหล็กทมิฬที่อยากได้มาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่รู้สึกดีใจเลย
ระยะเวลาหลายวันหลังจากนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะนึกถึงทุกเศษเสี้ยวของการใช้ชีวิตกับบิดาในสมัยก่อนอยู่ตลอดเวลา
จนเมื่อผ่านไปเจ็ดแปดวัน หลิ่วหมิงได้ออกจากสภาพแบบนี้ได้
เขาฝืนเรียกสติตนเองกลับมา และเตรียมปรับสภาพจิตใจอีกสองสามวัน จากนั้นก็จะเริ่มใช้วัสดุชิ้นนี้หลอมเป็นตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณของตนเอง
แต่วันนี้ หลิ่วหมิงไปยังร้านขายโลงศพที่อยู่ในตรอกแห่งหนึ่งของเสวียนจิง เพื่อที่จะรายงานข่าวให้นิกาย แต่เขากลับได้รับข่าวร้ายจากนิกายติดต่อกัน
“อะไรนะ! เจียหลานเป็นคนเผ่าเจ้าสมุทร และยังขโมยหัวราชาปีศาจไปด้วย! นิกายวาตอัคคีก็โดนศิษย์แกนนำที่เผ่าเจ้าสมุทรส่งมาสอดแนม ขโมยตราอัสนีวายุที่เป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายไป เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ที่เป็นผู้นำของนิกายจันทราสวรรค์ก็ถูกพิษประหลาด หญิงรับใช้คนหนึ่งของนางได้หนีออกจากนิกายไปนั้นคืนนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าหนีไปทางไหนแล้ว เผ่าเจ้าสมุทรได้ทำสงครามกับแคว้นที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลแล้ว นิกายในแคว้นไห่เยวี่ยถูกข้าศึกยึดได้ภายในวันเดียว แคว้นไห่เยวี่ยได้ตกเป็นของเผ่าเจ้าสมุทรแล้ว นิกายทั้งห้าได้รวมตัวกันเดินทางไปยังชายแดนระหว่างแคว้นต้าเสวียนกับแคว้นไห่เยวี่ยในคืนนั้น ขณะเดียวกันนิกายทั้งหลายก็ออกคำสั่งให้ศิษย์ที่อยู่ข้างนอก และไม่มีภาระหน้าที่อะไรทั้งหมดกลับมารายงานตัวที่นิกายภายในเวลาสองเดือน” หลิ่วหมิงยืนอยู่หน้าค่ายกลส่งข่าว มองดูข่าวที่ตัวเองได้รับติดต่อกันแล้ว ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย
แต่ในข่าวที่ได้รับนี้ ไม่ได้สั่งให้หลิ่วหมิงกลับไปนิกายด้วย
ประจักษ์ชัดว่า สำหรับนิกายปีศาจในตอนนี้ ในเมื่อหลิ่วหมิงรับภาระกิจศิษย์ตรวจตราอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องรับคำสั่งนี้ แต่ข่าวในตอนท้ายกลับบอกให้เขาเพิ่มความสนใจกับการเคลื่อนไหวในเสวียนจิง เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าเจ้าสมุทรส่งคนแทรกซึมเข้ามาในเสวียนจิง
พอหลิ่วหมิงออกมาจากตรอก สีหน้าเขาก็ดูหม่นหมองเป็นอย่างมาก
จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เชื่อจริงๆ ว่าเจียหลานจะเป็นคนของเผ่าเสมุทร แต่ในเมื่อผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายส่งข่าวนี้ให้กับศิษย์ในแต่ละแห่ง มันจะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
เขาจ้องมองผู้คนที่เดินไปมาบนท้องถนน และผู้ฝึกฝนอิสระไม่กี่คนที่เดินผ่าน ทุกอย่างล้วนดูสงบไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ประจักษ์ชัดว่าข่าวการบุกล่วงล้ำแผ่นดินอวิ๋นชวนของเผ่าเจ้าสมุทร ยังมาไม่ถึงที่นี่ มิเช่นนั้นเสวียนจิงคงไม่สงบเช่นนี้
แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่อาจปิดบังได้นาน ไม่แน่พอถึงเวลานั้น เสวียนจิงอาจจะสั่นสะเทือนอีกครั้งก็ได้ และก่อนจะถึงเวลานั้นเขาจะต้องจัดการกับสิ่งของบางอย่างที่มีอยู่ก่อน มิเช่นนั้นหากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมา เกรงว่าสิ่งของต่างๆ คงขายไม่ได้มูลค่าเดิมของมัน
ในทางตรงกันข้าม สิ่งของอีกจำนวนหนึ่งก็อาจจะราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ จากนั้นก็เรียกรถม้ามาคันหนึ่งอย่างไม่ลังเล และห้อเหยียดไปยังตลาดใต้ดินในทันที
หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงที่ปลอมเป็นชายฉกรรจ์ชุดดำเดินออกมาจากร้านค้าที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง อาวุธจิตวิญญาณ วัสดุ และโอสถต่างๆ ที่เขาไม่ได้ใช้ก็ถูกขายไปจนหมดสิ้น ขณะเดียวกันบนตัวเขาก็มีหินจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาแสนกว่า
บวกกับกับหินจิตวิญญาณเจ็ดแปดหมื่นที่เขาได้จากผู้นำพรรควิญญาณมืดทั้งสองแล้ว ทำให้เขามีสมบัติราวๆ สองแสนหินจิตวิญญาณ
แน่นอน นี่เป็นเพราะว่าเขายังไม่เคยประมูลขายสมบัติอื่นๆ ของเขาเลย
แต่หลังจากนั้น ภายในอึดใจเดียวหลิ่วหมิงก็วิ่งเข้าไปยังร้านขายยันต์ ร้านขายวัตถุดิบต่างๆ อีกสองสามร้าน เขาซื้อยันต์เก็บของแบบง่ายที่ศิษย์จิตวิญญาณสามารถใช้ได้มาจำนวนหนึ่ง กับวัตถุดิบปรุงโอสถที่มีมูลค่าหลายหมื่นหินจิตวิญญาณ จากนั้นเขาถึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
แต่ตอนที่เขาเตรียมจะไปจากตลาดนั้น พลันเหลือบไปเห็นร้านหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงอยู่ร้านหนึ่ง เหนือประตูมีป้ายสีเงินที่เขียนคำว่า ‘หอหมื่นหลอม’ ติดอยู่ เขาค่อยๆ ใจเต้นขึ้นมาทันที และเดินตรงเข้าไป
หอหมื่นหลอมนี้มีชื่อเสียงในเสวียนจิงเป็นอย่างมาก มีอิทธิพลเหนือกว่าเรือนร้อยวิญญาณกับหอรวมสมบัติมาก ว่ากันว่าไม่เพียงแต่จะมีร้านในแคว้นต้าเสวียนเท่านั้น แต่ยังมีร้านในแคว้นบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย และมีอิทธิพลครอบคลุมหลายแคว้น
“สหายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านจะซื้อวัสดุ หรือขายวัสดุ?” พอเขาก้าวเข้าไปข้างใน ชายวัยกลางคนที่มีหนวดงอโง้งก็ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
……………………………………….