ภาคที่ 1 บทที่ 95 ทำลายความสัมพันธ์ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 95 ทำลายความสัมพันธ์ (2)

น้ำสมุนไพรสีเขียวหยกที่เปี่ยมด้วยพลังชีวิตเทลงบนใบหน้าของหยานหวู่ชวง ช่วยรักษาบาดแผลของนาง แต่สีหน้าของหยานหวู่ชวงกลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวราวกับว่ามันเป็นยาพิษ

นางตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง “ไม่ ไม่ ! ”

แต่ไม่ว่าหยานหวู่ชวงจะดิ้นรนอย่างไร นางก็ไม่สามารถหลบหนีจากมือของซูเฉินไปได้เลย

ซูเฉิงอันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าซูเฉินจะกล้าเพิกเฉยต่อเขา สีหน้าของซูเฉิงอันจึงเปลี่ยนไปเช่นกัน

มันกล้าดียังไง ? มันทำอย่างนั้นได้อย่างไร ?

ซูเฉินเป็นลูกชายของเขา แต่มันกลับกล้าที่จะต่อต้านเขาจริง ๆ !

ลุง !

มันเรียกเขาว่าลุงจริง ๆ !

เจ้าลูกชายอกตัญญูคนนี้ !!!

ซูเฉิงอันแทบจะเป็นบ้า

ซูเฉินโยนขวดยาทิ้งไป จากนั้นเขาก็ลุกยืนขึ้นและเดินออกไป

เด็กหนุ่มไม่ได้แม้แต่จะสนใจซูเฉิงอันแต่อย่างใด

เมื่อเห็นซูเฉินจากไปทั้ง ๆ แบบนั้น ความขุ่นเคืองในใจของซูเฉิงอันก็พุ่งสูงขึ้น

“เจ้าลูกอกตัญญู ! ” ทันใดนั้นซูเฉิงอันก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง ขณะที่เขาฟาดฝ่ามือตรงไปที่หลังของซูเฉิน

ซูเฉิงอันเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิต เมื่อฝ่ามือนี้ฟาดลงไปที่หลังของซูเฉิน มันก็ทำให้เขากระอักเลือดออกมา และส่งเขาลอยไปกระแทกเข้ากับกำแพงของเรือนน้ำหอมสีน้ำเงิน ทำให้กำแพงทั้งหมดพังทลายลง

“ลูกอกตัญญู กล้าต่อต้านคำสั่งของพ่อ ไม่มีประโยชน์อะไรให้เก็บเจ้าไว้แล้ว ! ” ซูเฉิงอันกล่าวอย่างเด็ดขาด

เขายกมือขึ้นและฝ่ามือก็พุ่งเข้าใส่ซูเฉินอีกครั้ง

ซูเฉิงอันตั้งใจที่จะฆ่าซูเฉินจริง ๆ เขาไม่ได้รั้งมือไว้เลยแม้แต่น้อย เงาเสือที่ดุร้ายปรากฏขึ้นพร้อมเสียงคำรามด้วยความโกรธและพุ่งเข้าหาซูเฉิน

ซูเฉินไม่ได้ตอบโต้กลับ เขาปล่อยให้เสือที่ดุร้ายตะปบกรงเล็บของมันลงที่หน้าอกของตน และส่งเขาลอยกระแทกทะลุกำแพงไป 3 ชั้นติดก่อนจะหยุดลง

ซูเฉินก้มศีรษะลงและเห็นว่าเสื้อของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้แต่กระจกพิทักษ์ใจก็ยังเกิดรอยยุบขนาดใหญ่

หากไม่มีกระจกพิทักษ์ใจ ฝ่ามือสุดท้ายเมื่อครู่คงจะพรากชีวิตของซูเฉินไปแล้ว

ถึงกระนั้นซูเฉินก็ยังคงนิ่งและไม่ได้เคลื่อนไหวเลย เขาทำเพียงแค่จ้องมองพ่อของเขาอย่างเย็นชาเท่านั้น

การลงมือครั้งนี้ทำลายร่องรอยของความสัมพันธ์สุดท้ายระหว่างพ่อกับลูกโดยสมบูรณ์

ซูเฉิงอันค่อนข้างประหลาดใจที่เขาไม่สามารถฆ่าซูเฉินได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ขณะเดียวกันความตั้งใจในการฆ่าของเขาก็ลดลงเล็กน้อย แต่ทว่าสายตาที่เย็นชาของซูเฉินก็ทำให้ซูเฉิงอันโกรธขึ้นมาอีกครั้ง

“เจ้ากล้าจ้องหน้าข้าอย่างงั้นรึ ? คนตาบอดอย่างเจ้า กล้าที่จะจ้องหน้าข้า ? ข้าจะฆ่าเจ้าซะ ไอ้ตัวบัดซบ ! ”

ซูเฉิงอันโจมตีอีกครั้ง พยัคฆ์เพลิงคำรามทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและพุ่งตรงออกไปพร้อมกับเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ

เห็นได้ชัดว่าเขาปล่อยให้ไม่มีช่องว่างสำหรับความผิดพลาด และพยายามที่จะสังหารให้จบในการโจมตีนี้

อย่างไรก็ตามครั้งนี้ซูเฉินไม่ได้นั่งรอความตายอยู่กับที่ เขาเคลื่อนไหวและเปิดใช้งานทักษะผู้พิทักษ์แห่งเม็กของเขา การป้องกันของ ผู้พิทักษ์แห่งเม็ก 3 ชั้นซ้อนทับกันรอบตัวเขา

ตูม !

การโจมตีของซูเฉิงอันปะทะเข้ากับโล่ และส่งผลให้การป้องกันทั้ง 3 แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่เขายังไม่สามารถทำร้ายซูเฉินได้เลยสักนิด

ซูเฉินเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของพ่อของเขาอย่างชัดเจน

“เจ้ากล้าขวางการโจมตีจากข้างั้นหรือ ! ” ซูเฉิงอันรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก “เจ้าลูกอกตัญญู วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า ! ”

เงาพยัคฆ์เพลิงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ปกคลุมเกือบครึ่งของเรือนน้ำหอมสีน้ำเงิน ซูเฉิงอันแสดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิต

อย่างไรก็ตามในขณะที่พยัคฆ์เพลิงกำลังจะพุ่งลงมา ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “พอ ! ”

มือของซูเฉิงอันหยุดชะงักลง เขาไม่สามารถปล่อยการโจมตีนี้ออกไปได้เลยแม้แต่น้อย

ไม่ไกลนัก ซูฉางเช่อเอามือไพล่หลังเดินตรงมาทีละก้าว

ด้านหลังของซูฉางเช่อคือผู้อาวุโสกลุ่มใหญ่ของตระกูลซู

จากขนาดของความปั่นป่วนในครั้งนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ดึงดูดสมาชิกจำนวนมากของตระกูลมายังที่แห่งนี้

พวกเขาทั้งหมดมองไปที่ซูเฉินกับซูเฉิงอัน จากนั้นก็เริ่มคุยกันอย่างเงียบ ๆ

“ท่านพ่อ ? ” ซูเฉิงอันตะลึงงัน

ใบหน้าของซูฉางเช่อดูเคร่งขรึมอย่างมาก “อะไร ? ถ้าข้าไม่มา เจ้าจะทุบตีลูกชายของตัวเองให้ตายเลยใช่ไหม ? ”

“ท่านพ่อ ! ” ซูเฉิงอันรีบพูดขึ้นอย่างกังวล “ไอ้เด็กไม่รักดีนี้มันดื้อรั้นไม่เชื่อฟังคำพ่อ มันโหดเหี้ยม หยิ่งผยองไม่ยอมเคารพผู้อาวุโส ทั้งยังไม่เห็นใครอยู่ในสายตาของมันด้วย”

ซูเฉินกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ข้าตาบอด มันก็ย่อมไม่มีใครอยู่ในสายตาของข้าอยู่แล้ว”

“ดูมันสิ มันยังกล้าที่จะเถียงกลับอีก” ซูเฉิงอันโกรธมากจนตัวสั่น

“หุบปาก ! ” ทันใดนั้นซูฉางเช่อก็ตะโกนขึ้น “เจ้าก่อปัญหาพอหรือยัง ? ”

“ข้า ? ” ซูเฉิงอันตกอยู่ในความงุนงง

เขาไม่ได้คาดคิดว่าซูฉางเช่อจะโกรธเขาในทันทีทันใด ซูเฉิงอันนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้พยายามก่อปัญหา แต่เป็นไอ้เด็กนี้ต่างหากที่พยายามสร้างปัญหา มันไม่มีสิทธิ์ในการดำเนินการตามกฎของตระกูล แต่มันกลับถือดีกล้าลงมือทุบตีหลานจื่อตาย แล้วยามนี้ยังกล้าทำลายใบหน้าของหวู่ชวงอีก … ”

“แค่คนรับใช้เพียง 2 คน มันคุ้มค่ากับความโกรธแค้นนี้ของเจ้าแล้วหรือ ? ” ซูฉางเช่อถามอย่างสบาย ๆ

คนรับใช้ 2 คน ?

ซูเฉิงอันตกตะลึง จากนั้นเขาก็จำได้ว่าหยานหวู่ชวง … ได้กลายเป็นเพียงคนรับใช้ไปแล้ว

นางไม่ใช่ท่านหญิงสี่ตั้งนานแล้ว !

ซูฉางเช่อพูดต่ออย่างช้า ๆ “ซูเฉินไม่มีสิทธิ์ในการใช้กฎของตระกูลเพื่อทุบตีคนรับใช้ให้ตาย แต่เจ้ามีสิทธิ์ที่จะฆ่าซูเฉินได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการเช่นนั้นหรือ ? ”

“ข้า … ” ซูเฉิงอันพูดไม่ออก

ซูฉางเช่อพูดต่อ “แม้ว่าเจ้าจะไม่คิดว่ามันเป็นลูกชายของเจ้าแล้ว แต่ข้ายังไม่เคยบอกเลยสักครั้งนะว่า ข้าคิดว่ามันไม่ใช่หลานชายของข้า”

ซูเฉิงอันจ้องมองไปที่ซูฉางเช่ออย่างไม่เชื่อสายตา

ซูฉางเช่อกล่าวเช่นนั้น ?

ต้องรู้ก่อนว่าไม่ใช่แค่ซูเฉิงอันเท่านั้นยอมแพ้ในตัวของซูเฉิน แต่ตัวซูฉางเช่อเองก็มีความตั้งใจเช่นเดียวกัน !

ไม่มีใครคาดหวังกับอนาคตของคนตาบอด

หากไม่ได้รับความยินยอมจากซูฉางเช่อหรือการสนับสนุนอย่างลับ ๆ ซูเฉิงอันจะไม่สนใจซูเฉินได้อย่างไร ?

แน่นอนว่าการยอมแพ้กับการตีกรอบใครสักคนนั้น มันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ซูฉางเช่อกับซูเฉิงอันต่างก็ตั้งใจที่จะยอมแพ้ในตัวซูเฉินไม่ใช่ทำร้ายเขา ซูชิงเป็นคนที่ไม่มีความสามารถเป็นของตัวเอง และไม่ได้คว้าเป้าหมายมาด้วยตนเองมันเกิดจากการแทรกแซงของซูเค่อจี่ หยานหวู่ชวงเองก็โลภเกินไปและไม่รู้จักที่จะอดทนอดกั้น นางยังคงยั่วยุซูเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของซูฉางเช่อหรือซูเฉิงอัน แต่ในทางกลับกันเพราะการยอมแพ้ในตัวซูเฉินของพวกเขา มันทำให้คนอื่นมีความมั่นใจที่จะลงมือการจัดการกับซูเฉิน

มองจากมุมนี้ ก็นับได้ว่าพวกเขามีส่วนเติมเชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟ พวกเขาไม่สามารถหลบหนีจากอาชญากรรมที่เกิดจากความไม่ใส่ใจของตัวพวกเขาเองได้

ตอนนี้ซูฉางเช่อกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ “แม้ว่าเจ้าจะไม่คิดว่ามันเป็นลูกชายของเจ้าแล้ว แต่ข้ายังไม่เคยบอกเลยสักครั้งนะว่า ข้าคิดว่ามันไม่ใช่หลานชายของข้า” ทัศนคติที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของพ่อเขา มันเกินความคาดหมายของซูเฉิงอันอย่างมาก

ซูเฉิงอันมองไปที่พ่อของเขา แต่ซูฉางเช่อไม่ได้สนใจเขาและหันไปมองซูเฉิน “ดูเหมือนว่าเจ้า กำลังวางแผนที่จะไปที่เทือกเขาสีเลือดอีกครั้ง ? ”

เมื่อซูฉางเช่อพูดอย่างนี้การแสดงออกของทุกคนก็เปลี่ยนไป

ซูฉางชิงกล่าวว่า “ท่านจะปล่อยให้มันไปที่เทือกเขาสีเลือดไม่ได้อีก ! ”

“ใช่ มันกระทำการนอกเหนืออำนาจและทุบตีผู้อื่นจนตาย แม้ว่ามันจะเป็นแค่คนรับใช้ แต่มันก็ยังมากเกินไป ท่านไม่สามารถปล่อยให้มันหนีไปได้ง่าย ๆ แบบนั้น”

ผู้คนจำนวนมากเริ่มโห่ร้องออกมา

ซูเฉินไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาเพียงแค่ยิ้มเบา ๆ “กฎของตระกูลซูกล่าวว่าตราบเท่าที่พวกเขาสมัครใจไปที่เทือกเขาสีเลือด มันก็สามารถใช้แทนการลงโทษในรูปแบบอื่น ๆ ได้ แน่นอนว่าถ้าพวกท่านต้องการจะเปลี่ยนแปลงกฎนี้คงไม่ใช่ปัญหา ข้าเองก็จะเห็นนักว่าตระกูลซู จะยอมเปลี่ยนกฎเพื่อจัดการกับผลประโยชน์ของข้าอีกกี่ครั้ง”

ตระกูลซูที่ยิ่งใหญ่ ได้เปลี่ยนกฎเพื่อจำกัดผลประโยชน์ของซูเฉินเพียงคนเดียวถึง 2 ครั้งแล้ว

ถ้าพวกเขาเปลี่ยนกฎบทลงทัณฑ์สีเลือดเพราะซูเฉินอีก มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกไปจริง ๆ

ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ซูฉางเช่อไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น

เขากล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าตั้งใจที่จะไปแล้วก็ไปเถอะ แล้วเจ้าคิดจะไปนานแค่ไหนกัน ? ”

ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “สัก 150 วันเป็นอย่างไร ? ”

“ได้ ! เช่นนั้นก็ 150 วัน” ซูฉางเช่อตอบ

ทุกคนต่างมองหน้ากันเอง พวกเขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

มันถูกเรียกว่าบทลงทัณฑ์สีเลือด แต่ทำไมดูจากทัศนคติของพวกเขาราวกับว่ามันเป็นวันพักร้อนสีเลือดแทนกัน ?

ซูเฉิงอันรู้สึกขมขื่น “ท่านพ่อ มันทำลายใบหน้าของหยานหวู่ชวง ! นางเป็นแม่ของฮาวเอ่อร์ หลังจากนี้หวู่ชวงจะสู้หน้าลูกชายของนางได้อย่างไร ? ”

ซูฉางเช่อกล่าวอย่างเย็นชา “นางก็เป็นเพียงแค่คณิกาผู้หนึ่งจากหอวสันต์จันทราเท่านั้น ถึงจะถูกทำลายใบหน้า แล้วจะมีอะไรให้น่าเสียดายกัน ? ”

เพียงแค่ประโยคนั้นประโยค ทำให้สีหน้าของหยานหวู่ชวงกับซูเฉิงอันเปลี่ยนสีไปพร้อม ๆ กัน

ซูฉางเช่อกล่าวต่ออีกว่า “นางคณิกาที่ถูกทอดทิ้งถึงกับกล้าแพร่ข่าวลือและใส่ร้ายตระกูลช่างบ้าบิ่น ! ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเจ้าหมกมุ่นอยู่แต่กับสตรีเพศและเอาแต่ทำเรื่องโง่ ๆ มากมายไปหมด ข้าว่าคงจะมีคนอีกมากโข่ที่บ้าจี้ถูกผู้หญิงคนนั้นยุยง เฉินเอ่อร์ทำลายนางก็นับเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว หากมันไม่ลงมือ ข้าก็คงจะเป็นผู้ลงมือเอง ! ”

เมื่อหยานหวู่ชวงได้ยินเช่นนั้น นางก็ทิ้งตัวนั่งลงไปกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง

คำพูดของซูฉางเช่อเท่ากับการกำหนดชะตากรรมอนาคตในตระกูลซูของนางอย่างสมบูรณ์

หลังจากพูดสิ่งนี้ซูฉางเช่อก็หันกลับโดยไม่สนใจซูเฉิงอันอีก เขาพูดขึ้นกับซูเฉิน “เจ้าตามข้ามา”

ในขณะที่พูดซูฉางเช่อก็เดินไปอีกทางหนึ่งโดยมีซูเฉินตามไปด้านหลัง

ทุกคนที่เหลือมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรดี และท้ายที่สุดพวกเขาก็แยกย้ายกันไป

“สามี ! ” หยานหวู่ชวงร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง

ซูเฉิงอันมองไปที่หยานหวู่ชวง มองไปที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเธอ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขยะแขยง ซูเฉิงอันโบกแขนเสื้อของเขาปัดหยานหวู่ชวงลงไปกองกับพื้น แล้วจากไป