บทที่ 91 มู่หรงเสวี่ยถูกลักพาตัว

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 91
มู่หรงเสวี่ยถูกลักพาตัว

นี่เป็นตอนกลางคืนและไม่มีใครอยู่ตรงบริเวณที่จอดรถ มีเพียงไฟสลัวๆและทั้งลานจอดรถก็เงียบสงัด

มู่หรงเสวี่ยและเย่เฟิงเข้าไปจอดเหมือนปกติ หลังจากที่ ล็อกรถแล้วพวกเขาก็กำลังจะเดินไปที่ลิฟต์แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี เพราะอยู่ดีๆก็มีชายสามคนเข้ามาหยุดเย่เฟิงไว้ ส่วนอีกสองคนเข้ามาจับมือและขาเธอไว้พร้อมด้วยผ้าอะไรบางอย่างมาปิดจมูกและปากเธอไว้ หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็สลบไป แต่ก่อนที่เธอจะสลบเธอเกิดแวบความคิดขึ้นมา ไม่นะ!

เย่เฟิงมีฝีมือในการต่อสู้ โชคไม่ดีที่อีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่า เขาพยายามที่จะสู้กลับแต่อีกฝ่ายรีบแย่งปืนของเขามาได้ก่อนและเล็งไปที่หัวของมู่หรงเสวี่ยที่สลบไป เย่เฟิงจำเป็นต้องหยุดต่อสู้ ชายทั้งเจ็ดรีบปิดตาเย่เฟิงทันทีและผลักพวกเขาเข้าไปในรถและขับออกไป
ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?
หลังจากที่ฟื้นจากความสลบ มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆกองเศษเหล็ก ดูเหมือนที่นี่จะเป็นกองขยะที่ถูกทิ้งร้าง เย่เฟิงที่อยู่ข้างๆถูกมัดไว้กับพื้น ยังไม่สติ มู่หรงเสวี่ยเองก็ถูกมัดด้วยเช่นกัน ห่างไปไม่ไกลมากนักมีคนสี่คนที่กำลังนั่งเล่นไพ่กันอยู่และดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้สนใจพวกเธอเลย แต่เป็นเพราะทั้งคู่ต่างก็ถูกมัดไว้ ประตูของอาคารโรงงานถูกล็อกไว้ เธอไม่รู้ว่าข้างนอกมีคนเฝ้าอยู่มากแค่ไหน

มู่หรงเสวี่ยขยับเข้าไปใกล้เย่เฟิง ใช้ขาที่ถูกมัดอยู่เตะไปที่เขาเบาๆและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ตื่นสิเย่เฟิง…เย่เฟิง…”
หลังจากที่เรียกไปสักพัก เย่เฟิงก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เพียงเสี้ยววินาที สายตาที่แน่วแน่ก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที “นายหญิงน้อย…”

“ชูว์ เบาเสียงหน่อย” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชายทั้งเจ็ดที่อยู่ไม่ห่างมากนัก
“นายหญิงน้อย เป็นอะไรไหมครับ?” เย่เฟิงค่อยๆลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆและถามด้วยเสียงเบา

มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้า “ไม่เป็นไร แค่ไม่รู้ว่าคนพวกนี้มาจากไหนกัน?” เธอกำลังนึกว่าช่วงนี้เธอได้เข้าไปมีเรื่องกับใครบ้างหรือเปล่า ถ้าเธอจะมีเรื่องกับใคร ก็น่าจะเป็นกับหลินจื่อชิง แต่เธอส่งคนไปคอยดูเธอแล้วนี่น่าแล้วก็ไม่เจออะไรที่ผิดปกติเลยด้วย นี่เป็นการลักพาตัวเพื่อแบล็กเมล์ธรรมดางั้นเหรอ?!! ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไรถ้าพวกนอกกฎหมายจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเงิน อีกอย่างเธอก็เป็นลูกสาวของตระกูลมู่หรงด้วย ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอหาเงินมายังไงแต่ถ้าเธออยากได้เงินก็ไม่ใช่เรื่องยาก

เย่เฟิงมองไปที่ร่างกายตัวเองและพบว่าอาวุธทั้งหมดในร่างกายถูกยึดไปหมดแล้ว เขาขยับเข้าไปใกล้ๆเสาที่ด้านข้างและมองไปที่กลุ่มคนพวกนั้นด้วยมุมมองอื่นด้วยห่างตาของเขา เขาก็เห็นว่าคนพวกนั้นกำลังเล่นไพ่และไม่ได้สนใจพวกเขาเลย เขาจึงแนบหูไปกับเสา ต่างหูขนาดเล็กบนหูของเขาเป็นตัวส่งสัญญาณเพื่อบอกถึงตำแหน่งที่อยู่ เพียงแค่กดปุ่มคุณชายและเย่หลิวก็จะได้รับสัญญาณและรู้ว่าพวกเขากำลังเจอปัญหา ถ้าเขาอยู่คนเดียวก็คงจะไม่กลัว ปัญหาคือนายหญิงน้อยอยู่ที่นี่ด้วย

มู่หรงเสวี่ยมีมิติลับ ถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆเธอก็ไม่อยากที่จะเข้าไปซ่อนในมิติลับ ไม่งั้นก็คงจะยิ่งดึงหายนะมาสู่ตระกูลมู่หรงมากขึ้นไปอีก เธอสามารถดึงยาที่ทรงพลังออกมาจากมิติลับได้ถ้าพวกนั้นเผลอแต่อีกสี่คนอยู่ห่างจากพวกเขามากและคงเป็นเรื่องยากที่จะหนีถ้ามีผู้ร้ายคนอื่นอยู่รอบๆด้วย

งั้นลองดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน มู่หรงเสวี่ยคิด
เย่เฟิงมองไปรอบๆเพื่อดูว่ามีอะไรคมๆที่จะเอามาใช้ได้ไหม โชคไม่ดีที่นอกจากเศษเหล็กที่อยู่ห่างออกไปแล้วในระยะ 5 เมตรนี้ก็ไม่มีอะไรเลย เขาหวังว่าคุณชายจะได้รับสัญญาณของเขาทันเวลา

หลังจากนั้นสักพัก ข้างนอกประตูตึกโรงงานก็มีเสียงดังขึ้นมา ไม่นานประตูเหล็กหนักๆก็ถูกเปิดออก

ชายร่างสูงห้าคนเดินเข้ามา คนแรกอายุประมาณ 30 ผมสีบลอนด์และนัยน์ตาสีฟ้า ซึ่งรู้ได้เลยว่าพวกเขาไม่ได้มาจากประเทศนี้แน่ ยกเว้นก็แต่ชายที่เป็นหัวหน้า นอกนั้นก็เป็นคนในประเทศ ชายทั้งสี่ที่เดิมทีกำลังนั่งเล่นไพ่กันอยู่ก็รีบวางไพ่ในมือและรีบวิ่งเข้าไปหา

ชายที่ตาสีฟ้าสวมชุดสูทหนังดูไม่เหมือนคนลักพาตัว อย่างไรก็ตามคนอื่นๆต่างก็มีรูปร่างที่ดูน่ากลัวกว่า พวกเขาสวมชุดธรรมดาและดูเหมือนพวกโจรลักพาตัวมากกว่า

“พวกนายปฏิบัติกับแขกคนพิเศษแบบนี้ได้ยังไง ทำไมถึงไม่แก้มัดสาวสวยคนนี้ล่ะ?” ชายต่างชาติตาสีฟ้าพูดออกมาอย่างสบายๆโดยเน้นทีละคำ
“นายต้องการอะไร?” เย่เฟิงถามออกมาอย่างไม่พอใจจากด้านข้าง

หนึ่งในชายผมดำโบกมือและเด็กหนุ่มอีกสองสามคนก็รีบเข้ามาหามู่หรงเสวี่ยและเริ่มแก้มัดเธอทันที มู่หรงเสวี่ยเงียบ รอจนกว่าพวกเขาจะแก้มัดเสร็จแล้วก็หันไปส่งสายตาให้เย่เฟิงที่กำลังโกรธและมุ่งร้ายให้เงียบไว้

ดูเหมือนว่าเป้าหมายก็คือเธอ คนพวกนี้ไม่เหมือนโจรลักพาตัว ถ้าเป็นพวกโจรลักพาตัวก็คงจะไม่คุยกับเธอแต่โทรหาพ่อแม่เธอโดยตรง

ชายนัยน์ตาสีฟ้าสังเกตมู่หรงเสวี่ย ประหลาดใจที่ได้เห็นเด็กสาวตัวเล็กๆที่ท่าทางไม่เปลี่ยนไปเลย เธอมองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีนิ่งสงบ นี่ไม่ธรรมดาเลย
“เชิญนั่งก่อนคุณมู่หรง!” ชายนัยน์ตาสีฟ้าเดินนำและนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ธรรมดาๆ

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่สายตาของเย่เฟิงและไม่ได้ขยับไปไหน แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆเดินอย่างสงบและนั่งลงที่เก้าอี้ มองตรงไปที่ชายนัยน์ตาสีฟ้า เธอรู้ว่าเขาเป็นหัวหน้า จึงถามออกไป “ฉันไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรไว้กับพวกคุณหรือเปล่า? ดูเหมือนว่าฉันจะไม่รู้จักคุณนะคะ”

“คุณมู่หรงทำให้ผมประหลาดใจจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมได้ยินมาว่าคุณถอนพิษให้คุณชายใหญ่ของตระกูลหยางในเมือง A ใช่ไหม?” นี่เป็นคำถามแต่พูดด้วยน้ำเสียงที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจ เรื่องการรักษาของหยางเฟิงมีคนอื่นรู้ด้วย คนที่อยู่ตรงหน้าเธอคือคนที่มียากลืนวิญญาณงั้นเหรอ?! ตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปฏิเสธ ในเมื่ออีกฝ่ายจับเธอได้แล้ว งั้นเธอจะต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนที่เธอจะลงมือทำอะไร นอกจากนี้เขาไม่ได้พูดถึงตระกูลมู่หรง น่าจะพูดได้ว่าพวกเขาไม่ได้สนใจอะไรในตระกูลมู่หรง นี่เป็นเรื่องที่ดี

“ฉันแค่บังเอิญรู้มาว่าวิธีนี้มีประโยชน์อย่างมาก แต่ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวอะไรกับการที่คุณเชิญฉันมาที่นี่ด้วย?”

ชายนัยน์ตาสีฟ้าหัวเราะ “เจ้านายของเราสนใจในตัวยาของคุณมู่หรงมาก คุณมู่หรงน่าจะมีสูตรยาของยาโบราณนี้ใช่ไหม?! อย่างที่คุณรู้ ยากลืนวิญญาณเป็นสูตรยาในตำรายาโบราณ ถ้าคุณมู่หรงแก้มันได้ งั้นก็หมายความว่าคุณเองก็มีตำรายาโบราณด้วยเหมือนกัน ถูกไหมครับ?”

อันที่จริงเป็นเพราะเรื่องของหยางเฟิงทำให้เธอเดาเอาว่ายาตัวนี้น่าจะช่วยได้ อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายดึงยาต้องห้ามเช่นยากลืนวิญญาณออกมาจริงๆ เธอเดาว่าพวกเขาคงไม่ใช่คนดีเท่าไร ถ้าเธอมอบสูตรให้พวกเขา พวกเขาก็จะเอาไปทำร้ายคนมากขึ้น แต่ถ้าเธอส่งให้เฉพาะยาถอนพิษของยากลืนวิญญาณ ก็คงจะมีผลกระทบไม่มาก มู่หรงเสวี่ยเงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดออกมา

“คุณกำลังพูดเล่นหรือเปล่า ถ้าตระกูลมู่หรงของเรามีตำรายาโบราณ มันก็คงจะถูกเอาไปพัฒนานานแล้วและก็คงไม่ใช่แค่ตระกูลของเมือง A ฉันเองก็มียาถอนพิษของยากลืนวิญญาณซึ่งก็เป็นยาถอนพิษอย่างเดียวที่ฉันมี…”

มู่หรงเสวี่ยดีใจมากที่เธอไม่ได้ออกหน้าในบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเอง โลกภายนอกไม่รู้เรื่องความลับนี้ ในตอนนี้ยาที่บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเองก็เป็นเพียงยาที่ใช้กันทั่วไปด้วย ถึงแม้ผลที่ได้จะดีกว่ายาทั่วไปแต่มันก็ไม่มากพอที่จะดึงความสนใจมากเกินไป

ชายผมดำที่อยู่ถัดจากชายนัยน์ตาฟ้าเตะโต๊ะที่อยู่ตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยและตะโกนออกมา “แม่หนู ฉันจะทิ้งให้เธออดข้าวอดน้ำ เธออยากตายใช่ไหม? ส่งตำรายาโบราณมาเดี๋ยวนี้เลย!”

เขาโต๊ะกระเด็นออกไปจากเท้าของมู่หรงเสวี่ย เธอยังคงนิ่งเฉยและพูดออกไปว่า “ฉันพูดความจริง ถึงแม้คุณจะฆ่าฉัน ฉันก็เอาตำรายาโบราณที่คุณพูดออกมาไม่ได้ ฉันเปลี่ยนอะไรที่มันไม่มีอยู่จริงไม่ได้”

ชายผมดำหยิบปืนออกมาและเล็งไปที่หัวของมู่หรงเสวี่ย “ถ้าอย่างงั้นเธอก็ตายซะ!”
สัมผัสของปืนเย็นๆที่หน้าผากทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกขนลุก มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะเก็บกดความกลัวไว้ ถ้าเธอแสดงออกมาทุกอย่างก็จะสูญเปล่า เธอกำลังเดิมพัน ถ้าอีกฝ่ายอยากได้ตำรา พวกเขาก็คงไม่ฆ่าเธอ

ชั่วขณะหนึ่ง สำหรับมู่หรงเสวี่ยเหมือนผ่านไปเป็นศตวรรษ หัวใจเธอเต้นรัวไม่เหมือนปกติ

ชายนัยน์ตาสีฟ้าก็เริ่มพูดขึ้นมาช้าๆ “โอเค ฝางโถวอย่าเพิ่งเร่งสิ จะทำอะไรได้ถ้าทำให้เธอกลัวแบบนี้น่ะ?” ก่อนที่เขาจะเข้ามา เขาได้สืบทุกอย่างเกี่ยวกับตระกูลมู่หรงแล้ว เป็นเรื่องจริงที่เขาไม่เคยได้ยินเรื่องทักษะทางการแพทย์ของตระกูลมู่หรงเลย นอกจากนี้ยังไม่มีธุรกิจที่เกี่ยวกับยาด้วย บางทีเรื่องที่เธอพูดอาจจะเป็นเรื่องจริงและนี่ไม่จำเป็นเลย อย่างไรก็ตามหัวหน้าสั่งให้เอาตำรายาโบราณกลับไปด้วย ถ้าได้เพียงสูตรยาเดียวกลับไป เดาว่ามันก็คงจะยังไม่พอ เขามองไปที่มู่หรงเสวี่ยอีกครั้งและคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรที่จะพาเธอกลับไปประเทศ B ด้วย

มู่หรงเสวี่ยเคยเจอพวกโรคจิตแบบนี้มาแล้ว เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อะไรง่ายๆที่จะจัดการเพียงแค่มองไปที่รังสีอำมหิตของคนพวกนี้เธอก็รู้เลยว่าพวกนี้มองชีวิตคนเป็นเรื่องเล่นๆ คนพวกนี้เป็นพวกที่มีปัญหามากที่สุดและคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็ไม่ใช่ธรรมดา งั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องตระกูลมู่หรงเลย

เธอไม่ต้องคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะเข้าไปในมิติลับเลย อีกฝ่ายรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอและรวมทั้งตระกูลมู่หรงด้วย เธอยอมตายดีกว่าปล่อยให้ตระกูลมู่หรงต้องเดือดร้อน ถ้าเรื่องมิติลับถูกเปิดเผยออกไป ก็มีแต่จะนำหายนะมาให้ตระกูลมู่หรง

ในตอนนี้ เธอรู้ซึ้งถึงความสำคัญของอำนาจเลย ถ้าเธอสามารถทำให้ตระกูลมู่หรงมีบทบาทที่เด็ดขาด คนพวกนี้จะกล้ามาข่มขู่เธอได้ง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง

“คุณมู่หรง ผมไม่รู้ว่าคุณไปได้ยาถอนพิษยากลืนวิญญาณมาได้ยังไง?” เมื่อคิดถึงประเด็นสำคัญแล้วชายนัยน์ตาฟ้าก็พูดออกมา

“คือเมื่อหลายปีก่อน วันหนึ่งฉีนเห็นชายแก่คนหนึ่งนั่งย่องๆอยู่ที่ข้างถนน เขาดูน่าสงสารอย่างมาก ฉันเลยซื้ออาหารไปให้เขาแล้วเขาก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ฉัน ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นขยะและเกือบที่จะโยนมันทิ้งไปแล้ว ต่อมาฉันมองไปที่ชื่อสมุนไพรทั้งหมดที่อยู่ในนั้นและหลังจากที่คิดดูแล้วก็เลยไม่ได้โยนทิ้ง ต่อมาฉันกลับไปดูชายแก่คนนั้นแต่เขาก็หายไปแล้ว เรื่องก็เป็นแบบนั้นแหละ คุณจะเช็กเรื่องนี้ดูก็ได้นะว่าฉันซื้ออาหารให้ชายแก่ที่ข้างถนนเมื่อสามปีก่อนจริงหรือเปล่า”

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าตัวเองต้องบอกเรื่องแหล่งที่มา ไม่งั้นอีกฝ่ายคงจะไม่เชื่อเธอ เมื่อสามปีก่อนเธอซื้ออาหารให้ชายแก่จริงๆ และชายแก่คนนั้นก็เสียไปแล้วด้วย ตอนนี้เธอจึงไม่กลัวที่พวกนี้จะไปตามสืบ