บทที่ 1339 กระแสโลหิต

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

“ครืน…ครืน…”

เสียงคลื่นซัดสาด กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่ว

ผู้อมตะสองคนจากตระกูลวู วูหยวนจือ และเหรินฮ่าวกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าและมองทะเลเลือดเบื้องล่างด้วยการแสดงออกที่ขมขื่น

“กระแสเลือดไหลนองท่วมภูเขามากกว่าสิบลูก หากเราไม่สามารถหยุดมัน ภัยพิบัตินี้จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง” วูหยวนจือกล่าวอย่างเคร่งขรึม

เดิมทีบ่อเลือดอยู่ภายใต้การดูแลของวูอี้เหริน ตอนนี้วูอี้เหรินตายไปแล้ว บ่อเลือดถูกรื้อค้น ค่ายกลวิญญาณถูกทำลายเป็นเหตุให้กระแสเลือดไหลทะลักท่วมพื้นที่รอบๆ

เหรินห่าวกังวล “มันไม่ง่ายสำหรับเราสองคนที่จะสร้างค่ายกลวิญญาณใหม่และผนึกกระแสเลือดเหล่านี้ หากเรามีผู้อมตะระดับหกอีกคน เราอาจจะพอทำได้”

คนทั้งสองเป็นผู้อมตะระดับหก ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ โดยเฉพาะเมื่อวูหยงให้เวลาที่ค่อนข้างจำกัดกับพวกเขา

วูหยงไม่สามารถส่งคนอื่นมาจัดการปัญหานี้

ในยุคของวูตู๋ซิ่ว ตระกูลวูขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสิ่งกีดขวางเพราะวูตู๋ซิ่วสามารถจัดการทุกสิ่งเพียงลำพัง

เมื่อวูตู๋ซิ่วเสียชีวิต วูหยงอาจจะยอดเยี่ยม แต่เขายังไม่สามารถทำทุกสิ่ง

เนื่องจากแผนการของราชันภูเขาม่วง กองกำลังต่างๆไม่สามารถควบคุมแรงปรารถนาของตน นั่นทำให้ตระกูลวูเผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมาย

วูหยงอยู่ในสำนักงานใหญ่เพื่อรักกษาสถานการณ์และตัดสินใจเรื่องต่างๆ

แต่หลังจากวูอี้เหรินเสียชีวิต ตระกูลวูเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นทันที

การส่งวูหยวนจือและเหรินฮ่าวออกมาคือขีดจำกัดของตระกูลวู

“ทุ่มสุดตัว เราต้องพยายามอย่างเต็มที่!” วูหยวนจือถอนหายใจและเริ่มดำเนินการ

เหรินฮ่าวให้ความร่วมมืออย่างกระตือรือร้น

เขาไม่มีสายเลือดของตระกูลวู เขาป็นผู้อาวุโสสูงสุดนอกที่ได้รับการคัดเลือกมาโดยตระกูลวู

กองกำลังของภาคใต้ไม่ต้อนรับคนนอกมากนัก ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับตระกูลวูที่จะทำลายประเพณีและรับผู้อมตะจากภายนอก

ด้วยวิธีการของผู้อมตะทั้งสอง กระแสเลือดค่อยๆไหลกลับหลังเข้าสู่บ่อเลือด

สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม

มันเริ่มได้ดี

วูหยวนจือถอนหายใจ “หลังจากหยุดการไหลของกระแสเลือดและจัดตั้งค่ายกลวิญญาณ เหรินฮ่าว เจ้าต้องรับหน้าที่ปกป้องสถานที่แห่งนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะทำงานได้ดี ตอนนี้สถานการณ์ของตระกูลค่อนข้างตึงเครียด”

เหรินฮ่าวพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ข้าได้ยินมาว่าบ่อเลือดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันถูกสร้างขึ้นโดยบรรพชนบ่อเลือดงั้นหรือ?”

วูหยวนจือพยักหน้า “บรรพชนบ่อเลือดทิ้งมรดกที่แท้จริงไว้เจ็ดมรดก นี่เป็นหนึ่งในเจ็ดมรดกที่แท้จริงที่เขาจัดเตรียมไว้อย่างพิถีพิถัน ก่อนหน้านี้มันไม่สะดุดตา แต่เมื่อผู้ใช้วิญญาณจากตระกูลเฉิงเข้ามา เขาได้รับมรดกที่แท้จริงและวิญญาณรอยเท้าเลือด คนผู้นี้คือผู้นำตระกูลเฉิงคนก่อน เฉินเยี่ยนเฟย เขาตายบนภูเขาอี้เทียน”

หลังจากเฉินเยี่ยนเฟยนำมรดกที่แท้จริงออกไป บ่อเลือดก็ปรากฏขึ้น

วูตู๋ซิ่วส่งผู้อมตะมาที่นี่และทำให้มันเป็นอาณาเขตของตระกูลวู

ด้วยการจัดการของตระกูลวู บ่อเลือดจึงกลายเป็นแหล่งผลิตทรัพยากรบนเส้นทางแห่งเลือดที่สำคัญของตระกูลวู ตระกุลวูลอบพัฒนาวิธีการบนเส้นทางแห่งเลือดอย่างลับๆ ดังนั้นแหล่งทรัพยากรนี้จึงเป็นตัวช่วยชั้นยอด

“เจ้าสองคนจะมีความสุขอย่างแน่นอน” เป็นเพียงเวลานี้ที่เหรินฮ่าวได้ยินเสียงดังขึ้นในใจของเขา

“ผู้ใด?” เหรินฮ่าวตกใจมาก

เขาต้องการกระตุ้นใช้วิธีการของตนเองเพื่อป้องกันตัว แต่เขาไม่สามารถขยับเขยื้อน

เขารีบมองไปที่วูหยวนจือเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ในไม่ช้าเขาก็พบกับความสิ้นหวังเมื่อวูหยวนจือถูกตรึงเอาไว้ในสภาพเดียวกันกับเขา

ร่างเล็กๆปรากฏขึ้นบนไหล่ของเหรินฮ่าว

เขามีขนาดเท่านิ้วโป้งมนุษย์และมีปีกคล้ายแมลงปออยู่บนแผ่นหลัง

ราชันภูเขาม่วง!

“ผู้อมตะเผ่ามนุษย์จิ๋ว?” วูหยวนจือตกใจแต่เขาสามารถสงบอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วเพราะราชันภูเขาม่วงไม่ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดออกมา

เหรินฮ่าวกล่าวเสริม “ในฐานะมนุษย์กลายพันธุ์ เจ้าต้องรู้ว่ามนุษย์เป็นผู้ปกครองโลก ไม่ว่าผู้ใดจะบงการเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่กระทำการหุนหันพลันแล่น เพราะเราไม่ได้เป็นเพียงผู้อมตะเผ่ามนุษย์ แต่เราเป็นสมาชิกตระกูลวู ตระกูลวูเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะในภาคใต้ หากเจ้าฆ่าพวกเรา ผลที่ตามมาจะรุนแรงมาก”

“เราไม่มีความแค้นต่อกัน ตระกูลวูไม่รังแกผู้ใด หากเจ้าร้องขอสิ่งใด เราสามารถช่วยเจ้าได้ เราสามารถเป็นสหายที่ดี” วูหยวนจือกล่าวต่อ

พวกเขาทั้งขู่และกระตุ้นในเวลาเดียวกัน

แต่ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ เสียงของเขาก็เริ่มตะกุกตะกักขณะที่สายตาเปลี่ยนไป

เหรินฮ่าวตกตะลึง “ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา?”

เมื่อมาถึงจุดนี้พวกเขาก็แทบไม่สามารถคิด

วิธีการบนเส้นทางแห่งปัญญาของราชันภูเขาม่วงรบกวนความคิดของคนทั้งสอง พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะคิดหรือกล่าวสิ่งใด

แน่นอนว่าคนทั้งสองไม่สามารถต่อต้าน

ราชันภูเขาม่วงสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย ขามองกระแสเลือดด้านล่างและเผยรอยยิ้ม

เป็นเพียงเวลานี้ที่กลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดปะทุออกมา

กระแสสงบลงทันที

ราชันภูเขาม่วงเปิดปากและพ่นลมหายใจออกไป

ลมหายใจของเขาลอยเข้าไปในบ่อเลือดและกลืนกินกระแสเลือดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นราชันภูเขาม่วงก็หันหน้ามองไปในระยะไกลและกล่าว “ถึงคราวของเจ้าแล้ว”

แสงเจ็ดสีปรากฏขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านเป็นผู้อมตะระดับแปด! ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน ท่านสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่มีอุปสรรค เหตุใดท่านถึงต้องสร้างปัญหาให้ตัวละครเล็กๆเช่นข้า?”

“ข้ามีแผนของข้าเอง เจ้าต้องจ่ายหนี้ให้เจ้า ตั้งแต่เจ้าได้รับมรดกที่แท้จริงภาพลวงตาทั้งเจ็ด เจ้าก็ควรเตรียมใจไว้แล้ว” ราชันภูเขาม่วงกล่าว

“แต่ผู้สืบทอดคนก่อนข้าไม่เคยได้รับคำสั่งใดๆ เหตุใดต้องเป็นข้า?” ผู้อมตะลึกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ

ราชันภูเขาม่วงถอนหายใจและมองไปทางวังสวรรค์ “บางทีนี่อาจเป็นชะตากรรมของเจ้า เอาล่ะ ใช้วิธีการของเฉียวจื่อไคเพื่อสังหารคนเหล่านี้”

วูหยวนจือและเหรินฮ่าวยังอยู่ในอาการมึนงงและไม่สามารถเคลื่อนไหว

ราชันภูเขาม่วงจับคนทั้งสองทั้งเป็น แต่เขาต้องการให้ผู้อมตะลึกลับสังหารพวกเขา

ผู้อมตะลึกลับไม่กล้าต่อต้านราชันภูเขาม่วงและปล่อยแสงลึกลับไปยังสองผู้อมตะตระกูลวู ดวงวิญญาณของคนทั้งสองถูกทำลายขณะที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นรูปปั้นไม้

ราชันภูเขาม่วงปล่อยให้รูปปั้นไม้ทั้งสองตกลงไปในกระแสเลือด

“ไปกันเถอะ” ราชันภูเขาม่วงกล่าว

ผู้อมตะลึกลับจะกล้าต่อต้านราชันภูเขาม่วงได้อย่างไร แม้ชายชราจะไม่ใช่ผู้อมตะระดับแปด แต่เขาก็ถูกผูกมัดด้วยข้อตกลงบนเส้นทางแห่งข้อมูล

ทั้งสองจากไปอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าราชันภูเขาม่วงไม่ลืมที่จะเก็บกวาดสนามรบ

ครู่ต่อมากลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดก็แผ่พุ่งเข้าปกคลุมพื้นที่เอาไว้ทั้งหมด

ดวงตาของวูหยงเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่เขาบินลงมา

มันคือผู้ใด?

ผู้ใดฆ่าพวกเขา?

วูอี้เหรินเสียชีวิตก่อนหน้านี้และตอนนี้วูหยวนจือกับเหรินฮ่าวก็ติดตามไป เนื่องจากป้ายวิญญาณและโคมไฟวิญญาณของคนทั้งสองถูกทำลาย ตระกูลวูจึงได้รับข่าวการเสียชีวิตของพวกเขาอย่างรวดเร็ว

วูหยงโกรธจัดและตัดสินใจออกมาด้วยตนเอง

ตระกูลวูสูญเสียผู้อมตะไปสามคนในคราวเดียว หนึ่งเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดและอีกสองเป็นผู้อมตะระดับหก นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่และทำให้วูหยงโกรธมาก

เขาต้องการเห็นว่าผู้ใดที่กล้ายั่วยุตระกูลวู

แต่หลังจากเห็นศพของวูหยวนจือและเหรินฮ่าว วูหยงกลับตกตะลึง

“รูปปั้นไม้?” รูม่านตาของวูหยงหดเล็กลง “เฉียวจื่อไค?”

ครู่ต่อมาเฉียวจื่อไคก็รีบร้อนมายังที่เกิดเหตุ

กระแสเลือดหยุดไหลแล้วขณะที่ซากศพของผู้อมตะสองคนของตระกูลวูยังอยู่

“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งตระกูลเฉียว โปรดอธิบาย” วูหยงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบ

แต่ยิ่งเขาสงบเท่าใด เฉียวจื่อไคก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวเท่านั้น

เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียว ท่าไม้ตายอมตะของเขาคือท่าไม้ตายรูปปั้นไม้ เมื่อผู้อมตะถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายนี้ ดวงวิญญาณของพวกเขาจะถูกทำลายขณะที่ร่างกายของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นรูปปั้นไม้

เฉียวจื่อไคอธิบาย “ท่านวูหยง โปรดฟัง ข้าไม่ได้ทำเรื่องนี้ มีคนพยายามใส่ร้ายข้า ตระกูลเฉียวและตระกูลวูมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน เรามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด…”

วูหยงขัดจังหวะ “แน่นอน ข้าเชื่อใจท่าน ตระกูลเฉียวและตระกูลวูมีความสัมพันธ์ผ่านการแต่งงาน เราเป็นพันธมิตร ความสัมพันธ์ของเราจะถูกทำลายโดยสิ่งนี้ได้อย่างไร?”

เฉียวจื่อไคถอนหายใจและโค้งคำนับ “ท่านวูหยงฉลาดมาก”

วูหยงกล่าวต่อ “บางคนพยายามใส่ร้ายท่าน แต่มันชัดเจนเกินไป เขาเป็นผู้ใด แรงจูงใจของพวกเขาคือสิ่งใด? พวกเขามีแผนการใดและจะทำสิ่งใดต่อไป? นี่คือสิ่งที่ข้ากังวล รอสักครู่ ข้าเชิญผู้อมตะตระกูลไท่ ไท่เมี่ยนเฉินมาแล้ว”