ตอนที่ 23 ไม่ยอมแพ้

หัวโจก

โจวจิ้งตื่นแต่เช้า ส่องกระจกมองผมสีทองของตัวเองด้วยความเคยชิน ก่อนจะใช้ยางรัดไว้ไม่ให้สะดุดตา

เฝิงเอี้ยนเดินงัวเงียไปเข้าห้องน้ำ เพราะเมื่อคืนต้องอธิบายเรื่องสอบแบ่งห้องให้โจวจิ้งฟังจนดึก

โจวจิ้งคาบขนมปังแล้วเดินออกจากหอไปที่ห้องเรียน

พอตั้งเป้าหมายได้ ชีวิตต่อจากนี้ก็ง่ายขึ้นเยอะ แค่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น

เธอนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง เริ่มจัดลิ้นชักท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของเพื่อนร่วมห้อง

ในลิ้นชักเต็มไปด้วยหนังสือ ที่จริงมัธยมชั้นปีที่หกจะไม่ค่อยเรียนวิชาหลักแล้ว แต่จะเน้นเทคนิคการทำข้อสอบและตะลุยโจทย์มากกว่า หนังสือที่กองอยู่ในลิ้นชักจึงเป็นหนังสือของเทอมที่แล้วทั้งหมด

ดูจากความใหม่ของหนังสือ เจ้าของโต๊ะคงไม่ได้เปิดลิ้นชักนานแล้ว

โจวจิ้งถอนหายใจแล้วหยิบผ้าขี้ริ้วขึ้นเช็ดฝุ่น ก่อนจะจัดหนังสือให้เข้าที่

บรรยากาศในห้องเงียบสงัด อาจเพราะโจวจิ้งกำลังก้มหน้าก้มตาจัดหนังสือในลิ้นชักอยู่

หลายคนที่เห็นพากันคิดว่าเธอเสียใจเรื่องหลินเกาจนสติฟั่นเฟือน แต่โจวจิ้งไม่สนใจและเอาแต่พลิกหนังสือดู

ฟิสิกส์… เคมี… ชีวะ…

เธอรู้สึกเอะใจ จึงรีบหันไปถามโต้วหยา “พวกเราเป็นเด็กวิทย์เหรอ?”

โต้วหยาพยักหน้าแบบงงๆ

“…”

โจวจิ้งเป็นเด็กสายศิลป์มาตลอด พอคิดอยากผันตัวไปเป็นเด็กเทพห้องกิฟต์ สอบได้คะแนนดีๆ ให้คนอื่นเห็น กลับถูกดับฝันตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

บ่อยครั้งที่เด็กเทพสายศิลป์ย้ายไปเรียนสายวิทย์แล้วต้องกลายเป็นเด็กบ๊วยหลังห้อง ที่น่ากลุ้มใจกว่าก็คือหากเลือกแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนได้ ทางออกเดียวคือการย้ายโรงเรียนเท่านั้น

โต้วหยามองโจวจิ้งอย่างระแวดระวัง รวมถึงสายตาของทุกคนในห้องด้วย

พอตั้งสติได้ โจวจิ้งก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก้มหน้าจัดหนังสือต่อ

เรื่องการสอบแบ่งห้องทำเธอเซ็งตลอดทั้งคาบ กระทั่งเสียงออดพักเที่ยงดังขึ้นจึงลุกออกจากที่นั่ง

ข้อเสียของโจวจิ้งคือเป็นคนดันทุรัง ดื้อดึงไม่ยอมแพ้ จนความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ราบรื่น แต่ก็เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่อง

เมื่อต้องกลายเป็นเด็กสายวิทย์ ย้ายโรงเรียนหนีก็ไม่ได้ ถ้างั้นเธอก็จะทำมันให้สำเร็จ ไม่มีใครเกิดมาเก่งทุกอย่าง แค่เริ่มต้นเรียนใหม่เท่านั้น ซึ่งไม่ยากเกินไปสำหรับโจวจิ้ง

แทนที่จะไปกินข้าวกลางวัน เธอเลือกที่จะไปห้องสมุด หาหนังสืออ่านเตรียมสอบแบ่งห้องในอีกสิบกว่าวัน

ห้องสมุดของยวู่เต๋อใหญ่มาก ทั้งใหญ่ทั้งหรูหรากว่าทุกโรงเรียนในเมืองนี้ รวมถึงหนังสือที่มีอย่างหลากหลายด้วย

เนื่องจากเป็นเวลาพักเที่ยง จึงไม่ค่อยมีใครเข้าห้องสมุด

เมื่อเห็นว่าบรรณารักษ์วัยกลางคนกำลังฟุบหลับ โจวจิ้งก็รูดบัตรนักเรียนแล้วตรงไปที่โซนวิชาการ

แต่ละโซนมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งเรียงราย ยังมีระเบียงที่ช่วยสร้างบรรยากาศอีก ทุกสถาปัตยกรรมในนี้เกินความคาดหมายของเธอมาก

โจวจิ้งกำลังเลือกหนังสือสองสามเล่ม จู่ๆ เงาที่คุ้นเคยก็เดินผ่านหน้า

“เฮ่อ…”

พอนึกขึ้นได้ว่าห้ามส่งเสียง เธอก็หอบหนังสือวิ่งตามอีกฝ่ายไป

เฮ่อซวินยืมหนังสือไปเพื่อไปนั่งอ่านที่โซนในสุดติดระเบียงโจวจิ้งที่มาถึงอย่างเงียบๆ เขย่งเท้าแล้วสะกิดบ่าทักทายเขา

เฮ่อซวินกวาดตามองหนังสือหลายเล่มในอ้อมกอดของเธอด้วยสีหน้าคลุมเครือ “มายืมหนังสือเหรอ? แล้วหยวนคังฉีล่ะ?”

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ เฮ่อซวินก็เดินหาหนังสือต่อ

โจวจิ้งได้แต่เกาหัว พอคิดจะชวนคุย เสียงหวานแหววของนักเรียนหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง

“พี่ชอบเถาม่านจริงๆ เหรอ?”

ได้ยินประโยคนี้ เฮ่อซวินกับโจวจิ้งก็ถึงกับชะงัก

พวกเขาอยู่ที่โซนในสุดของห้องสมุด ซึ่งเป็นมุมลับตาคน นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ชอบมาที่โซนวิชาการ พอได้ยินเสียงของนักเรียนคนอื่น จึงค่อนข้างประหลาดใจ

เฮ่อซวินขมวดคิ้วแล้วทำท่าจะเดินหาหนังสือต่อ แต่ถูกโจวจิ้งรั้งแขนไว้

“ไปแอบดูกัน!” เธอกระซิบ

เฮ่อซวินหรี่ตามองอีกฝ่ายและทำท่าจะเดินต่อ แต่ถูกโจวจิ้งฉุดแขนจนเกือบล้ม แล้วลากไปที่หลังชั้นหนังสือเพื่อแอบดูสถานการณ์ตรงหน้า

ขณะกำลังจะอ้าปากพูด เสียงสูดลมหายใจของเธอก็ทำเฮ่อซวินต้องแอบดูที่ร่องหนังสือ

ภาพตรงหน้าคือหลินเกากับสาวร่างเล็กคนหนึ่งที่กำลังงอนง้อกัน

ตามสัญชาตญาณของมนุษย์ เรื่องชาวบ้านคือปัจจัยห้าในการดำรงชีวิต ยิ่งเป็นหลินเกาคนที่โจวจิ้งตามจีบเป็นสิบปีด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่

“ฉันตอบไม่ได้ ขอโทษด้วย” หลินเกาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

คำพูดที่กำกวมรวมถึงท่าทางแสนสุภาพ ทำโจวจิ้งเข้าใจทันทีว่าทำไมเจ้าของร่างถึงตามจีบผู้ชายคนนี้ได้เป็นสิบปี เด็กสาวตรงหน้าก็คงไม่ต่างกัน

“แต่ฉันชอบพี่จริงๆ นะ!” สาวน้อยร่างเล็กโผเข้าไปกอดหลินเกา

โจวจิ้งหัวใจแทบวาย มือที่เกาะไหล่เฮ่อซวินอยู่บีบแรงจนเขาส่งเสียงร้อง

“เจ็บ!”

เธอก็รีบชักมือออกแล้วควักลูกอมจากในกระเป๋าเสื้อส่งให้

“เงียบ!”