“ตาย!” จิ่วเยี่ยกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
เดิมทีผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบที่ได้สาธยายความเป็นมาของสำนักตนนั้น คิดว่าจะสามารถทำให้บุรุษชุดดำเยือกเย็นผู้นี้ล้มเลิกที่จะปกป้องมู่เฉียนซี แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะได้การตัดสินด้วยโทษตาย
“ช่างเหมือนกับสาวน้อยผู้นั้นจริง ๆ ไม่รู้ว่าอะไรควรมิควร!” ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบกล่าวอย่างเคร่งขรึม นัยน์ตาของเขาส่องประกายความโหดเหี้ยมออกมา!
“ฆ่าชายผู้นั้นเสีย! ส่วนหญิงผู้นั้นจับเป็น หากทำให้นางพิการก็ไม่เป็นปัญหาอะไร”
แม้นางจะมีพันธสัญญากับหม้อเทพนิรันดร์ ขอเพียงแค่ยังมีลมหายใจก็เพียงพอแล้ว จะทรมานนางอย่างไรก็ได้ พวกนั้นกลับกล้ากล่าวต่อหน้าจิ่วเยี่ยว่าจะทำให้มู่เฉียนซีพิการ คลามกล้าของคนเหล่านี้ช่างน่านับถือจริง ๆ
ทันใดนั้น พลังแห่งความเยือกเย็นพลันปรากฏขึ้นมารอบด้าน พื้นที่โดยรอบเปลี่ยนกลายเป็นสภาพที่เงียบสงัดน่าหวาดกลัว
“อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังลอยมา
“มือข้า! ขะ… ขาของข้า! อ๊ากกกกกก!”
เหล่าศิษย์ระดับจักรพรรดิที่ไล่ตามมาเหล่านั้น บัดนี้ร่างกายของพวกเขาเริ่มกลายเป็นกระดูกสีขาวแล้ว
ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบกล่าวขึ้น “ชายผู้นี้ประหลาดนัก รีบใช้พลังชีวิตป้องกันร่างกายเร็วเข้า!”
ยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อต้านทานมิให้ตนเองนั้นกลายเป็นกระดูกสีขาว แต่ทว่ายอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิเหล่านั้น กลับแตกสลายกระบวนทัพไปทั้งหมดด้วยวิธีการอันแปลกประหลาดของจิ่วเยี่ย
คนที่เมื่อครู่นี้ยังมีชีวิตอยู่ บัดนี้ได้กลายเป็นโครงกระดูกสีขาวไปหลายโครง พวกเขานั้นรู้สึกราวกับว่านี่เป็นดั่งฝันร้าย แผ่นหลังของพวกเขาในเวลานี้ล้วนชุ่มฉ่ำไปทั่ว พวกเขาเบิกตาโพลง มองไปที่ชายชุดดำผู้นั้นด้วยความกลัวอย่างที่สุด นี่มันเป็นวิชามารอะไรกัน ? สิ่งที่เจ้าสำนักไร้ค่านั้นกล่าวล้วนแต่เป็นเรื่องจริงทั้งหมด
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แปลกประหลาดเช่นนี้ จะยอมแพ้หรือไม่ยอมดี ?
มิได้! เด็กสาวนั่นมีหม้อเทพนิรันดร์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองสู้กันสักตั้ง
“สร้างค่ายกล! สู้ตาย!”
“ขอรับ!” ความดึงดูดใจของหม้อเทพนิรันดร์นั้นช่างน่าตกตะลึง เห็นกันอยู่ว่าชายผู้ที่อยู่ตรงนี้น่ากลัวมากเพียงใด แต่พวกเขากลับยังไม่ยอมที่จะปล่อยวาง
ที่ตรงหน้านั้นมียอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิหลายสิบคนที่ร่างกายของพวกนั้นมีพลังชีวิตและพลังวิญญาณพุ่งพล่านออกมาอย่างใหญ่หลวง
ยอดฝีมือระดับนี้สร้างค่ายกลขึ้นมา ในเพียงชั่วพริบตา พลังในการต่อสู้ของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้นมา
มู่เฉียนซีดึงตัวจิ่วเยี่ยเอาไว้พร้อมกล่าวอย่างห่วงใย “จิ่วเยี่ย จะไม่มีปัญหาแน่หรือ ?”
มู่เฉียนซีรู้ว่าจิ่วเยี่ยนั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งเสียจนถึงขั้นที่นางยากจะจินตนาการได้ แต่ทว่าพลังส่วนมากของเขาถูกใช้ไปกับการยับยั้งคำสาปนั้น หากทันทีที่เขาใช้พลังมากเกินไป เกรงว่าจะทำให้คำสาปนั้นระเบิดออกมาอีก นางมองออก สำหรับระดับจักรพรรดิแล้ว เขาสามารถจัดการได้โดยเพียงแค่ดีดนิ้วนิ้วเดียว แต่กับระดับมหาจักรพรรดิที่สร้างค่ายกลและมีพลังมากขึ้นเป็นหลายสิบเท่า หากคิดที่จะต่อกรด้วยคงไม่ง่ายดาย
“เรื่องเล็กน้อย” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงเรียบ เขาไม่ทุกข์ร้อนเลยขณะกระชับกอดมู่เฉียนซีเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง จากนั้นก็ได้กลายร่างเป็นเงาสีดำจาง ๆ
“ให้ตายเถอะ! พวกนั้นจะหนีไปแล้ว รีบรั้งเอาไว้!” ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบร้องตะโกน
อันที่จริงแล้วจิ่วเยี่ยนั้นไม่ได้คิดที่จะหนีไปไหน เพียงแต่จะนำเอามู่เฉียนซีไปไว้ในที่ปลอดภัยก็เท่านั้น เขาเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ หูของนาง “ไม่นานหรอก เจ้าทนหน่อย”
“อืม ระวังตัวด้วย” มู่เฉียนซีกล่าว
— ฟึ่บ! —
เงาร่างของจิ่วเยี่ยกะพริบผ่านไป เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลิ่นอายที่น่ากลัว จึงทำให้พวกเขานั้นเกือบรักษากระบวนค่ายกลเอาไว้ไม่อยู่
พวกเขากล่าว “อย่าไปกลัว! ให้เขาเข็งแกร่งไปมากกว่านี้ อย่างมากก็เป็นแค่เพียงระดับมหาจักรพรรดิเท่านั้น มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไรนัก!”
หลังจากที่พวกเขารวบรวมสมาธิได้แล้ว พวกเขาก็เริ่มต่อสู้อีกครั้ง
— ตูม! —
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ที่บนพื้นนั้นได้กลายเป็นหลุมลึกลงไปเหมือนหุบเหวขึ้นมาหลุมหนึ่ง มู่เฉียนซีรู้จักท่านั้น นั่นก็คือพลังตี้ซวน
แน่นอนว่าพลังตี้ซวนเมื่อถูกจิ่วเยี่ยใช้การ พลังของมันน่ากลัวอย่างแท้จริง “พรวด!”
การโจมตีด้วยพลังตี้ซวนเพียงครั้งเดียวของจิ่วเยี่ย ทำให้พวกเขาล้วนกระอักเลือดออกมาพร้อมกัน โชคดีที่ร่างกายของพวกนั้นไม่ได้มีรูปร่างที่ผิดประหลาดไปจากเดิม
ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบแค่นเสียงกล่าว “สู้ตาย! เขามันก็เป็นเพียงมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับต่ำผู้หนึ่งเท่านั้น พวกเราเปิดผนึกออกไปจะต้องฆ่าเขาได้แน่”
ทันใดนั้นพลังอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดพุ่งมาทางจิ่วเยี่ย!
*— ตูม! ตูม! ตูม! —*แต่การโจมตีนั้นกลับถูกพลังบางอย่างเข้ามาขัดขวางเอาไว้ และไม่อาจเข้าไปใกล้จิ่วเยี่ยได้เลยแม้แต่น้อย
— ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก! —
พวกเขาเบิกตากว้าง ชายผู้นี้น่ากลัวกว่าที่พวกเขาได้จินตนาการเอาไว้มาก ดูเหมือนไม่ว่าพวกเขาจะทำเช่นไร ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ทำได้แต่เพียงรอถูกเชือด
หนี! หากว่าตอนนี้จะหนียังทันอยู่หรือไม่ ? ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบลังเลอยู่ว่าจะหนีหรือไม่ และในตอนนี้เอง พลังอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถถล่มฟ้าทลายดินได้ ร่วงหล่นลงมา นั่นคือพลังเทียนซวน!
— ตูม! —
เสียงดังกึกก้องกัมปนาท ไม่นานนักก็เห็นกลุ่มคนชุดขาวเหล่านั้นลอยขึ้นไปกลางอากาศ และร่วงหล่นลงมาอย่างอิสระ
มู่เฉียนซีเองก็มีสีหน้าตกตะลึง การโจมตีด้วยพลังตี้ซวนและพลังเทียนซวนอย่างละครั้ง จิ่วเยี่ยก็สามารถจัดการคนเหล่านี้ของหุบเขาหมอเทวดาได้อย่างราบคาบแล้ว ถ้าหากว่านางฝึกฝนจนเก่งกาจได้เช่นนั้น การบุกเข้าไปทำลายหุบเขาหมอเทวดาก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด จิ่วเยี่ย… เขาแข็งแกร่งเกินไป!
มู่เฉียนซีเหลือบมองจิ่วเยี่ย และพบว่าเขานั้นไม่ได้ใช้พลังมากจนเกินไปด้วยซ้ำ คำสาปอยู่ในการควบคุมและไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นกับเขาเลย
“พรวด! พรวด! พรวด!”
“พรวดดดด!” ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบกระอักเลือดออกมารัว ๆ เขาโกรธกรุ่นอย่างที่สุด
เขาจะไม่ยอม! เหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นก็จะได้หม้อเทพนิรันดร์มาแล้ว เป็นเพียงเพราะมีชายแปลกประหลาดผู้หนึ่งโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน และทำให้พวกเขานั้นสูญสิ้นกำลังคนไปทั้งหมด ไม่ยอม… ไม่ยอมอย่างแน่นอน ถึงแม้ต่อให้ต้องตายก็จะต้องลากเด็กสาวผู้นั้นตายไปด้วยกัน
นางมีหม้อเทพนิรันดร์อยู่ ถ้าหากว่านางไม่ตาย หากให้เวลานางเติบโตสักสิบปี หากนางลงมือล้างแค้นหุบเขาหมอเทวดาของเขาละก็ เช่นนั้นวันสุดท้ายของหุบเขาหมอเทวดาของพวกเขาก็จะอยู่อีกไม่ไกลนัก
ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบซื่อสัตย์ต่อหุบเขาหมอเทวดาอย่างไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้ เพื่อที่จะปกป้องหุบเขาหมอเทวดา แม้ว่าเขาจะต้องตายเป็นร้อยครั้งก็มิเสียดายชีวิต
เขากลืนยาเม็ดลงไปเม็ดหนึ่ง จากนั้นพลังลมปราณและพลังวิญญาณที่ได้ใช้หมดแล้ว ก็ได้ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมดอีกครั้ง
— ฟึ่บ! —
ร่างของเขาพุ่งตรงไปที่มูเฉียนซีดั่งกระสุนปืนใหญ่ คิดที่จะระเบิดนางให้เป็นจุนไปด้วยกัน! มู่เฉียนซีนั้นรู้สึกได้ถึงพลังที่ครอบฟ้ากดดันแผ่นดินที่กำลังวิ่งตรงมาทางตนอย่างรวดเร็ว การพลีชีพของผู้ที่เป็นระดับมหาจักรพรรดิผู้หนึ่งนี้ มิใช่ว่านางไม่คิดที่จะหลบหลีกออกไป แต่เป็นเพราะว่านางนั้นไม่สามารถที่จะหลบออกไปได้
ในตอนนี้เอง จิ่วเยี่ยปรากฏกายขึ้นที่ด้านหน้าของนาง
“จิ่วเยี่ย!” สีหน้าของมู่เฉียนซีเปลี่ยนไปทันใด
จิ่วเยี่ยเพียงยกมือขึ้นเบา ๆ เพื่อจับแขนของผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบเอาไว้ พลังที่บ้าคลั่งของเขาก็ถูกบีบบังคับให้ลดหลั่นกลับไปเสียอย่างนั้น
และมือทั้งสองข้างของเขาผู้นั้น ก็ได้กลายเป็นกระดูกสีขาวไปทุกระเบียดนิ้ว! — ปัง! —
— แกรก! —
เมื่อจิ่วเยี่ยขยับมือ แขนที่ได้กลายเป็นกระดูกสีขาวท่อนนั้นก็แตกสลายไป ร่างของผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบถูกจิ่วเยี่ยผลักทิ้งด้วยความรังเกียจ
ภาพฉากที่น่าสะพรึงกลัวก็ได้จบลงไปเช่นนี้
ผู้อาวุโสที่สามมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นบุคคลระดับมหาจักรพรรดิผู้หนึ่ง แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งการระเบิดทำลายตัวเองจากคนระดับเดียวกันได้สบายมือเช่นนั้น หรือว่า… บุรุษชุดดำผู้นั้นเป็นบุคคลระดับเสาหลักปรมาจารย์ แต่บนโลกใบนี้… ในทั้งใต้หล้านี้… ไม่มีระดับขั้นเช่นนั้นอยู่มิใช่รึ ?
“ไม่เป็นไรแล้ว” จิ่วเยี่ยมองไปยังมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซี “อะ… อืม… ว่าแต่เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ?”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
ถ้าหากเป็นเรื่องเล็กน้อยจริง การผนึกคำสาปเอาไว้ก็จะเบามือลงไปบ้าง ไม่เป็นปัญหาใหญ่นัก แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ อันที่จริงก็ทำให้นางกังวลใจเช่นกัน ถ้าหากว่าคำสาปนั้นเกิดหลุดจากการผนึกออกมาอย่างกะทันหัน นางนั้นคงจะเอาไม่อยู่
เมื่อถึงเวลานั้น การเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่ใกล้ชิดกับเขา ถึงแม้ว่านางจะไม่ต้องตาย แต่ก็คงจะเป็นดั่งที่จื่อโยวต้องการ นางคงจะถูกกลืนกินเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนั้น…
“คนเหล่านี้ เจ้ามาจัดการเอาเอง” จิ่วเยี่ยกล่าวพลางเหลือบมองคนของหุบเขาหมอเทวดาเหล่านั้นอย่างเย็นชา
พวกเขาไม่เหลือพลังใดในการต่อสู้อีกต่อไปแล้ว
มู่เฉียนซีสุ่มหยิบพิษบางชนิดขึ้นมาและให้คนพวกนั้นดูให้ชัดเจน นางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว”
.