ตอนที่ 20 ถ้าได้เข้าห้องกิฟต์ก็ดีสิ

หัวโจก

คาบติวช่วงเย็นของยวู่เต๋อจะเลิกตอนสามทุ่ม หากใครอยากอยู่ต่อก็สามารถทำได้จนถึงห้าทุ่ม ก่อนที่ไฟทั้งตึกจะดับลง

ห้องยี่สิบคือห้องบ๊วย หลังสามทุ่มจะไม่เหลือแม้แต่เงาของนักเรียน โดยเฉพาะช่วงใกล้กีฬาสี

โจวจิ้งสะพายกระเป๋าข้างเดียว วิ่งตรงไปยังสนามใหญ่ของโรงเรียน ซึ่งถูกบรรยากาศตอนกลางคืนทำให้ดูกว้างเป็นพิเศษ

โดยปกติโรงเรียนจะอนุญาตให้เด็กมัธยมหกอยู่หอ ซึ่งพวกเขาไม่ค่อยใช้สนามตอนกลางคืน แต่วันนี้กลับมีเด็กหนุ่มสองคนยืนซ้อมบาสท่ามกลางแสงสลัวบนถนน

เสียงลูกบาสตกกระทบพื้นเป็นระยะๆ เด็กหนุ่มร่างสูงยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ใต้แป้นสี่เหลี่ยม หากหล่อกว่านี้ เขาคงไม่ต่างจากพระเอกในโปสเตอร์หนังวัยรุ่น

โจวจิ้งนั่งแทะแอปเปิลอยู่ขอบสนาม หยีตามองหยวนคังฉีแข่งกับเฮ่อซวินด้วยความเพลิดเพลิน

พอรู้สึกว่าถูกจ้อง หยวนคังฉีก็หันมองและถูกเฮ่อซวินชู้ตบาสข้ามหัวโดยไม่ทันตั้งตัว

“ขี้โกงนี่หว่า!” หยวนคังฉีบ่นอุบ “เอาใหม่เลย!”

เฮ่อซวินส่งยิ้มเย้ยหยัน “อ่อนว่ะ!”

โจวจิ้งโยนแอปเปิลลงถังขยะแล้วเดินไปหาพวกเขา พอหาที่วางกระเป๋าได้ก็ตะโกนว่า “ยังเล่นอีกนานไหม? ฝากดูกระเป๋าหน่อย”

“ทำไม เธอจะทำอะไร?” หยวนคังฉีถาม

“ซ้อมวิ่งไงล่ะ คิดว่าฉันจะมาดูพวกนายเหรอ?”

“ได้เป็นผู้ชมวีไอพี ไม่ดีหรือไง?” หยวนคังฉีแซว

“เชอะ! จ้างให้ก็ไม่ดูหรอก” โจวจิ้งแลบลิ้นใส่ “ไปวิ่งดีกว่า เรียกฉันด้วยนะถ้าจะกลับ”

จะว่าไปพวกเขาดูเหมาะสมกันดี คนหนึ่งคมเข้มเย็นชา อีกคนหล่อหวานอ่อนโยน ยิ่งเหงื่อซึมทั้งตัวแบบนี้ ก็ยิ่งชวนให้จับจิ้นกันชะมัด

“ซ้อมวิ่งจริงๆ เหรอ?” หยวนคังฉีตะโกนถาม

เมื่อโจวจิ้งไม่ตอบ เขาจึงหันไปถามเฮ่อซวินแทน “มีสาวมาตามจีบถึงที่ ไม่สนใจหน่อยรึ?”

“จะเล่นต่อไหม?” เฮ่อซวินโยนลูกบาสใส่

วิ่งไปได้แค่สองรอบ โจวจิ้งก็หอบตัวโยน อาจเพราะไม่ได้ออกกำลังกายนานหลายปี อีกทั้งร่างนี้ไม่แข็งแรงเหมือนร่างเดิม เธอจึงไม่มั่นใจกับการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง

แต่เมื่อลงชื่อไปแล้ว ก็ควรเสียเหงื่อให้กับการกีฬาดีกว่าเสียหน้าให้กับการยอมแพ้

ยิ่งดึกลมก็ยิ่งแรง แต่โจวจิ้งไม่รู้สึกหนาวเพราะไอร้อนในร่างกายแผ่ออกมาเป็นระยะๆ ยิ่งตัดกับลมที่โชยมา ก็ยิ่งรู้สึกสบายตัว

ไม่ไกลจากตรงนั้น หนุ่มร่างผอมบางกับสาวร่างผอมสูง ใบหน้าเย่อหยิ่ง ยืนมองโจวจิ้งที่กำลังวิ่งอยู่ในสนาม

“ยัยนั่นคิดจะทำอะไรน่ะ?” เถาม่านชี้เด็กสาวที่กำลังวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย

แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงสลัว แต่ผมสีทองของโจวจิ้งกลับสะท้อนแสงดึงดูดสายตา

หลินเกามองด้วยสายตาเย็นชา “สมองน่าจะกระทบกระเทือน” พูดจบก็ปรายตามองสองหนุ่มที่กำลังเล่นบาส “พวกนั้นดูสนิทกับโจวจิ้งจัง”

มีเพียงหยวนคังฉีกับเฮ่อซวินที่ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากแต่ยังสอบได้ที่หนึ่งที่สองตลอด นอกจากจะเรียนเก่งแล้ว พวกเขายังเป็นเลิศด้านกีฬาด้วย

หลินเกายังคงหน้าบึ้ง เพราะจำคำพูดของโจวจิ้งได้

“เป็นอะไร หึงยัยนั่นรึไง?” เถาม่านแซว

“กลับได้แล้ว!”

ไม่เกี่ยวกับที่โจวจิ้งคลั่งไคล้เขา แต่ถ้าใครถูกเอาชื่อไปเปรียบเทียบก็คงรู้สึกไม่ดีทั้งนั้น

 

โจวจิ้งกลับถึงหอพักตอนสี่ทุ่มครึ่งและรีบอาบน้ำเข้านอน

เธอมองเฝิงเอี้ยนที่ยังคงอ่านหนังสือใต้แสงโคมไฟตั้งโต๊ะ ราวกับกำลังมองตัวเองในอดีต

ขณะเดินไปกรอกน้ำซึ่งอีกมือเช็ดหัวที่เปียกไปด้วย หางตาก็เหลือบไปเห็นโจทย์ภาษาอังกฤษที่อีกฝ่ายทำอยู่

“ผิดแล้ว ข้อนี้ตอบ C”

เฝิงเอี้ยนถึงกับอึ้ง ส่วนโจวจิ้งก็สอนต่อแบบไม่แคร์สายตา

“ข้อนี้ถึงจะถูก” เธอจิ้มนิ้วลงบนคำตอบ

เฝิงเอี้ยนตะลึงหนักกว่าเดิม จนโจวจิ้งนึกขึ้นได้ว่าเธอคือเด็กเกเรห้องบ๊วย ที่ไม่มีวันสอนการบ้านใครได้

“ล้อเล่นน่า” เธอหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “สองสามวันนี้เธออ่านหนังสือถึงเที่ยงคืนตลอด เตรียมสอบอยู่เหรอ?”

พอถูกโจวจิ้งเป็นห่วงบวกกับความเครียด เฝิงเอี้ยนก็น้ำตาคลอ

“เดือนหน้าต้องสอบแบ่งห้องแล้ว โอกาสเดียวที่ฉันจะได้ย้ายไปอยู่ห้องที่ดีกว่านี้”

“สอบแบ่งห้อง?” โจวจิ้งสงสัย

การสอบแบ่งห้องตามคะแนนเป็นระบบของยวู่เต๋อ เด็กหัวกะทิเท่านั้นจึงจะได้อยู่ห้องดีๆ ได้เรียนกับครูที่เก่งที่สุด ได้ใช้อุปกรณ์การศึกษาล้ำที่สุด

จากทั้งหมด 20 ห้อง ห้องแรกคือห้องกิฟต์ ห้องสุดท้ายคือห้องบ๊วย ซึ่งจะแยกเด็กศิลป์และเด็กวิทย์ออกจากกัน

ทุกเปิดเทอมจะมีการสอบแบ่งห้องหนึ่งครั้ง ซึ่งสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของเด็กคนหนึ่งได้หากขยันพอ ขณะเดียวกัน เด็กห้องกิฟต์ที่ขี้เกียจก็จะถูกย้ายไปอยู่ห้องอื่น

“เธออยู่ห้องไหน?” โจวจิ้งถาม

“ห้องสาม”

“ห้องสามก็ดีมากแล้วนี่?”

สำหรับยวู่เต๋อ ห้องสามคือห้องเด็กเก่ง ห้องห้าขึ้นไปคือห้องธรรมดา

แม้เฝิงเอี้ยนจะเทียบเด็กเทพอย่างเฮ่อซวินไม่ได้ แต่คะแนนของเธอก็ไม่ขี้เหร่

“ฉันอยากเข้าห้องกิฟต์มากๆ สองปีแล้วที่ต้องผิดหวัง ทั้งที่คะแนนขาดไปนิดเดียว”

“ห้องกิฟต์ดีตรงไหน ใครๆ ถึงได้อยากเข้า” โจวจิ้งกลอกตา “ว่าแต่แบ่งตามคะแนนจริงๆ เหรอ?”

ที่ต้องถามเพราะเธอรู้สึกว่าครูแบ่งห้องตามหน้าตามากกว่า

เฝิงเอี้ยนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ถ้าได้เข้าห้องกิฟต์ก็ดีสิ”

“เว่อจริง!”

“เธอไม่เข้าใจหรอก ห้องกิฟต์คือตัววัดความสามารถของเด็ก แค่บอกว่าเรียนห้องนี้ในยวู่เต๋อ สังคมก็ยกย่องแล้ว”

“เชื่อว่าห้องอื่นๆ ต้องมีเด็กเก่งแฝงอยู่แน่นอน เหมือนกับห้องกิฟต์ที่มีเด็กเรียนสู้เพื่อนไม่ได้ปนอยู่” โจวจิ้งยังคงไม่ลดละ

“เธอไม่เข้าใจหรอก เพราะไม่เคยอยู่ห้องกิฟต์” เป็นครั้งแรกที่สาวขี้กลัวอย่างเฝิงเอี้ยนกล้าเถียงโจวจิ้ง

โจวจิ้งหัวเราะ “ห้องกิฟต์คือเรื่องขี้หมูขี้หมาสำหรับฉัน”

เจอประโยคนี้ เฝิงเอี้ยนถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

โจวจิ้งยักไหล่ ไม่มีหรอกสิ่งที่เธอทำไม่ได้ อยู่ที่ว่าจะทำรึเปล่า

ในอดีตเธอคือตำนานของโรงเรียน หากแต่อยู่คนละยุค เลยเฉิดฉายมากไม่ได้

ข้อความจากมั่วลี่เด้งขึ้นในมือถือ โจวจิ้งจึงรีบกดอ่าน

“เจ๊ ไปวิ่งที่สนามมาเหรอ?”

“ใช่ รู้ได้ไง?” เธอพิมพ์ตอบ

“ดูกระทู้ในเพจของโรงเรียนสิ”

โจวจิ้งสตั๊นไป 3 วินาที ก่อนจะรีบกดเข้าไปดู

กระทู้ติดอันดับวันนี้คือรูปของเธอที่กำลังวิ่งท่ามกลางแสงสลัวของสนามกีฬา ผมสีทองชี้ฟูพลิ้วไหวโดดเด่นเป็นสง่า

“แค่ซ้อมวิ่ง ก็เป็นประเด็นแล้วเหรอ!”