Sign in Buddha’s palm 233 ต่อสู้

ตั้งแต่มาถึงเชิงเขาคุนหลุน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ของซูฉิน ได้ใช้ไปเพื่อรับรู้ความผันผวนบนยอดเขาคุนหลุน

 

ส่วนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือมาบรรจบกันที่ร่างกาย และตอนนี้ซูฉินก็สังเกตได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยใกล้ๆ

 

“ลุงสาม ท่านมองอะไรอยู่ ” เมื่อเห็นซูฉินที่กําลังจ้องมองบางอย่างอยู่ที่ด้านข้าง หลีหว่านก็รีบขยับตัวมองออกไปนอกโรงเตี้ยมทันที

 

เป็นอย่างที่คิด

 

เพียงหลังจากนั้นไม่นาน

 

พระภิกษุห่มจีวรสีเทาก็เดินเข้ามา

 

พระรูปนี้ไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร ดูเหมือนคนธรรมดา แต่ราชาดาบชิงเฉิงที่นั่งอยู่บนชั้นสองเกือบจะร้องอุทานออกมา เมื่อเห็นใบหน้าของภิกษุรูปนั้น

“เฉียนขู่!”

ราชาดาบชิงเฉิงลุกขึ้นและจ้องตรงไปยังภิกษุที่สวมจีวรสีเทาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่ จากวัดเส้าหลินที่นี่

 

เมื่อคําพูดของราชาดาบชิงเฉิงได้กระจายออกไป

จอมยุทธทุกคนในโรงเตี้ยมต่างตกตะลึง ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ภิกษุผู้สวมจีวรสีเทาที่เพิ่งก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เฉียนขู่?”

“เขาผู้นี้คือสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่”จากวัดเส้าหลินงั้นหรือ?”

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่”ยังดูเด็กเกินไปไหมเนี่ย?”

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่” ก็มาที่นี่ด้วย เขาต้องการจะต่อสู้เพื่อเข้าวิหารการสงครามนี้ด้วยหรือ?”

 

จอมยุทธจํานวนมากโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของพวกเขากวาดมองไปที่เฉียนขู่ตลอดเวลา

 

“นะโม อมิตาพุทธ”

 

“เฉียนขู่ที่ห่มจีวรสีเทาโค้งตัวลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พระผู้น้อยไม่ได้มาที่นี่เพราะวิหารการสงคราม”

คําที่เฉียนขู่ได้กล่าวออกมา

 

เหล่าจอมยุทธยิ่งงุนงงมากขึ้นไปอีก

 

จอมยุทธที่มายังเขาคุนหลุนในช่วงนี้ก็ล้วนมาเพราะวิหารการสงครามกันทั้งนั้น หากเฉียนขู่ไม่ได้สนใจวิหารการสงคราม เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่เวลานี้

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคน เฉียนขู่ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดออกมาเสียงดัง “พระผู้น้อยได้พบตัวเจ้าแล้ว ยังไม่โผล่หน้าออกมาอีกหรือ?”

 

“ลาน้อยหัวโล้นเฉียนขู่ เจ้าไล่ตามข้ามาหลายเดือนแล้ว ผ่านระยะทางมาหลายหมื่นลี้ นี่ต้องการจะฆ่าพวกเราให้หมดเลยหรือไร?”

เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังแว่วมา

 

เห็นชายท่าทางเย็นชาเดินออกมา ใบหน้าของชายผู้นี้ดูธรรมดา แต่ให้ความรู้สึกชั่วร้ายอย่างอธิบายไม่ถูก ทําให้ผู้คนที่พบเห็นต้องตกอยู่ในภวังค์

“จอมยุทธเจ็ดสามานย์เป็นเขา!?”

สีหน้าของจอมยุทธต่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ร่องรอยความกลัวปรากฏขึ้น

 

จอมยุทธเจ็ดสามานย์เป็นจอมยุทธฝ่ายอธรรมที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ ครั้งหนึ่งเขาเคยสังหารคนไปหลายหมู่บ้านเพื่อฝึกฝนวิชามาร และแม้แต่อาณาจักรถังก็ต้องการจะจับตัวเขา หากไม่ใช่เพราะเจ็ดสามานย์เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และทุกครั้งที่มีอะไรไม่ชอบมาพากล เขาจะหนีไปทันที ไม่เช่นนั้นเกรงว่าปานนี้มันคงจะตกอยู่ในเงื้อมมือของอาณาจักรถังไปแล้ว

 

“เจ็ดสามานย์ ตลอดทางลาน้อยหัวโล้นนี้ไม่เคยรามือเลย เขาต้องการจะฆ่าข้าหรือไม่นั้น ใจเจ้าย่อมรู้ดีที่สุด”

 

ชายร่างผอมลุกขึ้นอย่างช้าๆ ยืนเคียงข้างกับจอมยุทธเจ็ดสามานย์ ชายร่างผอมมีโหนกแก้มที่ยื่นออก ผิวซีดขาว แต่ประกายในดวงตามีความเผด็จการแผ่ออกมาเล็กน้อย

 

“มนุษย์ซีด ทําไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย…”

จอมยุทธทั้งหลายต่างมือเท้าเย็นเยียบ แม้แต่ราชาดาบชิงเฉิงเองก็มีความกลัววาบผ่านดวงตาของเขา

ไม่ว่าจะเป็นเจ็ดสามานย์หรือมนุษย์ซีด พวกเขาล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เดินตามวิถีมารอันชั่วร้าย วิธีการของพวกมันโหดร้ายมาก ทุกครั้งที่พวกมันลงมือ มันจะฆ่าอย่างป่าเถื่อน ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธกี่คนต่อกี่คนที่ต้องตกอยู่ในความหวาดผวา

“ พระผู้น้อยไม่ได้พยายามจะสังหาร หากพวกท่านเต็มใจจะกลับไปวัดเส้าหลินและเข้าไปในหอคอยสะกดมาร ท่านย่อมมีชีวิตรอด”

 

“เฉียนขู่” ประสานมือและกล่าวคําออกมาเบาๆ

“ฮ่ม!”

“หอคอยสะกดมาร?”

 

“คิดว่าพวกเราจะแพ้ให้แก่เจ้างั้นหรือ?”

ในเวลานั้นเอง ร่างอีกสองร่างก็เดินออกมาจากโรงเตี้ยม คนหนึ่งเป็นหญิงหน้าตาดี อีกหนึ่งเป็นชายร่างสูง ทั้งคู่เป็นเหมือนกับเจ็ดสามานย์ เดินทางในวิถีแห่งความชั่วร้าย เป็นจอมยุทธฝ่ายอธรรม

โดยเฉพาะหญิงที่มีใบหน้างดงามนั้น เชี่ยวชาญในการดูดกลืนปราณหยาง ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธชายมากเท่าไหร่ที่ถูกดูดจิตวิญญาณไป

“โอ้สวรรค์ นี่เรากําลังคุยกันอยู่ต่อหน้ามารร้ายทั้งสิ่งั้นหรือ?”

 

ขาแข้งของเหล่าจอมยุทธอ่อนระทวย หัวใจของพวกเขาสั่นสะทาน

ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเฉียนขู่” เกรงว่าคงไม่มีใครในที่แห่งนี้รู้ตัวว่าชีวิตกําลังตกอยู่ในระหว่างความเป็นความตายแล้ว

ตามวิสัยของจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่นี้ หากไม่ใช่เพราะกําลังถูกสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ไล่ตามอยู่ เกรงว่าพวกมันคงลงมือไปนานแล้ว ไล่สังหารจอมยุทธทั้งโรงเตี้ยมเพื่อใช้เลือดเนื้อและแก่นพลังไปหล่อเลี้ยงบาดแผลของพวกมัน

แม้ว่าจะเป็นราชาดาบชิงเฉิง ท่าทีของเขาก็ดูเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

แม้เขาจะสังเกตได้นานแล้วว่ามีกลิ่นอายทรงพลังซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี้ยม แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคือจอมยุทธฝ่ายอธรรมผู้ฉาวโฉ่

“เฉียนขู่ เจ้าจัดการมันได้หรือไม่?”

ราชาดาบชิงเฉิงแตะด้ามดาบบริเวณเอว และมองลงไป

 

ไม่ว่าอย่างไรเฉียนขู่ก็มาจากวัดเส้าหลินเป็นสุดยอดพรรคฝั่งธรรมะ ตอนนี้ถูกปิดล้อมด้วยจอมยุทธฝั่งอธรรม จะให้เขานิ่งเฉยได้อย่างไร?

 

นอกจากนี้ หากจอมยุทธฝ่ายอธรรมเหล่านี้สังหารเฉียนขู่ได้จริงๆ เกรงว่ามันจะหันกลับมาโจมตีเขา

 

“ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ต้องดูความสามารถของคนเหล่านี้เสียหน่อย”

เฉียนขู่เงยหน้าขึ้นมองไปยังจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งหลาย ยกมือขวาขึ้น พลังภายในอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่พุ่งออกมา ครอบคลุมไปทั่วทั้งโรงเตี้ยม

ต่อหน้าพลังปราณอันยิ่งใหญ่สายพุทธ จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งหลายรู้สึกว่าพลังของพวกมันถูกระงับ

“ลาน้อยหัวโล้นเฉียนขู่ อย่าได้เย่อหยิ่งเกินไปนัก ตอนที่ข้าตะลอนไปทั่วยุทธภพ เจ้ายังดื่มนมแม่อยู่เลย”

เท้าของเจ็ดสามานย์กระทืบลงพื้นอย่างดุเดือด ทั้งร่างเคลื่อนคล้อยไปดุจอสรพิษกระโจนเข้าหาเฉียนขู่

 

อีกสามคนต่างก็ใช้วิธีการของตัวเอง ล้อมกรอบเฉียนขู่ไว้ตรงกลาง

บูม!

ไอพลังของการต่อสู้ระหว่างยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งกระจายออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะเฉียนขู่ไม่ต้องการจะทําร้ายผู้บริสุทธิ์และออกจากโรงเตี้ยมได้ทันเวลา เกรงว่าป่านนี้โรงเตี้ยมคงพังทลายลงไปแล้ว

เมื่อจอมยุทธทั้งหลายในโรงเตี้ยมเห็นฉากนี้ ตาของพวกเขาก็สว่างขึ้น และรีบออกจากโรงเตี้ยมเพื่อมาดูเฉียนขู่ต่อสู้กับเหล่าจอมยุทธฝ่ายอธรรม

การต่อสู้ระหว่างยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นหาได้ยากอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการใช้คนหมู่มากโจมตีคนหมู่น้อยยิ่งพบเห็นได้ยากขึ้นไปอีก

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไม่ใช่คนโง่ พวกเขาจะริเริ่มต่อสู้กับกลุ่มคนที่มีพลังในระดับเดียวกันได้อย่างไร

มีเพียงอัจฉริยะสายพุทธอย่างเฉียนขู่เท่านั้นที่มีพลังยับยั้งวิถีมาร และมีความมั่นใจในการไล่ตามจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งหลาย

 

ราชาดาบชิงเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที

ที่เขาไม่ลงมือในเวลานี้ ประการแรกเป็นเพราะเขายังมีความกลัวในจอมยุทธฝ่ายอธรรมอยู่

ประการที่สองคือเขาต้องการจะรู้ความแข็งแกร่งของเฉียนขู่ เพราะความแข็งแกร่งของเฉียนขู่นั้น ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาๆ ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย และในเวลานี้ ทั้งสี่คนต่างก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง พวกเขาควรจะสามารถบังคับเฉียนขู่ให้แสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่

 

“เมื่อเฉียนขู่รับมือไม่ไหว ข้าจะเข้าไปช่วย”

 

ราชาดาบชิงเฉิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงมองออกไปนอกโรงเตี้ยม

“ลุงสาม”

“ท่านว่าในหมู่พวกเขา ใครจะเป็นผู้ชนะ…”

 

หลี่หว่านเอ่ยถามด้วยเสียงต่ํา ดวงตาสดใส

 

แม้ภายในวัง หลีหว่านจะเคยเฝ้ามองการประมือกันระหว่างวันที่ชุดแดงกับรองแม่ทัพ

 

แต่จะมาเทียบกับเฉียนขู่ที่ต่อสู้เอาชีวิตกันกับเหล่าจอมยุทธฝ่ายอธรรมด้วยกําลังทั้งหมดได้อย่างไรเล่า?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตสังหารอันรุนแรงที่ปล่อยออกมาจากจอมยุทธฝ่ายอธรรมเหล่านั้น มันทําให้หลีหว่านตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก

“ใครจะเป็นผู้ชนะ?”

ซูฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจ ใบหน้าของเขาปรากฏคําใบ้ที่มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่