ตอนที่ 252 สู่กองราชเลขา / ตอนที่ 253 จัดสรรแบ่งงาน

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 252 สู่กองราชเลขา 

 

 

หงหงพูดออกมาเช่นนั้นและไม่ให้โอกาสนางอธิบายให้กระจ่างก็หมุนตัวยกถาดที่มีน้ำค้างแข็งวิ่งหนีไปโดยไม่พูดอะไร 

 

 

เซียงฉือไม่เข้าใจการกระทำของนางจึงจ้องมองหลิ่วจุ้ยและคิดจะพูดอะไรแต่เห็นเซียงซือเดินเข้ามา 

 

 

“เจ้าเก็บของเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ดูเวลาแล้วพวกเราน่าจะไปกันได้แล้วล่ะ ถ้าไปสายตั้งแต่วันแรกคงจะไม่ดีเท่าไหร่” 

 

 

เสียงของเซียงซือดังมาจากข้างหลัง เมื่อหลิ่วจุ้ยเห็นนางจึงส่งห่อของให้เซียงฉือ วันนี้จะต้องหอบสัมภาระไปยังกองราชเลขาด้วยเลย ถึงจะรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปาก 

 

 

หลิ่วจุ้ยอมยิ้มพูดกับนางว่า “เจ้าเด็กนั่นก็บ้าๆ บอๆ แบบนั้นแหละ เจ้าก็อย่าเอามาใส่ใจเลย วางใจไปเถอะ ดูแลตัวเองให้ดี” 

 

 

เซียงฉือเดินพลางหันหลังกลับไปมองจนกระทั่งพ้นออกประตูหน้าตำหนักอวี้หยวน จากนั้นจึงจูงมือเดินไปกับเซียงซือ 

 

 

ทั้งคู่เดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ต่างเป็นคนใหม่และยังเป็นพี่น้องกัน ความสัมพันธ์เช่นนี้เมื่อไปอยู่ในกองราชเลขาแล้วสมควรต้องดูแลกันและกัน ควรจะเป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย 

 

 

พอเดินห่างตำหนักอวี้หยวนไปได้ช่วงหนึ่ง เซียงซือจึงพูดขึ้นก่อนว่า 

 

 

“น้องสาว คนในวังต่างพากันแปลกใจว่าเจ้าไม่ได้ผ่านกองเย็บปักที่เป็นด่านสุดท้าย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดใต้เท้าเหอแห่งกองราชเลขาเกิดสนใจเจ้าขึ้นได้ เพียงเห็นกันชั่วครู่ยามก็ทำให้นางเลือกเจ้าแล้ว ทั้งยังเป็นการเพิ่มเติมรายชื่อขึ้นมาจากรายชื่อเดิมเสียอีก” 

 

 

“เป็นการจำเพาะเพิ่มตำแหน่งให้เจ้าเช่นนี้ เจ้านี่หน้าใหญ่ไม่เบาเลยนะ” 

 

 

เซียงซือพูดเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงเจือความริษยาน้อยๆ แต่เซียงฉือเป็นญาติพี่น้องกับนางจึงไม่คิดอะไรมาก มองว่านางคงแปลกใจจึงพูดขึ้นว่า 

 

 

“ท่านพี่ไม่เข้าใจข้าหรือไร วันนั้นกุ้ยเฟยถามข้าว่าอยากเข้ากองราชเลขาหรือไม่ ความจริงข้าไม่ต้องการ แต่เรื่องราวบนโลกนี้เอาแน่นอนไม่ได้ ความจริงข้าคิดจะอาศัยหน้าของใต้เท้าสวี่เพื่อให้ใต้เท้าเหอช่วยพูดขอความเห็นใจแทนข้ากับใต้เท้าหวังชิงซิ่ว แต่ไม่คิดว่าผลสุดท้ายจะออกมาเช่นนี้” 

 

 

“ตอนนี้ได้เข้ากองราชเลขา นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย” 

 

 

เซียงฉือตอบกึ่งจริงกึ่งเท็จ นางไปขอร้องใต้เท้าเหอ แต่เรื่องของเหอเจี่ยนสุยไม่จำเป็นต้องพูดออกมาจึงต้องแต่งเรื่องขึ้นเพื่อให้เรื่องราวผ่านไปด้วยดี 

 

 

เซียงฉือพูดออกไปเซียงซือก็พยักหน้ารับทราบ แต่ไม่รู้ว่านางเชื่อถือคำพูดเซียงฉือจริงหรือไม่ 

 

 

แล้วทั้งคู่ก็จูงกันเดินไปจนถึงหน้าประตูกองราชเลขา 

 

 

ที่หน้าประตูมีข้าราชสำนักสตรีใบหน้าราวหยกขาว นางสวมชุดสีฟ้าครามเครื่องประดับศีรษะหยกยืนเด่นอยู่ 

 

 

“อวิ๋นเซียงซือ? อวิ๋นเซียงฉือ?” นางเป็นหนึ่งในผู้คุมสอบเซียงซือกับเซียงฉือจึงยังมีภาพของทั้งคู่อยู่ในความทรงจำ 

 

 

แต่เพราะเป็นพี่น้องจึงมีความคล้ายคลึงกันอยู่ อีกทั้งสวมชุดข้าราชสำนักแบบเดียวกันจึงแยกแยะไม่ได้ว่าใครเป็นใคร 

 

 

เซียงฉือเห็นนางงุนงงจึงเอ่ยขึ้น 

 

 

“อวิ๋นเซียงฉือ คารวะใต้เท้าเจ้าค่ะ” 

 

 

เพราะตอนนี้ยังไม่มีป้ายแขวนเอวจึงยังไม่ได้เป็นข้าราชสำนักสตรีของกองราชเลขา ไม่สามารถเรียกแทนตนเองว่าเปิ่นกวน หรือ เซี่ยกวน[1]ได้ เพียงทำความเคารพต่อนางตามธรรมเนียมปฏิบัติ 

 

 

สตรีผู้นั้นมองนางแล้วยิ้ม พูดขึ้นว่า 

 

 

“ไม่เลว ข้าเซียวอวี๋หรง ต่อไปก็ช่วยดูแลกันและกันนะ” 

 

 

เซียวอวี๋หรงผงกศีรษะให้เซียงฉือกับเซียงซือ แล้วหมุนกายนำทั้งสองคนเข้าไปในกองราชเลขา เซียงฉือจึงได้เริ่มชีวิตใหม่ในวังของนางตั้งแต่นั้น 

 

 

จากนี้ไปไม่ใช่นางกำนัลต่ำชั้นที่สุดในวังอีกแล้ว แต่มีผลงานการสอบเสมือนดั่งบุรุษที่สอบได้จิ้นซื่อ ไม่ต้องถูกเจ้านายตีตายตามอำเภอใจ ดูถูกเหยียดหยามไม่ใช่คนงานสาวใช้อีกต่อไป 

 

 

  

 

 

[1] เปิ่นกวน (本官) หรือ ซย่ากวน (下官)  เป็นสรรพนามที่ข้าราชการใช้แทนตนเอง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 253 จัดสรรแบ่งงาน 

 

 

เซียงฉือกับเซียงซือจูงกันเดินเข้าไปในกองราชเลขา วันนี้พวกนางมารายงานตัวที่นี่ โครงสร้างของกองราชเลขานั้นเรียบง่ายมาก เป็นเพียงอาคารสามชั้น โถงหน้าใช้เป็นโถงงาน ส่วนสวนด้านหลังเป็นที่พักของเหล่าข้าราชสำนักสตรีที่ต่างมีเรือนเล็กๆ แยกกัน ตรงกลางเป็นสระน้ำ พอถึงฤดูร้อนก็จะปลูกดอกบัว 

 

 

บริเวณสระบัวที่อยู่ระหว่างสวนด้านหลังและโถงหน้ายังมีโถงวาดภาพอยู่ห้องหนึ่งซึ่งใต้เท้าเหอจิ่นเซ่อจะใช้เวลาแต่ละวันอยู่ในนานยาวนานที่สุด 

 

 

“แต่ละวันใต้เท้าเหอจะต้องมาอยู่ที่นี่นานทีเดียวโดยห้ามคนเข้าไปรบกวน ซึ่งช่วงเวลานั้นถือเป็นข้อกำหนดที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของกองราชเลขาเรา ดังนั้นหากไม่มีเรื่องจำเป็นจริงๆ ห้ามเข้าไปรบกวน” 

 

 

“ที่ข้าพูดมานี่จำได้หมดแล้วหรือยัง งานในกองเราแต่ละวันมีไม่มาก งานสำคัญคือรับผิดชอบคัดลอกเอกสารประจำวันของฝ่าบาท อีกทั้งเข้าไปจัดแยกเก็บเอกสารให้เป็นระเบียบเรียบร้อย” 

 

 

เมื่อใต้เท้าเซียวอวี๋หรงพูดจบก็นำเซียงฉือกับเซียงซือไปให้รู้จักคุ้นเคยกับกองราชเลขานี้ต่อ 

 

 

ทั้งคู่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกจึงเต็มไปด้วยความสนใจในสถานที่นี้ เพราะฉะนั้นดวงตาสองคู่ของคนสองคนจึงไม่เพียงพอ 

 

 

ท้ายที่สุดเซียวอวี๋หรงก็ได้นำทั้งคู่ไปยังนาวาวาดภาพ สถานที่ลับส่วนตัวของใต้เท้าเห่อจิ่นเซ่อ 

 

 

“ใต้เท้าเหอ คนใหม่มารายงานตัวแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

พอเห็นใต้เท้าเหอเดินออกประตูมา เซียวอวี๋หรงจึงเดินเข้าไปแล้วรายงานต่อนาง 

 

 

ใต้เท้าเหอมองดูสองสาวพี่น้องเบื้องหน้า แล้วยืนยิ้มอยู่ตรงที่เดิม 

 

 

“ให้เซียงฉืออยู่ที่นี่ เจ้าพาเซียงซือไปอยู่กับเจ้า” 

 

 

เพียงเห็นหน้า เหอจิ่นเซ่อก็แบ่งงานให้ทั้งคู่เสร็จแล้ว ทั้งอวิ๋นเซียงฉือและอวิ๋นเซียงซือยังคงยืนไม่รู้เรื่องราวอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าเหอจิ่นเซ่อกับเซียวอวี๋หรงคุยอะไรกันอยู่ที่ด้านหน้า 

 

 

“ใต้เท้า เช่นนี้แล้วทางกุ้ยเฟย?” 

 

 

เซียวอวี๋หรงอยู่ในกองราชเลขามานานพอควรจึงรู้ชะตากรรมจากนี้ไปของทั้งคู่ แต่ทุกคนก็รู้จุดประสงค์ของกุ้ยเฟยที่ส่งเซียงซือเข้ามาในกองดี การที่เหอจิ่นเซ่อทำเช่นนี้ ทำให้นางกังวลใจว่าจะเป็นการล่วงเกินกุ้ยเฟยจึงได้เตือนขึ้นมา 

 

 

“กองนี้อย่างไรก็สังกัดวังหลังของฝ่าบาท ไม่ว่ากุ้ยเฟยจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่อาจเกินกว่าฝ่าบาทไปได้ พวกเราเป็นคนในกองราชเลขาจึงต้องให้ความสำคัญกับฝ่าบาทเป็นหลัก” 

 

 

“พูดขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ” 

 

 

พอเหอจิ่นเซ่อพูดเช่นนี้ มีหรือที่เซียวอวี๋หรงจะไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องลึกจึงพยักหน้ารับทราบแล้วหมุนกายจากไป 

 

 

เมื่อไปถึงเบื้องหน้าเซียงซือกับเซียงฉือจึงเอ่ยขึ้น 

 

 

“เซียงฉือ ใต้เท้าเหอเรียกเจ้าเข้าไป” 

 

 

“เซียงซือ เจ้าตามข้ามา” 

 

 

เซียงฉือกับเซียงซือเมื่อได้ยินดังนั้นก็สบตากันด้วยความไม่เข้าใจ เซียงฉือไม่เข้าใจเจตนาในคำพูดของเซียวอวี๋หรงแต่ก็ไม่กล้าชักช้าแล้วทำความเคารพนางอย่างนอบน้อม 

 

 

ส่วนเซียงซือชะงักไป แล้วพูดออกมาตรงๆ 

 

 

“ไม่ทราบว่าใต้เท้าเหอมีเจตนาอะไร เหตุใดต้องปฏิบัติเช่นนี้ ให้เราสองคนพี่น้องต้องแยกกัน” 

 

 

เซียงซือถามออกไปเช่นนี้ ความจริงนางคงไม่กล้าแสดงออกต่อใต้เท้าที่เป็นข้าราชสำนักสตรีเช่นนี้ แต่เพราะระยะนี้ได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษจากกุ้ยเฟย อีกทั้งผู้คนในตำหนักก็พากันก้มหัวยินยอม ยกยอปอปั้น จนทำให้นางหลงระเริงไปชั่วขณะ 

 

 

พอนางพูดเช่นนี้ เซียวอวี๋หรงก็ยิ่งให้ความเชื่อมั่นกับการจัดการของเหอจิ่นเซ่อเพิ่มขึ้นไปอีก 

 

 

หญิงที่ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญเช่นนี้ ถึงแม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากกุ้ยเฟยก็ตาม หากคิดจะมาตั้งตัวฝากชีวิตอยู่ในวังแล้วละก็ คงเป็นเรื่องยาก 

 

 

โดยเฉพาะในกองราชเลขาสถานที่สำคัญเช่นนี้ การพูดการกระทำต่างๆ ล้วนอยู่ในสายพระเนตรฮ่องเต้ วันนี้นางบุ่มบ่ามเพียงนี้ เป็นการละเมิดข้อห้ามสำคัญไปเสียแล้ว