ตอนที่ 187 รักลึกซึ้ง / ตอนที่ 188 ไร้ร่องรอย

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 187 รักลึกซึ้ง 

 

 

 

 

 

เวลาค่อยๆ ผ่านไปจนกระทั่งถึงตอนเที่ยง แต่สภาพอากาศยังคงมืดครึ้มเหมือนเดิม ก้อนเมฆสีดำจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนราวฝนจะกระหน่ำตกลงมาในไม่ช้า เฉียวซือมู่ยืนอยู่ข้างเตียงนอนใหญ่เงียบๆ เธอทอดสายตามองเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ไม่แตกต่างจากพยับเมฆข้างนอกเลยสักนิด 

 

 

จิ้นหยวนค่อยๆ เดินเข้ามาทางด้านหลัง เขายื่นแขนโอบกอดเธอเอาไว้จากด้านหลัง จากนั้นก้มศีรษะลงเอ่ยเสียงเบาอย่างรักใคร่ข้างหูเธอ “ที่รัก อย่าโกรธผมเลยนะ ครั้งนี้ผมผิดเองที่ไม่บอกคุณก่อน” 

 

 

น้ำตาเธอเอ่อคลอพลางบ่นอย่างงอนๆ “คุณรู้ด้วยเหรอว่าผิด? ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน? คุณบอกว่ายุ่งมากจนไม่มีเวลาโทรหาฉัน โอเค ฉันเข้าใจ แต่คุณยุ่งทั้งคืนจนไม่มีเวลาปลีกตัวโทรหาฉันแม้แต่นาทีเดียวเลยเหรอ?”  

 

 

จิ้นหยวนชะงักกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ “ผมปลีกตัวออกมาไม่ได้จริงๆ คุณพ่อกำลังป่วยหนัก โทรศัพท์มือถือของผมก็ตกแตก ผมวิตกกังวลจนไม่มีกะจิตกะใจคิดอะไรมากขนาดนั้น จริงนะ” 

 

 

คนนิสัยอย่างเขายอมอธิบายเสียงอ่อนแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเกิดพี่น้องของเขามาเห็นเข้าจะต้องตกใจสุดขีดจนตาถลนออกจากเบ้าตาเป็นแน่ แต่ตอนนี้หญิงสาวตรงหน้ากลับไม่แยแสเขาสักนิด แล้วยังขยับกายไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อีก “ฉันกำลังโกรธอยู่ คุณอยู่ให้ห่างๆ ฉันหน่อย” 

 

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอไม่กล้าพูดแบบนี้กับเขาแน่ แต่ตอนนี้เธอกลับพูดมันออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ นั่นย่อมแสดงว่าความรักระหว่างเธอและเขาลึกซึ้งมาก จิ้นหยวนหัวเราะเบาๆ ถึงเธอจะงอนตุ๊บป่อง แต่เขาฟังออกว่าในน้ำเสียงของเธอนั้นมีความห่วงใยซ่อนอยู่ 

 

 

เธอได้ยินเสียงหัวเราะของเขาแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก “คุณหัวเราะอะไรคะ?” 

 

 

สองแขนของเขาโอบกอดเธอแนบแน่น เขาซบศีรษะลงบนบ่าของเธออย่างสบายอารมณ์ “หัวเราะดีใจที่มีแฟนน่ารักมากไง คุณเป็นแก้วตาดวงใจของผมเลยนะ” 

 

 

คำพูดหวานหยดทำให้เธอรู้สึกหัวใจหวานฉ่ำจนความโกรธลดลงไปไม่น้อย “ทำไมคุณถึงหน้าไม่อายแบบนี้? ฉันยังไม่ได้ยกโทษให้คุณเลยนะ” 

 

 

“โอเค ผมรู้แล้วว่าคุณยังโกรธอยู่ ถ้าอย่างนั้นผมขอโทษ โอเคไหม?” เพราะเหตุบางอย่างทำให้วันนี้เขาอ่อนโยนเป็นพิเศษและว่าง่ายเป็นพิเศษจนเธอหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง “แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” 

 

 

เธอหมุนตัวกลับไปสบตาเขา แต่เธอกลับพบว่าดวงตาของเขาแดงก่ำ เธอเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “นี่คุณไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอคะ?” 

 

 

เขาพยักหน้าน้อยๆ ตอนแรกเขาทะเลาะกับคุณพ่อ จากนั้นจัดการเรื่องของหร่วนเซียงเซียง ขณะที่เขากำลังจะเตรียมตัวพักผ่อนอาการของคุณพ่อก็กำเริบขึ้น เรื่องราวต่างๆ ทยอยเกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่ขาดสายจนทำให้เขาไม่มีเวลาพักผ่อนเลย 

 

 

เธอรู้สึกสงสารเขาจับใจ “ถ้าอย่างนั้นคุณรีบไปพักผ่อนเถอะค่ะ ไปเร็ว” 

 

 

เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างแล้วจับมือเธอเอาไว้ “สงสารผมเหรอ?” 

 

 

ใบหน้าเธอแดงระเรื่อ แต่ยังคงปากแข็งเหมือนเดิม “ไม่ได้สงสารสักหน่อย ฉันกลัวคุณล้มป่วยแล้วฉันต้องเป็นคนดูแลคุณต่างหากเล่า ยุ่งยากจะตาย” 

 

 

เธอเอ่ยพลางผลักเขาเข้าไปในห้องน้ำ “รีบเข้าไปอาบน้ำแล้วนอนซะ เดี๋ยวฉันจะออกไปกำชับกับพ่อบ้านเฉินว่าไม่ให้คนอื่นเข้ามารบกวนคุณ” 

 

 

เขาอมยิ้ม “เมียจ๋ายิ่งอยู่ก็ยิ่งเหมือนแม่เสือเข้าไปทุกวันแล้วนะ” 

 

 

“คุณนะสิที่เป็นเสือ” เธอทำหน้าดุแล้วผลักเขาเข้าไปในห้องน้ำ “รีบไปอาบน้ำเร็วเข้า” 

 

 

เธอกำลังคิดว่าควรจะเตรียมอาหารเอาไว้ให้เขาดีหรือไม่ ดูท่าทางแล้วเขาน่าจะยังไม่ได้ทานอาหารเช้า แต่ไม่คิดเลยว่าผู้ชายหน้าไม่อายที่เธอกำลังคิดถึงจะใช้แรงดึงตัวเธอเข้าไปในห้องน้ำก่อนที่ประตูจะปิดลงพอดี 

 

 

“นี่คุณจะทำอะไร?” เธอเซเล็กน้อยแล้วรีบใช้มือจับบ่าของเขาเอาไว้แน่น ในใจชักหวั่นๆ “ฉันจะลงไปสั่งให้เด็กเตรียมอาหารให้คุณ คุณปล่อยฉันออกไปเถอะนะ…” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 188 ไร้ร่องรอย  

 

 

 

 

 

จิ้นหยวนยกยิ้มมุมปาก เห็นหญิงสาวน่ารักสดใสตรงหน้าแล้วเขาได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจเงียบๆ ทันใดนั้น เขาฝังจุมพิตลงบนมุมปากเธอเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ผมรักคุณ” 

 

 

คำสารภาพที่มาอย่างกะทันหันทำให้เธอตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เธอสงสัยว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า “คุณพูดว่าอะไรนะคะ?” 

 

 

เขาอมยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยเบาๆ ข้างหูเธออีกครั้ง เธอน้ำตาเอ่อคลอ สองแขนโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้แน่นเพื่อรับสัมผัสจากอกแกร่งของเขา เธอพึมพำเบาๆ “ฉันก็คิดว่า… คิดว่า…” 

 

 

“คิดว่าอะไร?” เขาเชยคางมนของเธอขึ้น 

 

 

“คิดว่าคุณเห็นฉันเป็นแค่… เป็นแค่…” เธอพูดต่อไม่ไหวแล้ว เธอยิ้มทั้งน้ำตา พรมจูบลงตรงมุมปากเขาเบาๆ “ฉัน… ฉันก็รักคุณค่ะ” 

 

 

เสี้ยววินาทีนั้นเธอสาบานได้ว่าเธอเห็นความเย็นยะเยือกที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขาละลายไปจนสิ้น เขาเผยยิ้มทรงเสน่ห์ “ผมรู้” 

 

 

เธอเอ่ยตอบเบาๆ ว่า “อืม” แล้วเบียดกายแนบชิดอกแกร่งของเขา เธอรู้สึกว่าตอนนี้เธอมีความสุขมากจนแทบจะขาดใจตาย 

 

 

ขณะที่เธอกำลังลุ่มหลงอยู่ในห้วงเวลาแห่งความสุข จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ “มู่มู่ จำเอาไว้นะว่าผมรักคุณ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คุณต้องเชื่อใจผมนะ” 

 

 

“อะไรนะคะ?” เวลานี้ในใจเธอเต็มไปด้วยฟองอากาศรูปหัวใจสีชมพู เธอไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าเขาพูดอะไรบ้าง ได้แต่ตอบกลับอย่างเบลอๆ “อืม ค่ะ” 

 

 

เอ่ยจบก็หาวหวอดด้วยความง่วงงุน เขาเห็นว่าเธอง่วงมากจึงตบหลังเธอเบาๆ เพียงไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของเขา 

 

 

ส่วนจิ้นหยวนที่ควรจะนอนหลับเพราะความเหนื่อยล้ากลับหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขาทอดสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่างพักใหญ่ จมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเองเนิ่นนานกว่าจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงแล้วผล็อยหลับไป 

 

 

เฉียวซือมู่ตื่นก่อน เธอลืมตาขึ้นเห็นเขากำลังนอนหลับสนิท เธอสงสารที่เขาไม่ได้นอนทั้งคืนจึงลุกขึ้นนั่งอย่างเงียบเชียบ เธอดึงห่มผ้าขึ้นมาห่มให้เขาแล้วค่อยๆ ลุกออกจากเตียง 

 

 

เธอดูเวลาเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คออกมาเปิดอ่านข่าว จากนั้นติดต่อกับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานาน เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

จิ้นหยวนตื่นขึ้นมาเห็นภาพสวยงามจับตา หญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจกำลังนั่งอยู่ข้างกายเขาบนเตียงหลังใหญ่โดยมีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ควางอยู่บนตัก ใบหน้างดงามกำลังจดจ่ออยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอหลุบเปลือกตาลงต่ำ แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องกระทบขนตายาวหนาเป็นแพจนทอดเงาลงบนผิวหน้าขาวนวลเนียนดูน่าเย้ายวนใจยิ่งนัก  

 

 

ดวงตาของเขาอ่อนแสงลง ลมหายใจหนักขึ้น เขาค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วโถมกายโอบกอดเธอเอาไว้ 

 

 

เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ หลังจากตั้งสติได้จึงทุบกำปั้นเล็กๆ ลงบนอกของเขาแล้วเอ่ยอย่างแสนงอน “คุณทำฉันตกใจเกือบตายแน่ะ” 

 

 

“จริงเหรอ? ไหนขอผมดูซิว่าคุณหลอกผมหรือเปล่า” เอ่ยจบปุ๊บมือปลาหมึกของเขาก็แผลงฤทธิ์ปั๊บ เธอปัดมือเขาออก “หลีกไป ตื่นมาก็ซนใหญ่เลยนะ” 

 

 

“คุณไม่ชอบที่ผมซนเหรอ?” เขายิ้มแป้น 

 

 

เธอทำแก้มป่อง “ไม่ชอบ ฉันไม่ชอบที่คุณลวนลามฉัน”  

 

 

“จริงเหรอ?” 

 

 

“นี่คุณ…” 

 

 

เธอถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห แต่ท่าทางดุๆ ของเธอกลับถูกใบหน้าแดงซ่านของตัวเองทรยศเข้าให้อย่างจัง 

 

 

จิ้นหยวนเห็นแล้วหัวใจร้อนรุ่ม เขายังอยากจะหยอกเย้าเธออีกนิด เผื่อจะได้รับสวัสดิการพิเศษจากเธอบ้าง ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมดันดังขึ้นจนทำเสียบรรยากาศหมด 

 

 

เขาถอนหายใจหนักๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสาย 

 

 

เธอรีบฉวยโอกาสหนีออกจากห้องทันทีโดยให้เหตุผลว่าจะออกไปเตรียมอาหารให้เขา เธอหันกลับไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทแล้วตบหน้าอกตัวเองเบาๆ อย่างโล่งอก โชคดีเหลือเกิน อีกนิดเดียวเธอก็เกือบจะหลงเสน่ห์ของเขาและตกเป็นทาสเสน่หาของเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นอีกแล้ว 

 

 

ถึงหูของจิ้นหยวนจะคอยฟังเสียงรายงานของลูกน้องในโทรศัพท์ แต่สายตาของเขากลับมองตามแผ่นหลังน่ารักของเธอไม่วางตาจนเกือบฟังไม่รู้เรื่องว่าลูกน้องตัวเองรายงานอะไรไปบ้าง จนกระทั่งลูกน้องที่อยู่อีกฟากสายรู้สึกผิดปกติจึงเอ่ยทักขึ้นอย่างระมัดระวัง “พี่ใหญ่? พี่ใหญ่ครับ” เขาเพิ่งจะดึงสติกลับมาได้ จึงเอ่ยเสียงขรึม “นายพูดต่อไป ฉันกำลังฟังอยู่” 

 

 

ลูกน้องคนนั้นโล่งอกแล้วเอ่ยรายงานต่อ “เราไล่สืบตามเบาะแสที่มีอยู่ในมือจนเจอที่มาของข่าวนี้แล้วครับ สาวเสิร์ฟคนหนึ่งในร้านอาหารฝรั่งเศสร้านนั้นเป็นคนโพสต์รูปจริง เธอบอกว่าแค่อยากจะอวดรูปเท่านั้น ตอนแรกเธอแค่โพสต์รูปลงในเวยป๋อ แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกคนอื่นแชร์รูปมากขนาดนั้น ส่วนเรื่องที่อยู่ดีๆ นายท่านก็ประกาศงานหมั้นกลางงานแถลงข่าว สาเหตุน่าจะมาจากโทรศัพท์สายหนึ่งที่นายท่านได้รับก่อนหน้านั้นครับ” 

 

 

“โทรศัพท์อย่างนั้นเหรอ?” เขาจับประเด็นสำคัญได้ทันทีแล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม 

 

 

ลูกน้องของเขานิ่งไปชั่วครู่จึงเอ่ยตอบ “ใช่ครับ โทรศัพท์สายนั้นน่าสงสัยมาก เราไล่สืบตามเบาะแสไปเรื่อยๆ จนเบาะแสขาดหาย ตอนนี้ก็เลยไม่รู้ว่าตัวตนของผู้ต้องสงสัยเป็นใคร” 

 

 

“หมดทางสืบต่อแล้วเหรอ?” แววตาของจิ้นหยวนจริงจัง เขารู้ดีว่าลูกน้องของตัวเองนั้นเป็นแฮกเกอร์ฝีมือฉกาจ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามฝีมือยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้บ้าง แต่ตอนนี้กลับลบร่องรอยจนสะอาดหมดจด แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี 

 

 

ลูกน้องของเขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อยเพราะเขาสืบไม่ได้ว่าตัวตนของฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร เขารู้เพียงแค่ว่าต้องเก่งกาจมาก อย่างน้อยก็ต้องเก่งกว่าเขา 

 

 

จิ้นหยวนสอบถามอีกเล็กน้อย เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีเบาะแสมากกว่านี้แล้วจึงวางสายลง 

 

 

เขาโทรศัพท์เข้าไปที่โรงพยาบาลและได้รับแจ้งว่าอาการของจิ้นเฮ่าคงที่ แต่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นจึงวางสายลง จากนั้นเฉียวซือมู่เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี 

 

 

เขารีบซ่อนความรู้สึกของตัวเองให้มิดชิดทันทีแล้วส่งยิ้มหวานให้เธอ 

 

 

วันเวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ ในที่สุดฉินเพ่ยหรงก็โทรศัพท์หาเขาเมื่อล่วงเข้าวันที่สาม เธอบอกกับจิ้นหยวนว่าจิ้นเฮ่าฟื้นแล้ว เขาใคร่ครวญชั่วครู่แล้วบอกให้เฉียวซือมู่รออยู่ที่บ้าน ส่วนตัวเองรีบเดินทางไปโรงพยาบาลทันที 

 

 

และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกจุกจนพูดไม่ออกคือคำถามแรกที่จิ้นเฮ่าเอ่ยถามเขาหลังจากฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบไสล “เซียงเซียงล่ะ?” 

 

 

จิ้นหยวนหน้าขรึมลง หลายวันมานี้เขาไม่เคยเก็บเรื่องของหร่วนเซียงเซียงมาใส่ใจเลย แล้วเขาจะปล่อยให้เธอมาที่โรงพยาบาลได้อย่างไร? 

 

 

สีหน้าของจิ้นเฮ่าแย่มาก “ฉันรู้อยู่แล้วว่าแกต้องหลอกฉัน” 

 

 

จิ้นหยวนนึกถึงคำสั่งของคุณหมอ เขากล้ำกลืนฝืนทนเอ่ยตอบ “ผมไม่ได้โกหก เดี๋ยวผมโทรตามให้เธอมาเยี่ยมคุณพ่อเอง” 

 

 

จิ้นเฮ่าได้ยินแล้วไม่พูดอะไรอีก 

 

 

ฉินเพ่ยหรงชำเลืองมองจิ้นหยวนแวบหนึ่งด้วยความเป็นห่วง เธอรู้อยู่เต็มอกว่าลูกชายไม่ชอบหน้าหร่วนเซียงเซียงมาก เธอรู้สึกสงสารจิ้นหยวนจับใจที่ถูกจิ้นเฮ่าบังคับจิตใจแบบนี้ 

 

 

จิ้นหยวนเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของฉินเพ่ยหรงแล้วส่ายศีรษะน้อยๆ เป็นการแสดงว่าเขาไม่เป็นไร 

 

 

ฉินเพ่ยหรงถอนหายใจ เธอไม่อยากทนเห็นจิ้นหยวนต้องฝืนใจจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวแม่โทรให้เอง”