บทที่ 334.2 ด้านในเปลือกหอยมีสถานที่ประกอบพิธีกรรม ProjectZyphon
เฉินผิงอันไม่มีทางรู้เลยว่าเขาเดาถูกจริงๆ แต่ถือว่าเดาถูกแค่ครึ่งเดียว
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีทองที่มีชื่อว่า ‘โต่วเลี่ยง’ (ปริมาณที่มากมาย) ลูกนั้นสามารถบรรจุน้ำซึ่งรวมถึงน้ำของสุราในใต้หล้าได้มากที่สุดจริงๆ แล้วก็เพราะเหตุนี้น้ำของทะเลบูรพาถึงได้ลดระดับลงไปหลายฉื่อ
นี่เป็นเหตุให้มีซิ่วไฉยากจนคนหนึ่งจุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด แล้วยังเพิ่มคำประจบเข้าไปด้วยว่า ‘น้ำเต้าลูกเล็กๆ กลับสามารถเลี้ยงเจียวหลงไว้ได้นับร้อยนับพันตัว มรรคาจารย์เต๋าช่างประเสริฐ ประเสริฐเลิศล้ำ ประเสริฐเหนือประเสริฐ’
แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ที่เพราะการนั่งลงถกปัญหากับนักพรตเฒ่าได้ทำลายใบบัวในถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาไปหลายใบ ถึงได้กล่าวประโยคนี้เพื่อหวังจะได้ประโยชน์โดยไม่ต้องเปลืองแรง
ในศาลบุ๋นที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘สำนักดั้งเดิมที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรม’ ของลัทธิขงจื๊อในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งนั้น เหล่าอริยะที่ทุกวันนี้รูปปั้นของพวกเขายังถูกตั้งบูชาไว้สูงต้องไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้แน่นอน ทำลายสิ่งของของคนอื่น แล้วยังกล้าทำตัวไร้ยางอาย แต่ซิ่วไฉเฒ่าที่เทวรูปถูกย้ายออกจากศาลบุ๋นกลับทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติเสียยิ่งกว่าพวกเซียนลัทธิเต๋าที่อยู่ในหอป๋ายอวี้จิงซะอีก
พอเฉินผิงอันลงมาชั้นล่าง เถ้าแก่เนี้ยะก็คลี่ยิ้มดุจดอกไม้ผลิบาน
หล่อเหลา มีเงิน บุคลิกก็ดี ยิ่งมองเฉินผิงอัน สตรีแต่งงานแล้วก็ยิ่งถูกตาต้องใจ
เฉินผิงอันขอเหล้าบ๊วยไหเล็กหมักห้าปีมาหนึ่งจิน แล้วเทใส่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ต่อหน้าเถ้าแก่เนี้ยะ
ในสายตาของสตรีแต่งงานแล้ว น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เป็นแค่น้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่ถูกลูบคลึงบ่อยๆ จนแวววาวราวกับกระจกเท่านั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ทว่าแค่มองก็รู้ว่าเป็นของรักของคนอย่างน้อยสองรุ่น ถึงได้กลายมาเป็นของเก่าแก่อย่างในตอนนี้
สตรีแต่งงานแล้วเท้าคางด้วยมือข้างเดียว นั่งเบี่ยงตัวอยู่บนม้านั่งยาว หันหน้าไปมองคนหนุ่มที่เทเหล้าด้วยมือที่มั่นคงอย่างยิ่ง สองข้างแก้มของนางแดงก่ำน้อยๆ กลิ่นหอมของเหล้ายังไม่จางหายไป นางก็ถามขึ้นยิ้มๆ ว่า “คุณชายใช้ถ้วยดื่มเหล้าไม่สะดวกกว่าหรือ? หากเจ้าดื่มเหล้าหนึ่งจินนี้หมด ก็ต้องเทใส่เข้าไปในน้ำเต้าอีกครั้งไม่ใช่หรือ?”
ทว่าแม้จะพูดเช่นนี้ นางก็ยังไปหิ้วกาเหล้ามาให้ตัวเองดื่ม แล้วก็ไม่ลืมยกกับแกล้มสามจานมากินแกล้มเหล้าด้วย แน่นอนว่ายังถือตะเกียบมาอีกสองคู่
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเองก็ดื่มเหล้าได้ไม่มาก ดื่มหมดก็หมดไป ไม่ต้องเติมเพิ่มอีก”
สตรีแต่งงานแล้วคลี่ยิ้ม “เพื่อนของเจ้าดื่มเหล้าเก่งจริงๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกอายเล็กน้อย ในใจคิดว่า เว่ยเซี่ยน จะดีจะชั่วเจ้าก็เป็นถึงฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้น ทำตัวแบบนี้น่าอายนัก
เฉินผิงอันถามเหมือนชวนคุย “ในเมื่อทหารชายแดนตระกูลเหยามีชื่อเสียงอยู่ที่ชายแดนมากขนาดนี้ เถ้าแก่เนี้ยะรู้หรือไม่ว่าตอนนี้บุคคลยิ่งใหญ่ในตระกูลเหยามีใครบ้าง?”
สตรีแต่งงานแล้วเลิกคิ้วสูง “โอ้โห คุณชาย เจ้าคงไม่ใช่สายลับแคว้นเป่ยจิ้นหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันชี้ไปยังชั้นบน “มีสายลับที่เป็นแบบข้าด้วยหรือ? พาเพื่อนที่ดื่มเหล้าเก่งติดตามมาด้วย? แถมยังมีเด็กด้วยอีกคน?”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ หากเป่ยจิ้นมีสายลับอย่างคุณชาย ไหนเลยจะมีสงครามบ่อยขนาดนี้ ป่านนี้ใต้หล้าคงสงบสุขไปนานแล้ว”
นางดื่มไปค่อนข้างเยอะแล้ว ยืดแขนออกมาคีบเนื้อหมักเต้าเจี้ยวในจานหนึ่งอยู่สองครั้งก็ยังคีบไม่ติด เฉินผิงอันจึงผลักจานไปให้นางเบาๆ นางชำเลืองตามองมาอย่างหยาดเยิ้ม สุดท้ายตัดสินใจวางตะเกียบลง “เรื่องนี้จะเล่าให้เจ้าฟังก็ไม่เป็นไร จะได้สอนให้คนป่าเถื่อนทางใต้อย่างพวกเจ้าได้รู้ถึงความร้ายกาจของทหารชายแดนต้าเฉวียนของพวกเราด้วย”
นางเรอดังเอิ้ก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไร “แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาที่อยู่บนหลังม้ามาครึ่งชีวิตคนนี้คือหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ที่ใช้อักษรตัวเจิงของต้าเฉวียนเรา มีบุตรชายสามคน บุตรสาวสองคน น่าเสียดายที่บุตรชายตายไปสองคน บุตรสาวตายไปหนึ่งคน บุตรสาวคนที่อายุน้อยสุดแต่งงานไปอยู่เมืองหลวง ได้คู่ครองที่ดี ทุกคนต่างก็พูดกันว่าพวกเขาเป็นคู่สร้างคู่สม เป็นคู่รักเทพเซียน มีหลานชายหลานสาวมากมาย คนที่ได้ดิบได้ดีที่สุดมีอยู่สองคน หลานชายชื่อเหยาเซียนจือ ได้ยินว่าอายุสิบขวบก็เข้าไปอยู่ในกองทัพ หลานสาวที่ชื่อเหยาหลิ่งจือก็ยิ่งร้ายกาจ พรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ดีจนถึงขั้นที่ทุกคนในชายแดนต่างก็รับรู้”
เฉินผิงอันถามด้วยความใคร่รู้ “เหตุใดถึงต้องลงท้ายชื่อด้วยอักษรตัว ‘จือ’ ทุกคน?”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เป็นรุ่นที่ใช้อักษรตัวจืออย่างไรล่ะ”
เฉินผิงอันยิ่งสงสัย “ตัวอักษรที่กำหนดรุ่นไม่ควรอยู่ตรงกลางหรอกหรือ? หรือว่าต้าเฉวียนของพวกเจ้าไม่เหมือนที่อื่น?”
สตรีแต่งงานแล้วพูดเสียงขุ่น “ข้าจะไปรู้กฎของบรรพบุรุษตระกูลเหยาที่ร่ำรวยและสูงศักดิ์ได้อย่างไร เจ้าจะไม่ยอมให้คนมีเงินมีนิสัยประหลาดบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ชื่อเสียงของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยายิ่งใหญ่ขนาดนี้ คนต้าเฉวียนของพวกเจ้าคงมีคนอิจฉาตาร้อนไม่น้อยเลยกระมัง?”
สตรีแต่งงานแล้วมองค้อน “เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร? ถามฮ่องเต้งั้นหรือ?”
แล้วนางก็หัวเราะคิกคักกับตัวเอง ท่าทางเย้ายวนมีเสน่ห์ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอให้ตาแก่ฮ่องเต้ถูกใจในความงามของข้า รับข้าเข้าวังเสียก่อน แม้ว่าเขาจะอายุมากไปหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นถึงฮ่องเต้ ไม่แน่ว่าขาเตียงของเขาอาจจะทำมาจากทองคำ…”
บางทีอาจเป็นเพราะพูดถึงเรื่องบางอย่างที่สะกิดความทรงจำให้คนหวนนึกถึง สตรีแต่งงานแล้วจึงชูจอกเหล้าขึ้น พูดเสียงดังกังวานว่า “ในชีวิตคนนั้น เส้นทางคับแคบ จอกเหล้ากว้าง ข้าจิ่วเหนียงจะร่วมทางไปพร้อมคุณชายหนึ่งจอก”
เฉินผิงอันดวงตาเป็นประกาย ชูจอกเหล้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ประโยคนี้ข้าจำไว้แล้ว พูดได้ดี เดินทางด้วยกันหนึ่งจอก!”
คนทั้งสองต่างก็ดื่มเหล้าที่เหลือในจอกของตัวเองจนหมด
ตรงธรณีประตูมีแขกชุดเขียวคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาแอบเหลือบมองมายังชายหญิงที่ดื่มเหล้าร่วมกันอย่างสำราญ ใบหน้าเต็มไปด้วยความขัดเคืองใจ ปากก็บ่นพึมพำไม่หยุด
“สุนัขที่ดีไม่ขวางทาง!”
เสียงคนผู้หนึ่งแผดดังขึ้นมา บัณฑิตตกอับถูกคนเตะจนล้มกะเท่เร่ บุรุษสามคนที่ห้อยมีดไว้ตรงเอวทยอยกันเดินก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องโถงใหญ่
คนที่เป็นผู้นำมีร่างกายบึกบึน ฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็น เขากลับยังจงใจเปิดเผยกล้ามเนื้อหน้าอก เขาเดินมานั่งบนม้านั่งยาวฝั่งซ้ายมือของเฉินผิงอัน ลูกน้องสองคนของชายฉกรรจ์เดินไปหยิบเหล้าและถ้วยใส่เหล้ามาอย่างชำนาญ คนทั้งสองนั่งบนม้านั่งยาวอีกตัวหนึ่ง เพียงชั่วพริบตา โต๊ะหนึ่งตัวก็มีคนนั่งจนเต็ม ชายฉกรรจ์กลับไม่ต้องการถ้วยขาวที่มือมีดหนุ่มคนหนึ่งส่งมาให้ กลับมาแย่งถ้วยที่อยู่ตรงหน้าสตรีแต่งงานแล้วไป เทเหล้าบ๊วยใส่ชาม น้ำเหล้ากระฉอกไปทั่ว พอดื่มหมดในรวดเดียวก็เช็ดปาก แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็ยกมือกุมท้อง ใบหน้าตื่นตระหนก ชี้มือข้างหนึ่งที่สั่นๆ มายังสตรีแต่งงานแล้วพร้อมพูดเสียงสั่น “เหล้านี่ผิดปกติ…ในเหล้ามียาพิษ”
เด็กหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพลันขยับมือกดด้ามมีด สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
สตรีแต่งงานแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หม่าผิง ในสมองเจ้ามีแต่ขี้ใช่ไหม? วันนี้มื้อเที่ยงกินขี้เยอะเกินไป ในขี้มีพิษอยู่พอดีก็เลยทำให้สมองเจ้าพังไปด้วยงั้นรึ?”
ชายฉกรรจ์พกมีดหัวเราะหึหึ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ “แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง แค่นี้ต้องด่ากลับด้วย”
เพื่อนร่วมงานหนุ่มน้อยสองคนถูกทำให้ตกอกตกใจจึงต้องรีบดื่มเหล้าระงับอารมณ์
ชายฉกรรจ์ชำเลืองตามามองเฉินผิงอันที่เกะกะสายตา “ไอ้หนู เจ้าเป็นคนจากที่ไหน? รีบเอาเอกสารผ่านด่านออกมา!”
สตรีแต่งงานแล้วขยับปากจะพูด เฉินผิงอันกลับหยิบเอกสารผ่านทางออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอกแล้ว เขาวางมันลงตรงหน้าชายฉกรรจ์พกมีดเบาๆ
ชายฉกรรจ์หยิบขึ้นมาดู เห็นว่าด้านบนประทับตราสีชาดน้อยใหญ่ไว้แน่นขนัดไปหมดก็จุ๊ปากพูด “ตราประทับมีไม่น้อยเลยทีเดียว เดินทางมาไกลขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ชายฉกรรจ์เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็พลันโมโห เห็นใบหน้านอบน้อมและยิ้มประจบจากพวกชาวบ้านในเมืองหูเอ๋อร์มาจนชิน อยู่ดีๆ กลับมีคนที่ไม่รู้จักก้มหัวค้อมเอวเอาใจโผล่มา ประเด็นสำคัญคือยังหล่อเหลาขนาดนี้ เลยคิดอยากหาวิธีจัดการกับเจ้าเด็กนี่ สอนให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาต่างหากที่เป็นงูเจ้าถิ่นของเมืองหูเอ๋อร์แห่งนี้ ขนาดเสือที่ลงจากภูเขามาเจอเข้ากับเขาหม่าผิงก็ยังต้องทรุดตัวนั่งอย่างว่าง่าย มังกรข้ามแม่น้ำก็ต้องขดตัวนอนไม่กล้าหือ เป็นคนอื่นจะมีสิทธิ์มายักคิ้วหลิ่วตาให้จิ่วเหนียงของโรงเตี๊ยมได้อย่างไร
สตรีแต่งงานแล้วพลันถามว่า “ได้ยินว่าในเมืองมีผีอาละวาดอีกแล้ว? คราวนี้ใครโดนผีเข้าล่ะ?”
พอพูดถึงเรื่องอัปมงคลนี้ หม่าผิงก็หมดอารมณ์ โยนเอกสารผ่านทางคืนให้กับเจ้าเด็กหน้าขาว ดื่มเหล้าอย่างอัดอั้น ก่อนจะพูดงึมงำด้วยความหงุดหงิด “มารดามันเถอะ ช่างเป็นเสนียดจัญไรซะจริง เมื่อก่อนมีแต่คนต่างถิ่นที่ถูกเล่นงาน คราวนี้ดันมาเป็นคนในเมืองเล็กที่โดน ตาเฒ่าหลิวแขนเดียว เจ้ารู้จักใช่ไหม คนที่เปิดร้ายขายกระดาษเงิน ตาแก่มอซอที่ชอบดูฮวงจุ้ยให้คนอื่นน่ะ เขาเสียสติไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว อากาศแบบนี้ ตอนกลางวันเขากลับไม่สวมเสื้อผ้าวิ่งพล่านอยู่บนถนนใหญ่ แถมยังบอกว่าตัวเองร้อนมาก พวกพี่น้องในหน่วยหลายคนช่วยกันจับตัวเขาขังไว้ ผ่านไปได้ไม่กี่วันก็ขี้เต็มห้องขัง กลิ่นเหม็นตลบอบอวล วันนี้เพิ่งจะคืนสติกลับมาเล็กน้อย ไม่เอาแต่พึมพำภาษาประหลาดอีกต่อไป พวกเราพี่น้องก็เลยอยากมาขอเหล้าบ๊วยจากจิ่วเหนียงดื่มสักสองสามชามเพื่อบำรุงปราณหยางให้แข็งแกร่ง ชำระล้างไออัปมงคลออกไปนี่ไงล่ะ”
สตรีแต่งงานแล้วขมวดคิ้ว “แล้วอย่างนี้จะจัดการกันยังไง? คราวก่อนปรมาจารย์ที่พวกเจ้าทุ่มเงินก้อนใหญ่เชิญมาจากเขตการปกครองได้มอบยันต์เทพเซียนไว้ให้เจ้าแผ่นหนึ่งไม่ใช่หรือ? เขาโม้กับข้าไว้ว่ายังไงนะ บอกว่า ‘ยันต์หนึ่งแผ่น หมื่นผีถอยหนี’?”
ชายฉกรรจ์หันไปถ่มเสลดเหนียวข้นลงพื้นอย่างแรง “ปรมาจารย์ตดหมาน่ะสิ มันเป็นนักต้มตุ๋นชัดๆ ข้าโดนต้มเสียจนเปื่อย ช่วงนี้มือปราบหันก็คอยหาเรื่องข้าอยู่เรื่อย”
หม่าผิงพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที ฝืนเค้นรอยยิ้มส่งให้ ทั้งยังยื่นมือออกมาหมายจะลูบมือเล็กๆ ของนาง สตรีแต่งงานแล้วหดมือกลับอย่างไม่กระโตกกระตาก เมื่อไม่ได้สมใจปรารถนา หม่าผิงจึงยิ้มตาหยีกล่าวว่า “จิ่วเหนียง เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไร? อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองหูเอ๋อร์กระมัง? ข้ามีรายได้ไม่น้อย ชาติตระกูลก็ใสสะอาด แถมยังเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน มีพละกำลังมากมายให้ใช้ไม่หมด เจ้าไม่หวั่นไหวบ้างหรือ? จิ่วเหนียง เจ้าอย่าคิดมากเลย พี่ใหญ่หม่าของเจ้าไม่ใช่คนหัวโบราณขนาดนั้น ข้าไม่ถือสาอดีตที่ผ่านมาของเจ้าหรอก”
สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะเหอๆ
หลังจากนั้นเขาก็ใช้ข้ออ้างว่าเมาคิดจะแตะอั๋งนางอยู่หลายครั้ง แต่สตรีแต่งงานแล้วล้วนหลบมาได้ทุกครั้ง หม่าผิงกับมือปราบที่เป็นเพื่อนร่วมงานอีกสองคนกินอาหารกันจนแทบเกลี้ยงโต๊ะ ปากมันแผล็บ ดื่มจนเมามาย ดูท่าแล้วคงกะจะมากินฟรี สุดท้ายไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป คนทั้งสามขึ้นไปนอนที่ชั้นบน บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่เมืองหูเอ๋อร์
เฉินผิงอันขยับไปนั่งตรงอื่นนานแล้ว ตอนที่เด็กขาเป๋มาเก็บโต๊ะ สตรีแต่งงานแล้วมานั่งข้างเฉินผิงอัน ถอนหายใจยาวเหยียดคล้ายเหนื่อยล้า ก่อนจะยิ้มขื่นกล่าวว่า “หม่าผิงคนนี้คือมือปราบของเมืองหูเอ๋อร์ ครอบครัวของเขาทำอาชีพนี้กันมาหลายรุ่นหลายสมัย แค่พอจะมีความเกี่ยวข้องกับที่ว่าการของทางการเล็กน้อยเท่านั้น สถานที่ใหญ่แค่ก้นแห่งนั้น คำเรียกขานว่าขุนนางใหญ่ คนที่สวมหมวกขุนนางใหญ่สุดก็เป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ที่ไม่มีระดับขั้น อันที่จริงเรียกได้แค่ว่าเป็นพนักงานผู้น้อย ไม่ถือว่าเป็นขุนนางด้วยซ้ำ ทว่ากลับวางท่าใหญ่โตเทียมฟ้า”
เผยเฉียนได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอกก็เปิดประตูออกมาเบาๆ ย่อตัวลงนั่งยอง เอาศีรษะลอดร่องราวระเบียงชั้นสองแอบมองคนสองคนที่อยู่ข้างล่าง ผลคือกว่าจะเอาหัวออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางรีบวิ่งเหยาะๆ ลงไปชั้นล่าง เพิ่งจะขยับเข้าไปใกล้โต๊ะก็ได้ยินสตรีแต่งงานแล้วบ่นเรื่องคนในวงการขุนนางที่ทำตัวเป็นผีตามติด บอกว่ามือปราบพวกนั้นชอบมากินฟรีดื่มฟรีที่โรงเตี๊ยม นอกจากจ่ายเงินเพื่อซื้อความสงบแล้ว นางยังจะทำอะไรได้อีก
—–