ภาคที่ 4 ตอนที่ 133 เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงอสนีบาตครืนหนึ่งผ่านไป ฝนเท้าเมล็ดถั่วก็ร่วงลงมา เสียงซ่าๆ ดังระรัวบนแผ่นหินเขียวของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ

 

 

องครักษ์เสื้อแพรสวมผ้ากันฝนสวมหมวกกสานเดินผ่านม่านฝนเข้ามาในห้องแห่งหนึ่ง

 

 

“คุณหนูจวินเข้าเขตซานซีแล้วขอรับ” เขาคำนับเอ่ยเสียงเบา

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงโบกมือให้เขา องครักษ์เสื้อแพรค้อมกายถอยออกไป

 

 

“คุณหนูจวินจะช่วยนายน้อยฟางรักษาสมบัติตระกูลรึ?” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

ลู่อวิ๋นฉีที่พลิกเอกสารอยู่ไม่แม้กระทั่งเงยหน้า

 

 

“นี่นับเป็นเรื่องด้วยรึ? ยังต้องให้นางลงมือรึ?” เขาเอ่ย

 

 

ในใจเขาคุณหนูจวินคนนี้ยิ่งโตยิ่งร้ายกาจสินะ? หัวหน้ากองพันเจียงคิดในใจแล้วะกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง

 

 

“ใต้เท้า จินสือปากลับซานซีแล้ว จะเรียกเขาให้ฉวยโอกาส…” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

“ไม่ต้อง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

 

 

เพราะมีบุตรชายเฉิงกั๋วกงไปด้วยหรือ? ทว่าเขาแค่คนเดียว มีประโยชน์อันใด

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงมองลู่อวิ๋นฉี

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้า

 

 

“นางจะกลับมา” เขาเอ่ย จากนั้นหยุดนิดหนึ่ง “ข้ารอนางกลับมา”

 

 

ท่าทีที่ใต้เท้ามีต่อคุณหนูจวินคล้ายไม่เหมือนก่อนหน้านี้ หัวหน้ากองพันเจียงคิดในใจ ก่อนหน้านี้เขาจะต้องเอาคุณหนูจวินมาให้ได้ คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ตอนนี้เขาเพียงแอบสอดส่องอยู่ด้านข้าง ไม่เข้าใกล้และยิ่งไม่บีบบังคับ

 

 

แต่นี่ก็ไม่มีอะไร รอจัดการความยุ่งยากอย่างเฉิงกั๋วกงได้ คุณหนูจวินคนนี้ช้าเร็วก็เป็นของในกระเป๋า

 

 

“แดนเหนือด้านนั้นเริ่มลงมือแล้วขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ยเสียงเบา

 

 

ลู่อวิ๋นฉีขานอืมทีหนึ่ง สีหน้านิ่งเฉย

 

 

เมืองหลวงฝนใหญ่มหาศาล ส่วนซานซีฟ้าแจ้งตะวันลอยสูง

 

 

เด็กหนุ่มสวมหมวกสานกำเบ็ดตกปลานั่งอยู่ริมธารมาเกือบครึ่งวันแล้ว สีหน้าจดจ่อเช่นเดิม

 

 

“นายน้อย”

 

 

เสียงผู้คุ้มกันดังขึ้นหลังร่าง

 

 

“อย่าเสียงดัง” ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาโบกนิดหนึ่งให้ด้านหลัง “ปลาจะตกใจหนีไปแล้ว”

 

 

ผู้คุ้มกันหลังร่างไม่เอ่ยวาจาอีก เสียงก้าวเท้าเข้ามาใกล้ มีคนยืนอยู่หลังร่างเขา เอนร่างมาข้างหน้าเล็กน้อยมองไป

 

 

“เอ ในลำธารนี่มีปลาหรือ?” เสียงสตรีอ่อนโยนเอ่ยถาม

 

 

ฟางเฉิงอวี่ร้องอ๊ะทีหนึ่งกระโดดลุกขึ้น

 

 

“จิ่วหลิง! เจ้าก็มาด้วย!” เขาตะโกนอย่ายินดี มองสตรีตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง

 

 

นางเลิกผ้าคลุมหน้าออก ชุดเดินทางมอมแมม ในมือถึงขั้นยังกำแส้ม้าเอาไว้

 

 

“เรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าย่อมต้องมา” นางอมยิ้มเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้ารัว

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “ในใจข้าที่จริงกลัวนักล่ะ”

 

 

พูดพลางยื่นมือจะไปกอดคุณหนูจวิน ทว่ามีคนยื่นมือมาจากด้านข้าง คว้าเบ็ดตกปลาในมือของเขาไว้ แล้วก็ขวางเขาเข้าใกล้คุณหนูจวินด้วย

 

 

“นี่ไม่มีตะขอหนิ ตกปลาอะไร” จูจั้นเอ่ย “เจ้าอายุเท่านี้แสร้งเป็นเจียงไท่กง[1]ไม่ได้หรอกนะ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ทำหน้าถูกรังแก โยนเบ็ดตกปลาทิ้ง

 

 

“นี่คือเสพความรู้สึก” เขาเอ่ย “ตกปลาก็ไม่แน่ว่าจะต้องตกได้ปลานี่”

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“ทำเป็นทุกข์โศกเพื่อเขียนบทกวีบทใหม่โดยแท้ ก็มีแต่พวกเจ้าเด็กน้อยหล่านี้ถึงชอบทำท่าเช่นนี้” เขาเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองเขาอย่างอับอายโกรธเกรี้ยว แล้วมองไปทางจิ่วหลิงอีกหน

 

 

“มีอะไรน่าขัน” คุณหนูจวินถลึงตาใส่จูจั้น “พูดเหมือนท่านไม่เคยเป็นเด็ก”

 

 

“ข้าเคยเป็นเด็ก แต่ไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้จริงๆ” เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองเขา แล้วมองคุณหนูจวินอีก ในใจถอนหายใจ เวลาสั้นๆ ระหว่างพวกเขาก็ฟื้นกลับมาเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

 

 

ประโยคนี้ฟังแล้วประหลาดยิ่ง แต่พูดไปแล้วก็ธรรมดา สักช่วงหนึ่งที่เมืองหลวงไม่ทราบเกิดเรื่องอะไรขึ้น ระหว่างทั้งสองคนทำตัวเกร็งแปลกๆ แต่ตอนนี้ดูท่าความเกร็งแปลกๆ นี่หายไปแล้ว พวกเขาสบายใจเช่นนั้นเหมือก่อนหน้านี้อีกครั้งแล้ว

 

 

“พี่ชายท่านทำไมมาด้วยเล่า?” เขาเอ่ยท่าทางติดจะตื่นเต้น “ตั้งใจมาช่วยพวกเราหรือ?”

 

 

“ไม่ใช่” จูจั้นเอ่ย “ข้ามาดูเรื่องสนุก”

 

 

พูดพลางมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง

 

 

“นางต้องการคนช่วยเหลือที่ไหน”

 

 

คำพูดนี้เจ็บอยู่บ้าง แต่จูจั้นก็ยังคงเอ่ยออกมาแล้ว

 

 

คุณหนูจวินเหล่มองจูจั้นทีหนึ่ง ไม่สนใจเขา

 

 

ก็บอกแล้วว่าพี่ชายคนนี้หนังหน้าหนาจริงๆ ! ในใจฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจอีกหน มองซ้ายขวาอีกรอบ

 

 

“จิ่นซิ่วเล่า? จิ่วหลิงเจ้าไม่ใช่บอกว่าจะให้นางกลับมาหรือ?” เขาเอ่ยถาม

 

 

“นางล่วงหน้ากลับหยางเฉิงไปแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย “เวลาก็พอประมาณแล้ว”

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าหงึกๆ สีหน้าเริงร่าอีกหน

 

 

“จิ่วหลิง พี่รองร้ายกาจนัก” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินยิ้มๆ คิดถึงคุณหนูรองตระกูลฟางที่ปฏิสัมพันธ์กันไม่มากคนนี้

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางจิ่นซิ่วล้วนเคยเสียท่าในมือจวินเจินเจิน มีเพียงฟางอวี้ซิ่วคนนี้วางตัวอยู่ข้างนอก ยามเผชิญหน้ากับตน ฟางจิ่นซิ่วจะท้าทายหาเรื่องหลายครั้งถึงไร้ผลก็ยังปากแข็ง มีแค่ฟางอวี้ซิ่วคนนี้จงใจสังเกตเงียบๆ ครั้งหนึ่งพบว่าไม่ติดกับก็แสดงความเป็นมิตรทันที

 

 

นางรู้อยู่แล้วว่าคุณหนูรองฟางคนนี้ไม่หมือนภาพลักษณ์ข้างนอกที่เป็นนกกระทาซื่อๆ เช่นนั้น

 

 

“พี่สาวของเฉิงอวี่คนไหนไม่ร้ายกาจ” นางยิ้มเอ่ย

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

หลงตัวเองจริงๆ จูจั้นที่อยู่ข้างหลังคิด แต่ก็มีดีให้หลงอยู่จริงๆ เขาหันหน้าหนีหัวเราะหึหึทีหนึ่ง

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ฟางจิ่นซิ่วรั้งม้าหยุดหน้าประตูเมือง เงยหน้ามองไปทางประตูเมือง

 

 

ไม่ได้กลับมานานเท่าใดแล้ว? หนึ่งปีสองปี? ผ่านไปเร็วจริงๆ ส่วนประตูเมืองก็ยังคงเดิม ชาวบ้านไปมาต่างเดินทาง ไม่มีใครมองนางเพิ่มสักที

 

 

อดีตสวยสดงดงามก็ดี อดีตถูกทอดทิ้งก็ดี คนหยางเฉิงคงล้วนลืมคุณหนูสามตระกูลฟางหมดแล้วกระมัง

 

 

แต่อีกเดี๋ยวทุกคนก็จะต้องจำนางได้อีกหนแล้ว

 

 

ฟางจิ่นซิ่วเลิกคิ้ว มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่ง นางอายุสิบกว่าปีแต่ผ่านชีวิตรุ่งเรืองตกต่ำมามากมายจริงๆ

 

 

เสียงปั้บทีหนึ่ง นางยกแส้ควบม้าผ่านประตูเมืองไป

 

 

ท้องฟ้าอากาศแจ่มใส ชาวบ้านสงบสุข งานเมืองทำเสร็จ อาลักษณ์หลินก็นั่งสบายอยู่ในห้อง รินสุรามีความสุขกับตนเองอย่างหาได้ยาก

 

 

อิ่มสุราอิ่มข้าวก็ยากเลี่ยงคิดถึงอย่างอื่นบางอย่างขึ้นมาได้ง่าย

 

 

คิดถึงมือของแม่หม้ายสาวร้านขายสุราที่ทั้งขาวทั้งนุ่ม ไม่รู้ว่าบนร่างจะเหมือนกันด้วยหรือไม่

 

 

นอกจากนี้ยังยักคิ้วหลิ่วตาให้ตนเอง ยังจงใจทำผ้าเช็ดหน้าร่วงไว้อีก

 

 

น่าเสียดายก็แต่นับแต่เรื่องแอบเลี้ยงเมียเก็บแดงเมื่อหลายปีก่อน นายหญิงหลินก็โวยวายอยู่นาน แล้วยังถูกพวกพี่ภรรยาน้องภรรยาของบ้านภรรยาข่มขู่หลอกเอาเงินทองไปอีก เขาจึงอยู่อย่างสงบมาตลอด

 

 

คิดถึงเรื่องนั้นก็ไม่อาจไม่คิดถึงจวินเจินเจินตัวก่อเภทภัยคนนั้น

 

 

คิดถึงชื่อนี้ เขาก็มองไปรอบด้านโดยไม่รู้ตัว แล้วก็อับอายหงุดหงิดกับความหวาดกลัวเช่นนี้ของตนเอง

 

 

จวินเจินเจินคนนี้ตั้งแต่ไปจากหยางเฉิงก็ประหนึ่งเมฆาตามมังกรวาโยตามพยัคฆ์ยุ่งจนลมพัดน้ำกระเพื่อมเรื่องหนึ่งน่าตกใจกว่าอีกเรื่องหนึ่ง

 

 

ไม่ว่าพูดอย่างไร นางก็ไปก่อเภทภัยที่เมืองหลวงแล้ว ไม่ก่อเภทภัยที่หยางเฉิงเล้ว

 

 

บางทีอาจเป็นเวลาเลี้ยงเมียเก็บอีกหนแล้ว…

 

 

ความคิดเพิ่งแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงเคาะก๊อกๆดังขึ้นข้างนอก อาลักษณ์หลินตกใจตัวสั่นวูบหนึ่ง

 

 

“ใครน่ะ? ทำอะไรเล่า?” เขาตวาดอย่างโมโห

 

 

ขุนนางผู้น้อยสีหน้าหวาดหวั่นวิ่งเข้ามา

 

 

“ใต้เท้า ไม่ดีแล้วขอรับ มีคนจะฟ้องร้อง” เขาเอ่ย

 

 

อาลักษณ์หลินเรียกหัวใจกลับมา พรูลมหายใจ

 

 

“ฟ้องร้องทำไมไม่ดี ฟ้องร้องเป็นเรื่องดีสิ” เขาเอ่ย

 

 

ฟ้องร้องก็หมายความว่าจะมีเงิน หยางเฉิงสงบสุข ไม่มีคนมาร้องเรียนทางการหลายเดือนนักแล้ว

 

 

ขุนนางผู้น้อยสีหน้ายังคงวิตก

 

 

“แต่ คนที่ฟ้องร้องฟ้องตระกูลฟางของเต๋อเซิ่งชางนะขอรับ” เขาเอ่ย

 

 

ตระกูลฟาง ก็เท่ากับคนแซ่จวิน จวินเจินเจิน

 

 

อาลักษณ์หลินหวิดกระโดดลุกขึ้น

 

 

อย่าพูดถึงคนลับหลังจริงๆ

 

 

เขาน่ะไม่กล้ายั่วโมโหตัวก่อเภทภัยคนนี้หรอก

 

 

“ฟ้องอะไรเล่ารีบไล่ไป” เขาเอ่ย

 

 

“คุณหนูคนนั้นส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ใต้เท้าหลินขอรับ” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยพลางส่งจดหมายฉบับหนึ่งมา

 

 

อาลักษณ์หลินสีหน้าสงสัยรับมาเปิดออก

 

 

บนจดหมายสั้นกระจับนัก เพียงอักษรหนึ่งบรรทัด

 

 

ใต้เท้าหลิน เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งรบกวนท่าน น้องสาวข้าจะฟ้องร้อง ท่านดูแลหน่อย ขอบคุณไม่จบสิ้น จวินจิ่วหลิง

 

 

บัดซบ ตัวก่อเภทภัยคนนี้กลับมาอีกแล้ว อาลักษณ์หลินสีหน้าคล้ำเขียว

 

 

……………………………………….

 

 

 

 

[1] เจียงไท่กง (姜太公) นักปกครองที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งของจีน ขุนนางที่มีความดีความชอบสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์โจว ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจวไปพบขุนนางผู้มากความสามารถคนนี้ขณะที่เขาตกปลาอยู่ริมแม่น้ำ