“เย่าหมิง! ยังไม่รีบปล่อยมืออีก ไม่งั้นฉันจะโกรธแล้วนะ!”
สำหรับการตำหนิของซูเหมย ซูเย่าหมิงมีทุกข์แต่พูดไม่ออก
อย่ามองว่าเย่เทียนดูเจ็บปวด แต่มีเพียงซูเย่าหมิงเท่านั้นที่รู้ว่า สิ่งเหล่านี้เย่เทียนเป็นคนแกล้งทำออกมา!
คนที่ทุกข์จริงๆ เป็นเขาต่างหาก!
เขาต้องการปล่อย แต่เย่เทียนซึ่งดูเหมือนจะผอมและอ่อนแอตรงหน้าเขา มีความแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ และมือของเขาเหมือนคีมเหล็ก ล็อคเขาไว้แน่นจนเขาขยับไม่ได้เลย
แม้กระทั่งตอนนี้ เขาได้ใช้สุดแรง แต่เย่เทียนยังคงได้เปรียบ และมีความรู้สึกว่าเขาดูสบายๆ
เย่เทียนเย้ยหยันในใจ ทันใดนั้นก็เพิ่มพละกำลังและบีบแรงๆ แล้วปล่อยซูเย่าหมิง
“อ๊าก!”
โดยไม่ทันได้เตรียมตัว ซูเย่าหมิงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมา รู้สึกว่ากระดูกในมือของเขากำลังจะหัก
“เย่เทียน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ ซูเหมยซึ่งตกอยู่ในความคิดที่เชื่อและยอมรับในสิ่งที่ได้ยินได้เห็นก่อน ไม่ได้ไปสนใจซูเย่าหมิงเลย แต่ไปสนใจเย่เทียนที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ผม ผมไม่เป็นไร”
เย่เทียนแสร้งทำเป็นเจ็บปวดและโบกมือ แต่สีหน้าความเจ็บปวดของเขาที่แสดงออกมาจะไม่เป็นไรจริงๆได้อย่างไร?
“เดี๋ยวกลับไปคอยดูว่าฉันจะจัดการกับคุณยังไง!”
ตามที่คาดไว้ ซูเหมยจ้องไปที่ซูเย่าหมิงอย่างดุเดือด
“…” ซูเย่าหมิงยังคงถูมือที่เจ็บปวด รู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง ทั้งๆที่เขาเป็นคนที่ถูกรังแกไม่ใช่เหรอ?
“คิดไม่ถึงว่าไอ้เด็กคนนี้ดูอ่อนแอ แต่ความแข็งแกร่งของเขาจะแข็งแกร่งกว่าของผมอีก!?”
เดิมที ซูเย่าหมิงต้องการจะด่าเขา แต่หลังจากคิดดูแล้ว เขาก็ขจัดความคิดนั้น
เพราะว่า เมื่อพิจารณาจากสภาพของซูเหมย เกรงว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ซูเหมยจะไม่เชื่อแน่นอน และทำได้เพียงรับการเสียเปรียบนี้ไว้เท่านั้น
“เอาล่ะ กลับบ้านกันเถอะ!”
หลังจากยืนยันว่าเย่เทียนไม่เป็นอะไร ซูเหมยก็พูดอย่างเย็นชา
ซูเย่าหมิงกลับมารู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว มองไปที่หลี่เฟิงที่ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เฟิง เหม่ออยู่ที่นี่ทำไมล่ะ?ยังไม่รีบไปช่วยพี่ผมถือกระเป๋าเดินทางอีก?”
ในระหว่างการสนทนา ซูเย่าหมิงขยิบตาให้หลี่เฟิง อย่างน้อยนี่ก็เป็นโอกาสที่จะแสดงความแมนไม่ใช่หรือ?
อย่างไรก็ตาม โดยไม่รอให้หลี่เฟิงมาถึง เย่เทียนก็ได้พาซูเหมยขึ้นไปรถลัมโบร์กีนีสีเหลือง
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เฟิงแข็งในทันใด เมื่อได้เห็นซูเหมยอีกครั้ง เขายังไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลย!
เดิมทีเขาต้องการจะพูดคุยสักสองสามคำในขณะที่เขาไปรับสัมภาระ แต่คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนจะดึง ซูเหมยไป เขาจะไปรับสัมภาระเหมือนคนใช้จริงๆใช่ไหม?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของหลี่เฟิงมีแสงเย็นวาบผ่านอย่างช่วยไม่ได้ และหน้าอกของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
เย่เทียนไม่ได้ไปมองหลี่เฟิงที่มีสีหน้าน่าเกลียด เขาลากซูเหมยไปที่ตรงหน้ารถลัมโบร์กีนี และถาม ซูเย่าหมิง”ถ้าผมพูดถูก รถคันนี้ควรเป็นของคุณใช่ไหม?”
นี่เป็นสิ่งที่ดูออกได้ง่ายมาก คนที่มีคุณสมบัติที่จะขับรถลัมโบร์กีนีนี้คือหลี่เฟิงและซูเย่าหมิง
ซูเย่าหมิงอายุเล็กที่สุดและแต่งตัวตามแฟชั่นที่ทันสมัย รถลัมโบร์กีนีที่สะดุดตาเช่นนี้เข้ากับนิสัยของเขาที่สุด
หลังจากผงะไปสักพัก ซูเย่าหมิงก็ดึงสติกลับมาได้และพยักหน้าด้วยสีหน้าแปลกๆ “ใช่ รถคันนี้…”
โดยไม่รอให้เขาพูดจบ เย่เทียนก็ขัดจังหวัดด้วยรอยยิ้ม “ผมไม่เคยขับรถลัมโบร์กีนีเลย คุณคงไม่ถือสาใช่ไหม ถ้าผมจะขอขับมันสักครั้ง?”
“ผมจะไปขับรถเล่นกับพี่สาวคุณกันก่อน คุณและคุณชายหลี่ช่วยนำกระเป๋าเดินทางของเรากลับไปก่อน!”
หลังจากพูดจบ เย่เทียนก็เพิกเฉยต่อปฏิกิริยาของซูเย่าหมิงและหลี่เฟิง และเปิดประตูรถให้ซูเหมยอย่างสุภาพบุรุษ และให้เธอเข้าไปในรถ
เมื่อเห็นเย่เทียนทำตามอำเภอใจ ใต้ตาของซูเย่าหมิงก็กระตุกอย่างรุนแรง เขาไม่เคยคิดเลยว่าเย่เทียนจะไร้ยางอายขนาดนี้
เมื่อลัมโบร์กินีคำรามรุนแรง ซูเย่าหมิงจึงดึงสติกลับมาได้จากการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ก่อนที่เขาจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเขา ลัมโบร์กินีก็คำรามอีกครั้งและรีบพุ่งออกไป
ตั้งแต่เย่เทียนขึ้นรถไปจนถึงสตาร์ทเครื่อง มันเหมือนคนที่ขับลัมโบร์กินีเป็นครั้งแรกได้ไงล่ะ!
“ผู้ชายคนนี้ โผล่ออกมาจากไหนกัน?”
เมื่อมองดูลัมโบร์กินีที่กำลังแล่นออกไปไกล ในใจของซูเย่าหมิงก็เต็มไปด้วยความโกรธ แต่เนื่องจากมีหลี่เฟิงอยู่ด้วย เขาจึงไม่ได้แสดงมันออกมา แต่คำพูดที่เขาพูดนั้นค่อนข้างเย็นชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลี่เฟิงไม่ได้บอกซูเย่าหมิงเกี่ยวกับความอัปยศในเมืองเจียงหนันที่เขาได้เจอ เขาอายจริงๆ!
“มันก็แค่คนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ไม่ต้องไปถือสาเขา”
ต่อหน้าซูเย่าหมิง หลี่เฟิงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่สุภาพของเขา
“พี่เฟิง เด็กคนนั้นคงไม่ธรรมดาขนาดนั้น”
อย่างไรก็ตาม ซูเย่าหมิงส่ายหัวและพูดอย่างตรงไปตรงมา”ผมไม่กลัวที่จะบอกความจริงกับคุณนะ ผมแค่อยากจะขู่เด็กคนนั้น อย่าดูว่าไอ้หนุ่มคนนั้นทำหน้าเหมือนเจ็บปวด แต่ทั้งหมดนั้นเขาแสร้งทำออกมาทั้งนั้น คนที่เจ็บปวดจริงๆคือผม”
“หา?!”
หลี่เฟิงเหลือบมองซูเย่าหมิงอย่างมีความหมาย และถามอย่างสงสัย “เย่าหมิงฟังจากความหมายของคุณ คุณอยากจะสั่งสอนไอ้เด็กคนนั้นใช่ไหม?”
“ถูกตัอง!”
ซูเย่าหมิงพยักหน้า “พี่เฟิง ผมจะพาเขาไปที่คลับหัวซินของพี่จ้าวในคืนนี้ คุณกับพี่จ้าวเตรียมของหน่อย ผมไม่เชื่อว่าจะสั่งสอนไอ้เด็กคนนี้อย่างสาสมไม่ได้!”
“เย่าหมิงไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นเพื่อนของพี่สาวคุณนะ แบบนี้ไม่ดีมั้ง?ถ้าพี่สาวของคุณรู้เรื่องนี้ คุณคงต้อง…”
หลี่เฟิงพูดอย่างตอแหล และในใจของเขานั้นมีความสุขมาก เขากำลังคิดหาวิธีจัดการเย่เทียน คิดไม่ถึงว่าซูเย่าหมิงก็มีความคิดแบบเดียวกัน
แม้ว่าภายหลังซูเหมยจะมาว่าพวกเขา แต่ก็สามารถผลักเรื่องทุกอย่างไปที่ตัวของซูเย่าหมิง!
“พี่เฟิง คุณไม่ต้องเป็นห่วง!”
ซูเย่าหมิงไม่รู้ว่าหลี่เฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ เขาคิดว่าเขาเป็นห่วงตัวเองจริงๆ และตบไหล่หลี่เฟิงทันที
“อย่างมากเราก็แค่ไม่ออกหน้า ปล่อยให้พี่จ้าวหาคนสักสองสามคนมา แม้ว่าจะมาโทษ ผมก็แค่พาเด็กคนนั้นไปสนุกที่นั่นเท่านั้น แต่เขากลับทำให้คนอื่นขุ่นเคือง มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย”
“โอเค งั้นก็ทำตามที่คุณบอกแล้วกัน!”
หลี่เฟิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ สายตาที่โหดร้ายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“เย่เทียน สำหรับความอัปยศในเจียงหนัน ผมจะให้คุณชดใช้คืนเป็นร้อยเท่าพันเท่าในคืนนี้!”
…
เดิมที ซูเหมยยังกังวลเล็กน้อยว่าเย่เทียนจะขับลัมโบร์กีนีไม่เป็น แต่เมื่อเห็นเขาสตาร์ทเครื่องยนต์อย่างชำนาญ เธอก็ปัดเป่าการคาดเดาที่ไม่สบายใจในใจของเธอทันที
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เย่เทียนมาจ๊กกลาง ภายใต้การบอกทางของซูเหมย เขาขับรถลัมโบร์กีนีด้วยความเร็วและมั่นคงตามท้องถนน
นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะถูกเรียกว่าเทพสังหารในชาติที่แล้ว แต่ยังไงเขาก็ได้ก้าวขึ้นไปทีละขั้น ในตอนแรก เขามักจะถูกคนอื่นไล่ล่าและวิ่งไปมาทั่วโลก
อย่าว่าแต่ลัมโบร์กีนีเลย แม้แต่รถถัง เย่เทียนก็มั่นใจว่าจะสามารถขับได้อย่างสบายๆ
ไม่ว่ายังไง ภายใต้ท้องฟ้าและแสงแดดที่ปลอดโปร่ง มีเงาสีเหลืองปรากฏขึ้นบนถนนของจ๊กกลาง ซึ่งค่อนข้างสะดุดตา..