ตอนที่ 404

Crazy Leveling System

CLS ตอนที่ 404: องค์ชาย

 

สวี่เจี้ยนเหม่อมองด้วยท่าทางเซื่องเซ่อ เขาคิดว่าข้อมูลเกี่ยวกับฟีนิกซ์เปรียบได้กับฟางเส้นสุดท้าย แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะเรียกลูกฟีนิกซ์ออกมาได้อย่างง่ายดาย

 

“นี่ นี่คือฟีนิกซ์จริงๆ?” หลังจากสวี่เจี้ยนตกตะลึงอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็ร้องขอความเมตตาอีกครั้ง “ข้า ข้าจะไม่พูด ขอแค่ท่านปล่อยข้าไป หลังจากนี้ ข้าจะไม่มาสร้างปัญหาให้กับท่านอย่างแน่นอน….”

 

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนโบกมือ มังกรทั้งสองก็กระโจนเข้าไป ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของสวี่เจี้ยน จากนั้นก็เป็นจี้หลงที่นอนอยู่ใกล้ๆ ทั้งหมดต่างก็ถูกฉีกเนื้อเถือหนัง กลายเป็นเพียงกองเนื้อที่กระจัดกระจาย “มีเพียงคนตายเท่านั้น ที่เก็บความลับอยู่”

 

อี้เทียนหยุนไม่อยากจะมีปัญหาตามมา หากว่าปล่อยสวี่เจี้ยนกลับไป แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมต้องพูดทุกเรื่องออกไป ในเมื่อเขาเลือกที่จะปล่อยมังกรพวกนี้ออกมา เขาก็ตัดสินใจแล้ว ว่าจะต้องไม่เหลือพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้รอดไปได้ เขาย่อมไม่มีทางปล่อยสวี่เจี้ยนไปอย่างแน่นอน

 

จากนั้น อี้เทียนหยุนก็เก็บสัตว์เลี้ยงทุกตัวของเขา และหลังจากที่ค้นตัวพวกเขา เขาก็ทำการทำลายศพให้สิ้นซากด้วยเพลิงนิรันดร์ เพื่อไม่ให้เหลือหลักฐานทิ้งไว้ กลายเป็นเพียงขี้เถ้าที่ลอยละล่องไปตามลม

 

“ได้เวลาออกไปจากที่นี่แล้ว การเก็บเกี่ยวในคราวนี้ไม่ใช่น้อยๆ ฟีนิกซ์ตนนี้ คงต้องเอากลับไปให้ท่านน้าดูแล” อี้เทียนหยุนยิ้ม ฟีนิกซ์ในตอนนี้ยังเด็กเกินไป จำเป็นต้องใช้เวลาฝึกสักระยะ ไม่อย่างงั้นมันอาจจะถูกทำลายเอาได้

 

หลังจากจัดการเรื่องราวแล้วเสร็จ เขาก็ออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว บินออกไปข้างนอก เมื่อเขาออกมาตามทางที่พวกนั้นบุกเข้ามา เขาก็พบว่าที่นี่แท้จริงแล้วเป็นด้านในของภูเขา ยิ่งกว่านั้นยังเป็นที่ลับตามุมหนึ่ง แต่พวกเขาก็ยังอุตส่าห์หาพบ

 

โชคของพวกเขานี้นับว่าไม่เลวเลย หากว่าพวกเขาเจอเร็วกว่านี้ คงจะได้ฟีนิกซ์ไปครองจริงๆ

 

และเมื่อเขากลับไปถึงเมืองหลวง เรื่องสงครามยังคงไม่มีข่าวคราวอะไร เมืองหลวงเทียนหลงยังเป็นเช่นก่อนหน้า ไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ที่จริงเขาก็จากไปเพียงเวลาไม่นาน อย่างมากก็แค่ครึ่งวัน แน่นอนว่าสงครามย่อมไม่เกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้

 

ก่อนที่อัครเสนาบดีหลงจะโจมตี จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวก่อน ใช่บอกว่าจะบุกแล้วจะบุกได้เดี๋ยวนั้น เรื่องนี้ไม่สามารถทำอย่างเลินเล่อได้

 

“พี่ใหญ่ ท่านไปไหนมา ข้าตามหาท่านซะทั่วเลย” เพิ่งจะมาถึงราชวัง เริ่นจื่อโหรวก็เดินเข้ามา พร้อมกับถามขึ้นอย่างร้อนรน

 

“ข้าออกไปหาสมบัติมาน่ะ” อี้เทียนหยุนยิ้ม แต่ในขณะที่กำลังจะบอกกล่าวเรื่องราวนั้น เริ่นจื่อโหรวก็ได้ลากเขาเดินไปยังท้องพระโรงที่อยู่ด้านนอก

 

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะพูดเรื่องนี้ ท่านพี่มีเรื่องสำคัญจะประกาศ เขารอท่านอยู่นานแล้ว!” เริ่นจื่อโหรวไม่สนใจว่าเขาจะเอ่ยถึงสมบัติอะไร แต่พาเขาเดินไปยังด้านนอกแทน

 

“รอข้า? ข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย…..”

 

จากนั้น ภายใต้การนำของเริ่นจื่อโหรว พวกเขาก็เดินมาถึงด้านนอก ด้านนอกนี้เป็นส่วนของท้องพระโรง ทั่วทุกพื้นที่ต่างเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางจำนวนมาก คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นพวกที่สนับสนุนเริ่นหลง อี้เทียนหยุนปรายตามอง ก็พอจะกะประมาณได้คร่าวๆ ว่ามีกันอยู่ยี่สิบสามสิบคน แถมแต่ละคนยังมีระดับไม่ธรรมดา ต่างก็เป็นผู้มีระดับผันแปรวิญญาณกันทั้งนั้น

 

คนเหล่านี้คือเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลใหญ่ หรือไม่ก็เจ้าตระกูลที่เป็นขุนนางของอาณาจักรเทียนหลง ภายใต้ขุนนางเหล่านี้ ต่างก็มีตระกูลใหญ่หนุนหลัง นั่นหมายความว่า ตัวแทนของยี่สิบสามสิบตระกูลล้วนแต่รวมอยู่ที่นี่

 

ระดับอาณาจักรนั้นทรงพลังมาก ต้องรวบรวมขุมอำนาจชั้น 3 สิบยี่สิบสำนักถึงจะสามารถกลายเป็นขุมอำนาจชั้น 4

 

และในคนกลุ่มนี้ อี้เทียนหยุนก็ยังมองเห็นคนที่คุ้นเคย นั่นก็คือฮัวซีอิ่ง ฮัวซีอิ่งก็มาเข้าร่วมการประชุมในคราวนี้เช่นกัน และเมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้น สายตาของทุกคนก็มารวมกันที่ร่างของเขา ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นสายตาไม่พอใจ ไม่เห็นถึงการต้อนรับแม้แต่น้อย

 

“เจ้าหนูนี่มีเบื้องหลังอะไรกัน นานแล้วไม่ยอมมา ปล่อยให้พวกเราคอยตั้งนาน…..”

 

“เขา เขามีเบื้องหลังอะไรนั่นจริงๆ เหรอ? ดูแล้วยังเด็กนัก เขาจะมีความสามารถอะไร?”

 

“หากว่าไม่มีความสามารถ ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่ยอมรับ!”

 

สีหน้าของขุนนางบางส่วนล้วนแต่ไม่พอใจ ยิ่งกว่านั้นยังสงสัยในฐานะของเขาอย่างมาก ให้คนส่วนใหญ่ต้องมารอ ตกลงแล้วเขาเป็นใครมาจากไหนกัน

 

“พี่ใหญ่เริ่น ตกลงแล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน?” อี้เทียนหยุนรู้สึกอึดอัด เขาคิดว่าหากไม่มีเรื่องคงไม่เรียกตัวเองมาอย่างนี้

 

“เจ้าไปไหนมา?” เริ่นหลงยิ้มแล้วถามขึ้น

 

“ข้าออกไปข้างนอกมา ไม่คิดว่าท่านจะเรียกข้ามาที่นี่….” อี้เทียนหยุนรู้สึกช่วยไม่ได้

 

“ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะออกไปข้างนอกเหมือนกัน….” จากนั้นเริ่นหลงก็หันไปพูดกับคนพวกนั้นว่า “นี่คือพี่น้องร่วมสาบานของข้า จากนี้ไป เขาคือองค์ชายของอาณาจักรเทียนหลงเรา!”

 

“พี่น้องอะไรนะ พี่น้องร่วมสาบานขององค์จักรพรรดิเริ่น?”

 

พวกเขาพากันตกตะลึงโดยพลัน อยู่ๆ ก็กลายเป็นองค์ชาย ทั้งเบื้องหลังยังไม่ชัดเจน แล้วอย่างนี้จะให้พวกเขาเชื่อฟังได้ยังไง?

 

“ฝ่าบาท การที่พระองค์จะสาบานเป็นพี่น้องกับใครพวกเราไม่ปฏิเสธ แต่จะให้ยอมรับคนที่ไม่รู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นองค์ชาย พวกเรารับไม่ได้ ตำแหน่งนี้มีอำนาจมากเกินไป สามารถสั่งการขุมพลังส่วนใหญ่ของอาณาจักรเทียนหลงได้ การจะมอบตำแหน่งนี้ให้เขา ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง!” ขุนนางที่เดินออกมานี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือเจ้าตระกูลสวี่ สวี่เหวินหลง

 

เพียงแค่มอง อี้เทียนหยุนก็สามารถเห็นว่าเขามีความคล้ายกับสวี่เฟยอยู่มาก เห็นได้ชัดว่านี่คือพ่อกับลูกกัน

 

“ใช่ ด้วยตำแหน่งที่สำคัญเช่นนี้ หากไม่สามารถให้พวกเราเชื่อใจได้ พวกเขาไม่ยอมรับ” จากนั้นก็มีขุนนางอีกคนก้าวออกมา พวกเขาล้วนแต่ซื่อสัตย์และภักดีต่อเริ่นหลง แต่ใช่ว่าจะสนับสนุนทุกอย่างที่เริ่นหลงทำ หายไปหลายปี เพิ่งกลับมาก็แต่งตั้งอี้เทียนหยุนเป็นองค์ชาย นี่มันออกจะประมาทเกินไปแล้ว

 

อี้เทียนหยุนที่ได้ฟังก็ตกใจเช่นกัน จะให้เขาเป็นองค์ชาย นี่มันเรื่องใหญ่เกินไปแล้ว ต้องรู้ว่าอำนาจขององค์ชายนั้นใหญ่มาก กระทั่งสูงกว่าฐานะของเริ่นจื่อโหรวด้วยซ้ำ

 

นอกจากพวกเขาแล้ว คนอื่นก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน

 

เริ่นหลงเผชิญกับการคัดค้านของพวกเขาก็ไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด การให้คนที่ไม่รู้จักขึ้นเป็นองค์ชาย เป็นใครก็ย่อมไม่พอใจด้วยกันทั้งนั้น

 

“พวกเจ้าคัดค้าน งั้นจะต้องให้ทำยังไง พวกเจ้าถึงจะยอมรับเขา?” เริ่นหลงพูดขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน

 

“พวกเราไม่คุ้นเคยกับเขา ยิ่งกว่านั้นความดีความชอบอะไรก็ยังไม่มี แล้วอย่างนี้จะให้พวกเราเชื่อฟังเขาได้ยังไง?”

 

“ใช่! เรื่องความสามารถก็เช่นกัน หากว่าไม่แข็งแกร่ง แล้วจะนั่งในตำแหน่งนี้เช่นไร?”

 

“ฝ่าบาท หากว่าไม่มีเหตุผลพอให้พวกเรามั่นใจ พวกเราไม่อาจยอมรับ!”

 

สีหน้าของพวกเขาล้วนแต่ยืนกรานปฏิเสธ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ชักจูงได้ พวกเขาแน่นอนว่าไม่ยอมรับที่อี้เทียนหยุนจะเป็นองค์ชาย

 

“เขาช่วยข้าออกมา แค่นี้ยังไม่พอเหรอ? หากไม่มีเขา ข้าก็ไม่สามารถออกมาจากถ้ำมังกรขดได้” เริ่นหลงกล่าวออกมาเบาๆ

 

ผู้คนพากันตกใจ จากนั้นก็มองไปยังอี้เทียนหยุนด้วยความตื่นตระหนก ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมีความสามารถขนาดนั้น?

 

“แต่ แต่ว่าหากไม่มีบารมี แล้วจะสั่งการผู้คนได้ยังไง….” บางคนยังไม่อาจยอมรับ แค่ช่วยชีวิตเริ่นหลง แล้วจะให้อีกฝ่ายเป็นองค์ชายทั้งอย่างนี้เลยอย่างงั้นเหรอ?

 

แล้วเหล่าผู้คุ้มกันที่ช่วยชีวิตองค์หญิงล่ะ พวกเขาคงไม่อาจกลายเป็นพระพันปีได้ใช่ไหมล่ะ?

 

เริ่นหลงขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้ บารมีของเขาคงตกลงไปมาก

 

นัยน์ตาของเริ่นจื่อโหรวกลอกไปมา จากนั้นก็พูดกับอี้เทียนหยุนด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่ งั้นท่านก็แสดงพลังของท่านออกมาสิ เอาให้พวกเขาตกใจไปเลย!”

 

เริ่นหลงมองไปยังน้องสาวของตนอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าน้องสาวของตนคิดจะทำอะไร

 

อี้เทียนหยุนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับก้าวออกไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็ยื่นมือออกไป พร้อมกับปรากฏเกราะป้องกันขึ้นปกคลุมร่างกายเขา 1 ชั้นในพริบตา พลังนี้เป็นพลังมังกรสวรรค์ที่พวกเขาคุ้นเคย ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็พากันตะลึง

 

เริ่นหลงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เพราะเรื่องนี้ เริ่นจื่อโหรวยังไม่บอกให้เขาได้ฟัง

 

เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของคนพวกนี้ เริ่นจื่อโหรวก็หัวเราะคิกคักออกมา ผลลัพธ์นี้แหละที่เธออยากเห็น อยากจะเห็นนักใช่ไหม คราวนี้เป็นไงล่ะ ต่างก็พากันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจกันทั้งนั้น

 

ต้องรู้ว่าผู้ที่สามารถควบคุมสมบัติลับเทียนหลงได้ คือผู้ที่มีสิทธิ์ขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิ หรือไม่ก็ผู้สืบทอดคนต่อไป!