ตอนที่ 236 ทองคำหลอมเหลว

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 236 ทองคำหลอมเหลว โดย Ink Stone_Fantasy

“ทองคำหลอมเหลวนั้นช่างมันเถอะ มันเพียงแค่มีประโยชน์ในด้านการหลอม แต่หยดพลังวารีหยดนั้น เป็นสมบัติธาตุน้ำระดับสุดยอด ซึ่งผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่เชี่ยวชาญพลังวารีกลั่นออกมา ไม่ว่าจะใช้มันปรับแต่งอาวุธจิตวิญญาณ หรือใช้เป็นวัสดุหลอมอาวุธ ล้วนมีประโยชน์มหาศาล และถ้าพลังหยดวารีหนึ่งหยวน สามารถหลอมเป็นพลังหยดวารีสองหยวน หรือพลังหยดวารีสามหยวนได้ มูลค่าของมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเป็นหมื่นเท่า เฮ่อๆ! พอถึงเวลานั้น……” ผู้เชี่ยวชาญฉู่หัวเราะและกล่าวออกมา

“ข้าเข้าใจความหมายของผู้เชี่ยวชาญฉู่ สมบัติระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์จิตวิญญาณควรจะมี ข้าได้ส่งพี่น้องตระกูลกัวออกไปแล้ว อีกไม่นานคงมีข่าวส่งกลับมา” ผู้ดูแลเมิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมา

“ดีมาก เจ้าไม่ใช่คนล้าหลังแต่อย่างใด ถ้าข้านำหยดพลังวารีหนึ่งหยวนนี้มาให้เจ้าหอได้ ข้าจะต้องได้รับรางวัลอย่างงาม ดูท่าพวกเราทำถูกแล้ว ที่ไม่ได้ลงมือกับผู้ที่มาประเมินวัสดุเหล่านี้ มิเช่นนั้นจะหลอกล่อปลาใหญ่ให้ติดกับได้อย่างไร” ผู้เชี่ยวชาญฉู่กล่าวด้วยความดีใจ

“สิ่งของที่เคยมีคนเอามาให้ประเมิน อย่างมากก็เป็นแค่สิ่งของที่อาจารย์จิตวิญญาณใช้เท่านั้น แม้จะนับว่าหาได้ยากยิ่ง แต่จะเทียบกับของสองสิ่งนี้ได้อย่างไร ข้าได้กำชับพี่น้องตระกูลกัวให้พยายามหาโอกาสลงมือในขณะที่ไม่มีคน ถ้าคนผู้นี้หายตัวไป จะได้ไม่ซัดทอดถึงคนจำนวนมาก ที่ข้ากังวลเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ในเมื่อคนผู้นี้กล้านำสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ออกมาประเมิน เกรงว่าเขาเองก็คงพอมีฝีมืออยู่บ้าง หากพี่น้องตระกูลกัวลงมือพลาดล่ะก็……” ผู้ดูแลเมิ่งกล่าวด้วยความลังเล

“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล เจ้ายังไม่รู้ล่ะสิ! หลายวันก่อนพี่น้องตระกูลกัวเพิ่งเอาธนูโลหิตแดงกับเข็มลูกแพร์ไปจากข้า สมบัติทั้งสองสิ่งนี้ เป็นอาวุธการโจมตีที่ทำให้ศัตรูป้องกันตัวจนไม่หวาดไม่ไหว เพียงแค่พี่น้องตระกูลกัวไม่โง่เขลาจนเกินไป เชื่อว่าแปดถึงเก้าส่วนคงไม่พลาด” ผู้เชี่ยวชาญฉู่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“อะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เช่นนี้ข้าก็วางใจเป็นอย่างมากแล้ว” ตอนแรกผู้ดูแลเมิ่งก็รู้สึกตกตะลึง แต่ต่อมาก็ถอนหายใจด้วยความดีใจ

แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก จากนั้นชายสวมชุดทะมัดทะแมงสองคน คนหนึ่งสูง คนหนึ่งต่ำก็เดินเข้ามา

“พวกเจ้ากลับมาแล้ว! หรือว่าลงมือได้รวดเร็วถึงเพียงนี้!” พอผู้ดูแลเมิ่งมองเห็นใบหน้าของทั้งสองคนชัดเจนก็ถามออกไปด้วยความตกใจ

ทั้งสองคนนี้คือพี่น้องตระกูลกัวที่เขาเพิ่งกล่าวถึง

พอผู้เชี่ยวชาญฉู่เห็นทั้งสอง ก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเช่นกัน

“เกรงว่าคงทำให้พี่เมิ่งกับผู้เชี่ยวชาญฉู่ต้องผิดหวังแล้ว เจ้าเด็กนั่นปลิ้นปล้อนยิ่งนัก พอเลี้ยวเข้าไปอีกทางหนึ่ง พวกข้าสองพี่น้องก็หาร่องรอยเขาไม่เจอแล้ว” ชายร่างสูงกล่าวออกมา สีหน้าเขาในตอนนี้ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก

“อะไรนะ! พวกเจ้าทั้งสองคลาดเคลื่อนกับเขาไป พวกเจ้าทำงานอย่างไรกัน เจ้ารู้ไหมว่าเขาพกอะไรมาด้วย” ผู้ดูแลเมิ่งได้ยินก็รู้สึกทั้งตกใจทั้งโมโห

สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญฉู่ก็ดูหม่นหมองอย่างถึงที่สุด

“ชายแซ่เมิ่ง แม้ว่าเจ้าจะมีตำแหน่งในหอสูงกว่าพวกข้าทั้งสองเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มาชี้โบ๊ชี้เบ๊พวกข้าทั้งสอง การทำงานผิดพลาดในครั้งนี้ พวกข้าทั้งสองสามารถรายงานเองได้ แต่ก็แค่ถูกทำโทษโดยตัดหินจิตวิญญาณครึ่งปีเท่านั้น” ชายที่ค่อนข้างเตี้ยหน่อยกล่าวออกมา สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

จากนั้นทั้งสองเพียงแค่โค้งตัวให้ผู้เชี่ยวชาญฉู่เล็กน้อย แล้วก็เดินออกไปจากห้องรับรอง

“ท่านผู้เชี่ยวชาญ พี่น้องตระกูลกัวทำงานไม่สำเร็จ แต่ยังใจร้อนและเหี้ยมโหดเช่นนี้ ไม่สู้ให้ข้าลงบัญชีหางว่าวรายงานเรื่องนี้กับเจ้าหอดีไหม คิดว่าโทษที่ทำให้สูญเสียหยดพลังวารีกับทองคำหลอมเหลวไป คงเพียงพอที่จำทำให้พวกเขาเงยหน้าอ้าปากได้อีก” ผู้ดูแลเมิ่งเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เขากล่าวกับผู้อาวุโสชุดสีเหลืองด้วยสีหน้าเขียวปั๊ด

“เกรงว่าคงจะไม่ได้ สหายเมิ่งอย่าได้ลืมสิว่า ในมือของเจ้าเด็กนั่นมีของล้ำค่าอยู่สองอย่าง ซึ่งมีแค่เจ้าและข้าที่สามารถยืนยันได้ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานล่ะก็ เจ้าหอจะฟังคำพูดของเราทั้งสองได้อย่างไร อย่าลืมสิ! เจ้าสองคนนั่นใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ ก็เพราะว่ามีคนคอยหนุนหลังอยู่ ถ้าข้าเป็นเจ้า จะระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน ใยต้องกลัวว่าจะหาโอกาสไม่ได้ในภายหลังด้วยเล่า” ผู้เชี่ยวชาญฉู่ฝืนยิ้มแล้วกล่าวออกมา

ตั้งแต่รู้ว่าพี่น้องตระกูลกัว คาดเคลื่อนกับผู้นำสิ่งของมาประเมินในก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมไม่อยากเข้าไปยุ่งกับการปะทะระหว่างผู้ดูแลเมิ่งกับพี่น้องตระกูลกัว

“ขอบคุณผู้เชี่ยวชาญที่ชี้แนะ ก่อนหน้านั้นข้ายั้งสติไม่อยู่ แต่พอนึกถึงสมบัติอย่างหยดพลังวารี ที่หายไปต่อหน้าต่อตาแล้ว ข้ารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก!” นับว่าผู้ดูแลเมิ่งได้สติมาหน่อยหนึ่ง จึงได้แต่ฝืนยิ้มกล่าวออกมา

“เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อคนผู้นั้นสลัดตัวให้หลุดพ้นจากการสะกดรอยของพี่น้องตระกูลกัวได้ง่ายดายเช่นนี้ ประจักษ์ชัดว่าเขาระมัดระวังหอหมื่นหลอมของเราแต่แรกแล้ว เกรงว่าคงจะออกจากเสวียนจิงในเร็วๆ นี้ ข้ากับเจ้าไม่อาจทำอะไรได้” ผู้เชี่ยวชาญฉู่ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา

ผู้ดูแลเมิ่งได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็แสดงสีหน้าหมดหวังออกมา

ในขณะที่คนทั้งสองสนทนาอยู่ในห้องรับรองของหอหมื่นหลอมนั้น คนที่พวกเขากล่าวถึงก็ไม่ได้ไปจากเสวียนจิงแต่อย่างใด และกลับใช้วิธีการเปลี่ยนโฉมหน้า สลัดผู้ที่สะกดรอยไปได้ จากนั้นก็ออกไปจากตลาด และมุ่งหน้ากลับไปยังถ้ำบนเขาเซียนทอแสง

หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยที่หอหมื่นหลอมจะส่งคนมาสะกดรอยเขา

หากเขารู้ว่า คนผู้หนึ่งมีสมบัติที่ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกใจเต้นได้ เขาก็คงจะทำเช่นนี้ เพราะสถานที่อย่างตลาดใต้ดินในเสวียนจิงนี้ ร้านค้าที่ได้รับ ‘คำสรรเสริญ’ ย่อมตรงข้ามกับความเป็นจริง เพียงแต่พวกเขายังไม่พบสิ่งของที่ทำให้ใจเต้นเท่านั้น

พอหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำก็เข้าไปห้องลับ และแสดงวิชานำเตาหลอมยักษ์ออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็สังเกตดูหยดของเหลวสีดำด้วยตาที่เป็นประกายแวววาว สีหน้าเขาเจ็มไปด้วยความตื่นเต้น

แม้เขาจะรู้ว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่วัสดุธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็น ‘หยดพลังวารี’ ตามที่เล่าลือ

ถ้าไม่ใช่เพราะว่า ‘ผู้เชี่ยวชาญฉู่’ ผู้นั้นได้ทดสอบคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ของมันต่อหน้าเขาล่ะก็ เกรงว่าจนถึงตอนนี้เขาก็คงไม่อาจเชื่อได้

‘หยดพลังวารี’ ตามที่เล่าลือ เป็นสิ่งที่ผู้ทรงพลังที่มีความเชี่ยวชาญด้านคุณสมบัติของน้ำ ใช้เวลาเป็นสิบปีจนถึงหลายร้อยปี ในการบีบอัดและหล่อหลอมน้ำในแม่น้ำจนก่อเกิดเป็นหยดพลังวารี

สำหรับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปแล้ว ใช้เวลาเกือบร้อยปีในการหล่อมหลอมวัสดุออกมาชิ้นหนึ่ง ย่อมเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มกับที่เสียไป

ด้วยเหตุนี้ หยดพลังวารีย่อมปรากฏตัวในโลกน้อยมาก

อย่ามองว่ามีแค่หยดเดียว ไม่แน่มันอาจจะบีบอัดจิตวิญญาณของทะเลสาบเล็กๆ ทั้งแห่งก็ได้ และหากเป็นหยดพลังวารีสองหยวน หรือหยดพลังวารีสามหยวนที่มีระดับสูงยิ่งกว่า ก็อาจจะหล่อมหลอมมาจากแม่น้ำทั้งสาย หรือแม้กระทั่งทะเลทั่วทั้งเขตก็เป็นได้ มันเป็นสิ่งที่หนึ่งหยดพลังวารีไม่สามารถเทียบได้เลย

แน่นอนว่านอกจากน้ำหนักของหยดพลังวารีแล้ว ตัวมันเองยังเป็นวัสดุระดับสุดยอดในการหลอมอาวุธธาตุน้ำ หากหาผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่ถูกต้อง ก็สามารถหลอมอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงออกมาได้โดยตรง และตัวมันเองยังสามารถหลอมเป็น ‘มุกพลังวารี’ ที่มีอานุภาพมหัศจรรย์ตามคำเล่าลือได้

หลิ่วหมิงเดินวนรอบเตาหลอมเพื่อสังเกตดูของเหลวสีดำอยู่ครู่หนึ่ง เขายิ่งดูก็ยิ่งดีใจเป็นอย่างมาก

เสียดายที่สมบัติระดับนี้มีน้อยและมูลค่าสูงมาก และเขาก็ไม่สามารถใช้มันได้ในตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องรอเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณก่อน แล้วค่อยพิจารณาถึงประโยชน์การใช้สอยของมัน

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อก่อนที่แสงสว่างจะม้วนตัวออกไป เตาหลอมยักษ์ถูกหอยสังย่อส่วนดูดเข้าไปในนั้น

จากนั้นถึงล้วงเอาลูกกลมๆ สีทองอร่ามออกจากแขนเสื้อ พอจ้องดูอย่างละเอียดแล้ว ก็แสดงสีหน้าออกมาราวกับคิดอะไรอยู่

ทองคำหลอมเหลว เมื่อเทียบกับหยดพลังวารีหนึ่งหยวนแล้ว อาจมีชื่อเสียงน้อยไปกว่าหน่อย แต่ในสายตาของผู้ฝึกร่างเป็นหลักนั้น พวกเขาต้องการของสิ่งนี้มากกว่าหยดพลังวารีมาก

ตามที่ผู้เชี่ยวชาญฉู่คนนั้นกล่าว ทองคำหลอมเหลวนี้เป็นวัสดุล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง มันเกิดจากหนอนประหลาดโบราณที่เรียกว่า ‘หนอนทองคำหลอมเหลว’ กลืนกินแร่จำนวนมาก แล้วก่อเกิดเป็นทองคำล้ำค่าภายในร่าง

แม้ว่าธาตุทองคำนี้ไม่อาจเป็นวัสดุในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณ และยังไม่อาจหลอมทำเป็นคมกระบี่คมดาบได้โดยตรง แต่สามารถใช้เคล็ดวิชาบางอย่างปรับแต่งมันโดยตรงได้

เพียงแค่สามารถหลอมมันได้สำเร็จ ก็สามารถเปลี่ยนสถานะให้แข็งหรืออ่อนได้ตามใจนึก และยังสามารถนำมาเคลือบกับคมดาบของอาวุธจิตวิญญาณได้โดยตรง ทำให้อานุภาพของพวกมันเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่สำหรับผู้ฝึกฝนร่างจำนวนหนึ่งแล้ว การนำทองคำหลอมเหลวมาเคลือบร่างของตนเอง ถึงจะได้ประโยชน์อย่างไม่สิ้นสุด

แน่นอน เรื่องราวบางอย่างที่เป็นรูปธรรม ผู้เชี่ยวชาญฉู่ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่หลิ่วหมิงดูจากคำพูดของผู้อาวุโสที่ดูเหมือนจะยังพูดไม่หมด เห็นได้ชัดว่าของสิ่งนี้จะต้องมีความมหัศจรรย์อย่างอื่นอยู่แน่นอน

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ แน่นอนว่าย่อมไม่เสี่ยงเอาของสิ่งนี้ไปหลอมในตอนนี้

ภายในระยะอีกสองวันต่อมา หลิ่วหมิงตั้งใจเปลี่ยนโฉมหน้าไปตลาดใต้ดินอีกครั้ง และเริ่มเสาะหาคัมภีร์เกี่ยวกับไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินแห้ง หยดพลังวารี และทองคำหลอมเหลว สิ่งที่บันทึกไว้ในนั้นยืนยันได้ว่า การประเมินของ ‘ผู้เชี่ยวชาญฉู่’ ไม่ได้เป็นเท็จแต่อย่างใด

หากให้เขาประเมินที่มาของวัสดุที่ไม่รู้จัก ย่อมเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก แต่ถ้าตัวเองรู้ชื่อของวัสดุแล้ว ค่อยไปหาบันทึกที่เกี่ยวข้องกับมัน เกรงว่าต่อให้จะเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง ก็คงหาได้ไม่ยาก

เช่นนี้ถึงได้มีผู้เชี่ยวชาญการประเมินปรากฏขึ้นในโลกของผู้ฝึกฝน และผู้เชี่ยวชาญการประเมินโดยทั่วไป จะต้องไม่อธิบายแบบสุ่มสี่สุ่มห้า

จนเมื่อหลิ่วหมิงแน่ใจว่าวัสดุเหล่านี้ได้รับการยืนยันแล้ว เขาก็รีบซื้อวัสดุเสริมมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในถ้ำ

ครึ่งเดือนผ่านไป หลิ่วหมิงที่อยู่ในห้องลับกลับนั่งขัดสมาธิอยู่บนพรมด้วยสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก เขาอยู่กลางค่ายกลสีเงินจางๆ พื้นที่รอบด้านของค่ายกลมีหินจิตวิญญาณระดับกลางขนาดต่างๆ สิบกว่าก้อนฝังอยู่

ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงหลับสนิท แสงสีทองลอยอยู่เบื้องหน้า

และท่ามกลางแสงสีทองกลับมีมุกสีทองขนาดเท่ากำปั้นอยู่เม็ดหนึ่ง พื้นผิวของมันปกคลุมไปด้วยคราบโลหิตเป็นเส้นๆ และพองยุบตามจังหวะการหายใจของหลิ่วหมิง

เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้าของหลิ่วหมิงก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ขณะนี้เขาถึงค่อยๆ ลืมตาและอ้าปากพ่นโลหิตออกมา

“เพล้ง!” โลหิตบริสุทธิ์ระเบิดตัวกลายเป็นหมอกโลหิตปกคลุมมุกสีทองไว้ในนั้น

กลิ่นคาวเลือดกระจายไปทั่วห้อง!

……………………………………….