ตอนที่ 687 เดิมเป็นสตรี / ตอนที่ 688 เหมือนกับมิตรสหายผู้หนึ่ง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 687 เดิมเป็นสตรี

 

 

ลู่อวี้เหิงได้ยินคำพูดประโยคนี้จึงอดสงสัยไม่ได้ เขาตวัดตามองนางปราดหนึ่ง

 

 

กลับเห็นดวงตาที่ใสแวววาวของนางที่มีไม่ความรู้สึกใดๆ

 

 

ในความทรงจำ มีสตรีผู้หนึ่งก็มีแววตาเช่นนี้

 

 

ลู่อวี้เหิงถึงกับตะลึงค้างไปในทันที จากนั้นจึงหยุดฝีเท้าลง เมื่อเขาหยุดลู่เหมียนเหมียนที่ถูกเขาจูงเอาไว้ก็หยุดฝีเท้าลงด้วยเป็นธรรมดา

 

 

“พูดตามความจริงอย่างไม่ปิดบัง หากข้าสามารถแต่งสตรีอย่างเหมียนเหมียนเข้ามาได้ ข้านั้นยินยอมสมัครใจ ทว่าปัญหาก็คือ…ข้าไม่สามารถแต่งงานได้!”

 

 

“ทำไมจะแต่งไม่ได้กัน” ลู่อวี้เหิงขมวดคิ้ว พลันคืนสติกลับมา สีหน้าของเขาแม้จะยังดูย่ำแย่ ทว่าก็ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่หลายส่วน

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงมองไปที่ทั้งสองคน นางคล้ายกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง นางสูดหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ผ่านไปนานมากนางถึงได้เอ่ยว่า

 

 

“ข้า…ไม่ใช่บุรุษโดยแท้!”

 

 

ทันทีที่พูดจบ แม้แต่ลู่เหมียนเหมียนที่กำลังมีความรู้สึกตกต่ำและยังไม่สามารถเดินออกมาจากความรู้สึกเหล่านั้นได้ ก็อดมองซูหลีด้วยความตะลึงพรึงเพริดมิได้

 

 

นะ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน

 

 

ซูหลีชำเลืองมองสายตาที่เปลี่ยนไปของทั้งสองคน จากแววตาที่จ้องมองนางด้วยโทสะในเวลาแรก เปลี่ยนเป็นสงสาร นางไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี จากนั้นจึงรีบเอ่ยอธิบายว่า

 

 

“ไม่ใช่เช่นนั้น แต่…ที่จริงแล้วข้าเป็นสตรีคนหนึ่ง”

 

 

คำพูดนี้กลับเหลวไหลกว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นเสียอีก!

 

 

ลู่เหมียนเหมียนเบิกตากว้างมองที่ซูหลี

 

 

ทว่าลู่อวี้เหิงกลับขมวดคิ้วเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงหวนคิดถึงงานวันเกิดของซูหลีก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าแม่เลี้ยงของซูหลีจะเปิดโปงว่าซูหลีเป็นสตรี

 

 

บัดนี้เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ จึงทำให้เขาหวนคิดเรื่องในวันนั้นขึ้นมา

 

 

หากที่หลี่ซื่อกล่าวมาเป็นเรื่องจริงเล่า?

 

 

ในเวลานี้สีหน้าของลู่อวี้เหิงกับลู่เหมียนเหมียนเปลี่ยนเป็นสับสนอย่างมาก

 

 

ซูหลีเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “สถานการณ์ในครอบครัวของข้า พวกเจ้าคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว บิดาของข้าไม่มีบุตรชาย ในปีนั้นมารดาของข้าเพื่อให้นางสามารถอยู่ในสกุลซูได้อย่างมั่นคง ตั้งแต่ให้กำเนิดข้า นางก็บอกบิดาว่าข้าเป็นบุตรชาย”

 

 

“ตลอดหลายปีมากนี้ ข้าจึงถูกเลี้ยงดูแบบบุรุษมาโดยตลอด ทว่าข้าเป็นสตรีอย่างแท้จริง หากเหมียนเหมียนไม่เชื่อ ก็สามารถเข้าไปในห้องกับข้าได้”

 

 

ความหมายของซูหลีนั้นเข้าใจง่ายมาก ในเมื่อเป็นสตรีเช่นเดียวกัน นางจึงต้องการให้ลู่เหมียนเหมียนเข้าไปพิสูจน์ความจริง จะได้รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง

 

 

ทว่าเมื่อลู่เหมียนเหมียนหวนสติกลับคืนมา จึงส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน

 

 

ซูหลีเห็นนางขบริมฝีปาก ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เอ่ยว่า “คุณชาย…ใต้เท้าซู บุรุษใต้หล้านี้คงจะไม่มีใครนำเรื่องนี้มาพูดเล่น”

 

 

ใครจะเสียสติ ใช้ข้ออ้างว่าตนเป็นสตรีเพื่อปฏิเสธการแต่งงานกัน

 

 

แต่ก่อนลู่เหมียนเหมียนนั้นชอบเฉิงเค่อจนเกินไป จึงไม่ใส่ใจกับตนเอง ทว่านางมิใช่คนเขลา

 

 

อีกทั้งซูหลียังเคยช่วยเหลือนางหลายต่อหลายครา นางยังถือว่าเชื่อมั่นในตัวของซูหลีอยู่

 

 

สามารถกล่าวได้ว่า…เรื่องนี้ทำให้คนตกตะลึงจนเกินไป ทว่าเมื่อลู่เหมียนเหมียนพินิจพิเคราะห์ซูหลีอย่างถี่ถ้วน กลับพบว่ารูปโฉมของซูหลีนั้นควรจะเกิดเป็นสตรีจริงๆ

 

 

หากนางแต่งกายอย่างสตรีทั่วไป เกรงว่าแม้แต่สตรีชั้นสูงในเมืองหลวงก็ยังเทียบกับนางมิได้

 

 

น่าแปลกที่เรื่องนี้จะดูเหลวไหลเป็นอย่างมาก ทว่าหลังจากลู่เหมียนเหมียนได้ยินก็ควรมีความรู้สึกอื่นๆบ้าง ทว่านางกลับยังนิ่งเฉย

 

 

นิ่งเฉยราวกับทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าซูหลีเป็นสตรี

 

 

“ดังนั้นเหมียนเหมียน ไม่ใช่ข้าไม่อยากแต่งเจ้าเข้าบ้าน ทว่าหากข้าแต่งเจ้าเข้ามาจริง นั่นก็เป็นความผิด เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่” ซูหลียิ้มอย่างขมขื่น บัดนี้เรื่องที่สตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษนั้น…

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 688 เหมือนกับมิตรสหายผู้หนึ่ง

 

 

สิ่งที่ควรจะรู้และไม่ควรจะรู้ ก็รู้ไปหมดแล้ว

 

 

 “…ข้ารู้แล้ว” ลู่เหมียนเหมียนนิ่งไปครู่ใหญ่ จากนั้นจึงพูดออกมาสามคำ

 

 

ซูหลีเหลือบตาขึ้นมองนาง ก็เห็นใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาเป็นประกาย

 

 

“ข้าไม่โทษเจ้า” ลู่เหมียนเหมียน คงจะพอเข้าใจความหมายในดวงตาซูหลี ลู่เหมียนเหมียนส่ายศีรษะ นางจึงยิ้มน้อยๆ เพียงแต่ในรอยยิ้มนี้ยังเจือไปด้วยความทุกข์ทรมาน เพราะนางไม่มีความสามารถในการแยกแยะคน

 

 

ไม่ว่าจะก่อนหน้าหรือตอนนี้ นางก็ไม่รู้ว่าเฉิงเค่อเป็นคนแบบไหนกันแน่ และก็มองความเป็นผู้หญิงของซูหลีไม่ออก

 

 

มอบใจของตนเองออกมาเช่นนี้ พูดไปแล้วก็เป็นความผิดของตัวนาง

 

 

“หากไม่เพราะไม่มีเจ้า เกรงว่าวันนี้ข้าก็คงไม่อยู่ที่นี่แล้ว” ลู่เหมียนเหมียนจึงได้สติและเอ่ยเช่นนี้ออกมาด้วย นางมองซูหลีอยู่ครู่ใหญ่ แล้วนางก้าวเดินขึ้นมาในทันทีดึงมือซูหลีพลางเอ่ย

 

 

“เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำ จะโทษเจ้าได้อย่างไร?”

 

 

ซูหลีเห็นเช่นนี้จึงกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้

 

 

ลู่เหมียนเหมียนเป็นคนเช่นนี้ นางใจกว้างอย่างยิ่ง

 

 

ในจุดนี้เป็นจุดที่ไม่ได้ทำให้ซูหลีเสียใจภายหลังที่ช่วยนาง

 

 

“เพียงแต่หวังว่าต้องขอทั้งสองท่านช่วยเก็บความลับเรื่องนี้ให้ข้า วันนี้ข้าขึ้นหลังเสือแล้วหากมีคนอื่นล่วงรู้เข้าเกรงว่าคง…”

 

 

“เจ้าวางใจเถอะ” นางยังไม่ทันพูดจบ ลู่เหมียนเหมียนตบมือนางเบาๆ เป็นการปลอบใจแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “หากข้าไม่พูด พี่ชายไม่พูด เรื่องนี้ก็จะไม่มีใครล่วงรู้อีก”

 

 

ซูหลีได้ยินเช่นนี้ก็โล่งอก นางเองก็กำลังวางเดิมพันอยู่เช่นกัน

 

 

นางวางเดิมพันว่าลู่เหมียนเหมียนจะไม่เสียคำพูด ดูแล้วคราวนี้นางไม่ได้พนันผิด

 

 

ซูหลีคิดถึงจุดนี้นี้ก็เหลือบตามองลู่อวี้เหิงเล็กน้อย ก็เห็นลู่อวี้เหิงมองนางด้วยแววตาประหลาด

 

 

ใจซูหลีเต้นกระตุก นางลืมไปว่าสวี่อวี้เหิงคนเก่าก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง

 

 

“ต้องขอถามใต้เท้าซูทำไมท่านถึงต้องแต่งตัวเป็นผู้ชายด้วย ทั้งยังรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง แถมยังเข้าร่วมสอบเคอจวี่ด้วย ตอนนี้ยัง…” สวี่อวี้เหิงไม่รู้ว่าตนเองว่าควรจะพูดอะไรดี

 

 

แต่เขามักนึกถึงคนผู้หนึ่งเมื่อเห็นซูหลี

 

 

คนผู้นั้นก็เป็นเช่นนี้ ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแอบอบบาง แต่นิสัยพื้นฐานแล้วเป็นคนพยศ ดื้อดึง และดื้อรั้น

 

 

ตัวนางเองก็เคยป่าวถามว่าทำไมอิสตรีถึงเข้าร่วมสอบเคอจวี่ไม่ได้ ใต้หล้านี้มีอิสตรีที่มีความรู้ ไม่แน่ว่าอาจจะพอๆ กับพวกผู้ชายเสียด้วยซ้ำไป

 

 

ซูหลีในตอนนี้ทำพลอยนึกถึงคนผู้นั้นอย่างง่ายดาย

 

 

ลู่อวี้เหิงย้อนคิดอย่างละเอียดแล้ว ค้นพบว่าทั้งสองคนมีจุดเหมือนกันอย่างมาก

 

 

หลังเขาเปียกเหงื่อเย็นๆ จนชุ่มโชก เขาเองก็ไม่ได้จะคิดอะไรประหลาดๆ เพียงแต่คิดว่าจะมีใครยอมปล่อยบ้านสกุลหลี่หรือไม่

 

 

ซูหลีจงใจทำเช่นนี้หรือไม่

 

 

ซูหลีเห็นท่าทางลู่อวี้เหิง แววตานางเป็นประกายวิบวับ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงแหบแห้ง

 

 

“เรื่องนี้พูดไปแล้วมันยาวและจะเกี่ยวโยงกับคนจำนวนมาก จึงต้องขอโทษด้วยที่ข้าไม่สามารถพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ว่า…”

 

 

“แต่ว่าอะไร?” ลู่อวี้เหิงมองนาง

 

 

“ตอนแรกที่ได้ยินชื่อพี่ลู่ ข้าก็รู้สึกแปลกๆ เพราะข้าเองก็เคยมีมิตรเก่า เมื่อก่อนนางมีพี่ชายชื่ออวี้เหิง แต่ว่าไม่ใช่ลู่อวี้เหิงแต่เป็นสวี่อวี้เหิง!”

 

 

พอนางเอ่ยเช่นนี้ใบหน้าลู่อวี้เหิงก็เปลี่ยนสีไปอย่างมาก กระทั่งสีหน้าลู่เหมียนเหมียนที่อยู่ข้างๆ ก็เปลี่ยนตามไปด้วย

 

 

ซูหลีเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจในทนัที สีหน้าราบเรียบและเอ่ยอย่างสงสัย “พี่ลู่รู้จักคนผู้นั้นหรือไม่?”