ตอนที่ 814 : ปริศนาเนตรศักดิ์สิทธิ์
ฉินหยุนเป็นกังวลห่วงหาหลันซูเหยา อาการบาดเจ็บของนางเพิ่งหายดี และตอนนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์พิบัติที่อันตรายอย่างยิ่ง นอกจากนี้แล้ว เมื่อครู่นางเพิ่งจัดการผู้คนไปมากมาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางต้องใช้พลังงานไปอย่างมหาศาลเป็นแน่
เจี้ยนสือเทียนและคณะคนของเขาต่างเผยสีหน้าหนักอึ้ง ใบหน้านั้นเผยร่องรอยแห่งความหวาดกลัว เนื่องด้วยพลังอํานาจของทัณฑ์พิบัติเบื้องหน้าชวนสะพรึงอย่างแท้จริง
ฉินหยุนกล่าวถามเสียงเบา “จ้าวสํานักดาบ ท่านมีความเข้าใจต่อทัณฑ์ต้านสวรรค์นี้อย่างไรบ้าง?”
“ผู้คนที่แตกต่างกันไป ย่อมกระตุ้นทัณฑ์พิบัติครึ่งเซียนที่แตกต่าง หากโชคดี เช่นนั้นอาจเป็นทัณฑ์พิบัติที่อ่อนแรง ทว่าหลันซูเหยาผู้นี้ ทัณฑ์พิบัติของนาง กล่าวได้ว่าเป็นประเภทที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด!” เจี้ยนสือเทียนกล่าว
“แข็งแกร่งที่สุด?”
ฉินหยุนมองไปยังลําแสงซึ่งร่วงหล่นลงมาเป็นฉากกั้นฟ้าที่ระยะไกลอย่างตื่นตะลึง ม่านแสงที่ไหลหลั่ง พวกมันเกิดขึ้นได้เพราะสายฟ้าอสนีบาตจํานวนมหาศาลผสมปนเป
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าได้ทราบจากบันทึกโบราณ บันทึกโบราณได้เขียนเอาไว้ ถึงรายละเอียดของพลังอํานาจทัณฑ์ต้านสวรรค์จํานวนหนึ่ง! ทว่าไม่เคยมีผู้ใดได้เผชิญทัณฑ์พิบัติดังเช่นที่หลันซูเหยากําลังเผชิญอยู่นี้!” เจี้ยนสือเทียนถอนหายใจยาว “หลันซูเหยาแข็งแกร่งยิ่ง นางถึงขั้นต้านรับไว้ได้นานเพียงนี้”
“เสี่ยวหยุน หลันซูเหยาครอบครองเนตรศักดิ์สิทธิ์ เป็นผลให้ร่างของนางแข็งแกร่ง พลังอํานาจการฟื้นตัวของนางก็แข็งแกร่งตาม นางสามารถต้านรับได้นานขนาดนี้ หมายความถึงนางสามารถต้านรับต่อได้จนถึงจุดสิ้นสุด” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ทัณฑ์สายฟ้าที่เกิดขึ้นไกลออกไปยังคงไม่หยุดยั้ง มันยังร่วงหล่นลงมาต่อเนื่อง พลังงานมหาศาลได้บดบังฟากฟ้าและผืนดินจนสะท้านสะเทือนทั่ว
ผ่านไปสองชั่วยาม หมู่เมฆสีดําบนฟากฟ้าเริ่มกระจายตัวเลือนหาย พื้นแผ่นดินที่สั่นสะท้านเพราะแรงของสายฟ้าอสนีบาต เวลานี้จึงค่อยสงบลง พื้นที่ซึ่งทัณฑ์พิบัติร่วงหล่น ยังคงมีควันหนาแน่นปกคลุมพร้อมฝุ่นดินฟุ้งกระจาย อย่างกะทันหัน ฝุ่นควันพลันต้องแหวกออก ฉินหยุนพุ่งทะยานร่างเข้าไปที่ภายใน
คฤหาสน์รัศมีมังกร รวมถึงพื้นที่ภูเขาโดยรอบ เวลานี้เลือนหายหมดสิ้น ที่หลงเหลือ ก็เพียงแต่หลุมใหญ่ยักษ์กระจายตามพื้นดิน
ฝูงชนที่รับชมอยู่ห่างไกล ต่างต้องอุทานชื่นชมกันหลายต่อหลายครั้ง
ภายในหลุมลึก มันปรากฏแสงสีครามอ่อนจางเป็นประกาย ฉินหยุนพุ่งทะยานเข้าหาแสงสีครามนั้น พบเห็นร่างหลันซูเหยาถูกฝังอยู่ เสื้อผ้าของนางถูกทําลายแทบไม่เหลือชิ้นดี ร่างกายที่บาดเจ็บ เวลานี้กําลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของนางยังปกติดี ประกายแสงสีครามโปร่งแสงพร้อมออร่าเซียนเผยชัดโคจรให้เห็นหลันซูเหยาเวลานีอ่อนแรงยิ่ง กระนั้นก็ยังสามารถลืมตามองที่ฉินหยุนได้
“เสี่ยวหยุน เร่งรีบใช้โอกาสนี้กอดนางไว้เ อย่าลืมใช้ลิ้นเจ้าให้ดีด้วย!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวเร่ง
“ข้าหรือจะทํา หากนางโกรธ เช่นนั้นคงตบข้าจนตกตายแล้ว แม่นางหยุนเอ่อผู้งดงาม ถึงตอนนั้นเจ้าก็ตายตามข้าไปด้วยแล้ว!” ฉินหยุนไม่ยินดียามรับฟังคําของหลิงหยุนเอ๋อ
ฉินหยุนคุ้ยหาของก่อนจะพบชุดสีน้ำเงินนําออกมาคลุมร่างหลันซูเหยาเอาไว้
“องค์ราชินีซูเหยา ยินดีด้วยแล้วที่ข้ามผ่านทัณฑ์ต้านสวรรค์ได้เ” ฉินหยุนช่วยเหลือนางสวมใส่เสื้อผ้า
ผู้คนที่ด้านนอก พบเห็นก็เพียงแต่แสงสีคราม พวกเขาไม่อาจได้เห็นว่าภายในเกิดอันใดขึ้น
หลันซูเหยาไม่ไหวติง นางปล่อยให้ฉินหยุนสวมใส่เสื้อผ้าแก่นาง ระหว่างฉินหยุนช่วยสวมใส่เป็นเขาไม่ทันระวังจนเผลอจับต้องตัวนาง กระนั้นนางก็หาได้ตอบสนองใดไม่ เป็นนางไม่ใส่ใจแต่แรกแล้ว
“ฉินหยุน ข้าจะฟื้นฟูได้โดยเร็ว และเมื่อนั้น ข้าจะถูกดูดกลืนเข้าสู่แดนเซียนอ้างว้าง!” หลันซูเหยาในที่สุดค่อยกล่าวคํา ดวงตาสีครามลึกล้ำของนางเวลานี้เต็มเปี่ยมด้วยประกายงดงาม “ต้องขออภัย ข้าไม่อาจร่วมทางกับเจ้าไปยังแคว้นมังกรทะยานฟ้า เจ้าต้องช่วยเหลือชิงเฉิงและเทียนสื่อถอนคําสาปให้ได้”
“พวกนางเป็นสหายข้า ดังนั้นข้าย่อมช่วยเหลือพวกนางแม้ท่านไม่บอกเรื่องนี้!” ฉินหยุนพยักหน้ารับ
“เจ้าต้องระวังตัวด้วย…. ดีที่สุดคือเพิ่มพูนการฝึกฝนก่อนที่จะไปยังที่นั่น!” หลันซูเหยากล่าวเตือน นางเองก็รู้สึกอับจน เป็นนางไม่คาดคิด ว่าตนเองจะกระตุ้นทัณฑ์พิบัติในช่วงเวลาเช่นนี้
ฉินหยุนขมวดคิ้ว เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ซูเหยา เหตุใดท่านจึงดีต่อพี่สาวซาลาเปานึ่งและพี่สุ่ย? ท่านเพียงรู้จักพวกนางได้ไม่นานเอง”
“เพราะพวกนางคือศิษย์ของข้า ข้าคือคนที่รับพวกนางเป็นศิษย์! ทว่าข้าทําหน้าที่อาจารย์ผิดพลาด ภายในข้ามีแต่ความรู้สึกผิดต่อเรื่องนี้!” หลันซูเหยาถอนหายใจยาว “บางที่ข้าไม่ควรรับตัวพวกนางเป็นศิษย์แต่แรก ภายหน้าพวกนางคงเกลียดชังข้าเป็นแน่แล้ว”
“ท่านวางใจ ข้ารู้จักพวกนางเป็นอย่างดี หลังอาการหายดี พวกนางย่อมยอมรับท่านเป็นอาจารย์อย่างแน่นอน!” ฉินหยุนได้เห็นเสื้อผ้าหลันซูเหยาร่วงหล่นด้านข้าง จึงเร่งรีบดึงขึ้นกระชับ
“ท่านนี่นะ! เหตุใดท่านไม่ใส่ใจยามข้ามองร่างกายบ้างเลยเล่า?” ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าวถาม
“เนตรศักดิ์สิทธิ์ของข้าไม่อาจแปรเปลี่ยนเจ้าเป็นหิน! ทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?” หลันซูเหยากล่าวถาม
“ข้า ข้าไม่อาจทราบ!” ฉินหยุนสงสัยต่อเลือดประหลาดเมื่อครั้งก่อนว่าอาจเป็นสาเหตุ จึงบอกเรื่องนี้ต่อหลันซูเหยา
“เลือดประหลาดนั้นไม่เกี่ยวข้องด้วย!” หลันซูเหยากล่าวตอบ สีหน้าซับซ้อนของนางเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว
“อย่างนั้นจะเกี่ยวข้องอันใด?” ฉินหยุนยิ่งเกิดความสงสัย
“ข้าไม่ทราบ!” หลันซูเหยาสวมใส่ชุดที่ฉินหยุนมอบให้เป็นอย่างดี แม้เป็นชุดของบุรุษ ทว่าก็ค่อนข้างพอดีตัว นางรัดผมขึ้นด้านบน พลังเซียนที่ร่างกายของนางยิ่งมายิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
“ซูเหยา ท่านไปยังแดนเซียนอ้างว้าง หาตัวสตรีนามเย่ว์โยว บอกนางว่าเป็นสหายของข้า” ฉินหยุนนึกเรื่องเย่ว์โยวขึ้นได้จึงบอกกล่าว “นางติดค้างข้าไว้ เมื่อใดไปยังแดนเซียนอ้างว้าง ที่ท่านต้องเผชิญจะมีแต่ความไม่คุ้นเคย ช่วงเวลานั้น ท่านสามารถพึ่งพานางได้”
“เข้าใจแล้ว” หลันซูเหยาพยักหน้ารับ ตอนนี้ ห้วงมิติรอบกายนางเริ่มเกิดการผันแปร ก่อนจะเกิดการฉีกขาดทางห้วงมิติ ร่างนั้นเริ่มเลือนหาย
ถึงตอนนี้เอง เจี้ยนสือเทียนและคณะจึงตามมา ครึ่งเซียนเหล่านี้ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะพวกเขาหวาดเกรงไปกระตุ้นทัณฑ์พิบัติร่วมกัน หลังได้เห็นแสงสีครามเลือนหาย พวกเขาจึงค่อยกล้าเข้ามา
“นางทําได้สําเร็จ!” หนึ่งในครึ่งเซียนตระกูลเจี้ยนเผยความริษยาอย่างเปี่ยมล้น
“นางไปยังแดนเซียนอ้างว้างแล้ว ไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้ ข้าจะได้เป็นพยานพบเห็นผู้ที่ข้ามผ่านทัณฑ์ต้านสวรรค์ด้วยตาของตนเอง!”
“นี่จะกลายเป็นส่วนช่วยเหลือพวกเราไม่มากก็น้อย เพราะพวกเราได้ทราบแล้ว ว่าทัณฑ์พิบัติที่เจ็ดซึ่งแข็งแกร่งที่สุดเป็นเช่นไร!”
“ได้พบเห็นบุคคลข้ามผ่านทัณฑ์พิบัติไปได้เช่นนี้ ถือเป็นการผลประโยชน์ครั้งยิ่งใหญ่!”
ครึ่งเซียนตระกูลเจี้ยนต่างเผยความประทับใจกันถ้วนหน้า
เจี้ยนหนันหูมองที่ฉินหยุนพร้อมกล่าวถาม “ฉินหยุน เจ้ายังจะไปแคว้นมังกรทะยานฟ้าอยู่หรือไม่?”
ฉินหยุนสายศีรษะ “เลื่อนออกไปก่อน!”
เขาคิดอยากมีการฝึกฝนคืบหน้าก่อน อย่างไรแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีหลันซูเหยาร่วมเดินทาง ดังนั้นจึงมีแต่ต้องเพิ่มพูนการฝึกฝนในทุกสัดส่วนให้ดียิ่งขึ้น
“ไปกัน ให้ข้าไปส่งเจ้าที่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์!” เจี้ยนสือเทียนกล่าว
ตระกูลหลงแห่งแคว้นมหาดวงดาวจบสิ้น กระทั่งครึ่งเซียนหกทัณฑ์พิบัติจากเขตแดนลึกล้ำยังถูกสังหาร และที่ทําผู้คนหวาดกลัวเป็นที่สุด คือมังกรทองคําจากแคว้นมังกรทะยานฟ้า ได้ถูกฉินหยุนจับตัวไปโดยหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกร
เรื่องราวความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่นี้ ได้กระจายไปยังทั่วทุกหัวระแหงของแดนวิญญาณอ้างว้างเขตแดนนอก ประหนึ่งสายลมพัดพาทั่วหล้าในเวลาเพียงไม่กี่วัน
ตอนนี้ สิ่งที่มั่นใจได้มีอย่างหนึ่ง คือแคว้นมหาดวงดาวอยู่ภายใต้การปกครองของพันธมิตรตระกูลเจี้ยนอย่างสมบูรณ์ ฝ่ายตระกูลเจี้ยน ในที่สุดก็ได้ขึ้นปกครองทั้งแคว้นมหาดวงดาว!
ตระกูลหลงแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้าย่อมมีโทสะอันไร้สิ้นสุด ครานี้พวกเขาสูญเสียอย่างหนักหนา ยังไม่กล่าวถึงความจริงที่ต้องสูญเสียมังกรซึ่งเก่งกาจและล้ำค่า ทั้งตระกูลสาขาถึงขั้นถูกกําจัดกวาดล้าง
ตระกูลหลงเวลานี้ได้รวบรวมกําลังจากสาขาทั้งหลายในต่างแคว้น เพื่อรวมกําลังเป็นปักแผ่นในฐานที่มั่นตระกูลหลงแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้า
แม้หลันซูเหยาไปยังแดนเซียนอ้างว้างแล้ว พวกเขาก็ยังกังวล ว่าฉินหยุนจะนําพาบุคคลชวนสะพรึงผู้อื่นบุกโจมตี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังต้องกังวล ว่าพันธมิตรตระกูลเจียนอาจบุกโจมตีสู่แคว้นมังกรทะยานฟ้าได้ทุกเมื่อ
หากตระกูลเจี้ยนสามารถปกครองแคว้นมังกรทะยานฟ้า พวกเขาจะสามารถกล่าวอ้างเป็นนายเหนือแห่งเขตแดนนอก ถึงตอนนั้น ก้าวถัดไปของตระกูลเจี้ยน ย่อมเป็นการรวมกําลังจากฝักฝ่ายพันธมิตรเขตแดนนอก เพื่อบุกเข้าโจมตีเขตแดนลึกล้ำ
นั่นคือสิ่งที่ฝักฝ่ายทั้งหลายของเขตแดนลึกล้ำต่างเป็นกังวล เพราะเหตุนั้น เขตแดนลึกล้ำจึงต้องส่งคนมาเพื่อสะกดความทะเยอทะยานขยับขยายของตระกูลเจี้ยน
ฉินหยุนกลับมาถึงตําหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ แช่กายในสระเซียน เขามองไปยังปิงชิงที่นั่งอยู่ริมสระ
ขาเรียวนวลขาวงดงามทั้งสองของปิงชิง กําลังเผยหย่อนลงที่สระเซียน ขาของนางแกว่งไกวเบา นางถอนหายใจกล่าว “ซูเหยากระตุ้นทัณฑ์ต้านสวรรค์ นี่เป็นเรื่องที่ข้าไม่คาดคิดเลย”
“พี่สาวปิงชิง ซูเหยาผู้นั้นมีชาติภพก่อนหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ไม่มี” ปิงชิงส่ายศีรษะกล่าวตอบ “เนตรศักดิ์สิทธิ์ของนาง เป็นสิ่งที่ชวนสะพรึงยิ่ง!”
“น่ากลัวอย่างไร?” ฉินหยุนกล่าวถาม
“เนตรศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของร่างศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่ทราบว่าเหตุใดนางจึงได้ครอบครองเนตรศักดิ์สิทธิ์คู่นั้น เจ้าเองก็ได้เห็นแล้ว ว่าเนตรศักดิ์สิทธิ์ของนางครอบครองพลังอํานาจชวนขนลุกเพียงใด!” ปิงชิงกล่าว
ฉินหยุนนึกย้อนถึงแสงสีครามที่เนตรศักดิ์สิทธิ์ของหลันซูเหยาปลดปล่อยออก เขาเอ่ยถาม “พี่สาวปิงชิง พลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ของซูเหยาไม่มีผลกับข้า มันจะมีสาเหตุอันใดได้?”
“นางถามเรื่องนี้ต่อข้าเช่นเดียวกัน…” ปิงชิงจมดิ่งสู่ห้วงความคิด
“พี่สาวปิงชิง ท่านไม่ทราบอันใดเลยจริงหรือ?” ฉินหยุนได้เห็นสีหน้าปิงชิง จึงเร่งรีบว่ายผ่านสระเซียนเข้าหา พร้อมคว้าเข้าที่หน้าแข้งของนางและกล่าวถาม
ปิงชิงส่งเสียงครวญครางเบาออกมา ก่อนจะเตะส่งฉินหยุนไปยังอีกฟากข้างของสระเซียน
ฉินหยุนกู้ยปากต่อว่า “พี่สาวปิงชิง ท่าทีของท่านต่อราชินีชูเหยานั้นคล้ายแตกต่างไปจากผู้อื่น! เรื่องนี้ต้องมีความลับเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นแน่!”
ปิงชิงกล่าว “ข้าเพียงคาดเดา ข้าสงสัยว่าตัวเจ้า… ตัวเจ้าในชาติภพก่อน คือผู้มอบเนตรศักดิ์สิทธิ์คู่นั้นให้แก่นาง! ชาติภพก่อนของเจ้าได้เข้าสู่เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ และหลงเหลือจารึกวิญญาณนายหญิงจันทราเอาไว้ เป็นไปได้มากว่าชาติภพก่อนของเจ้า ยังได้เข้าสู่เขตแดนอ้างว้างเมืองภูตผีต้องห้าม และมอบเนตรศักดิ์สิทธิ์คู่นั้นให้แก่ซูเหยา!”
ฉินหยุนอ้าปากค้างตื่นตะลึง “นี่คงเป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง?”
“ซูเหยาอายุไม่ใช่น้อยแล้ว เป็นไปได้มากว่าหลังนางถือกําเนิดไม่นาน เจ้าได้มอบเนตรศักดิ์สิทธิ์นั้นไว้ให้แก่นาง สาเหตุว่าทําไมเนตรศักดิ์สิทธิ์ของนางไม่อาจใช้งานกับเจ้า ก็เพราะเนตรศักดิ์สิทธิ์สามารถตรวจพบจิตวิญญาณที่คล้ายคลึงกับเจ้านายคนก่อนได้!” ปิงชิงกล่าวเสริม
“เหตุใดชาติภพก่อนของข้าจึงมีเนตรศักดิ์สิทธิ์คู่นั้น?” ฉินหยุนส่ายศีรษะ
“เรื่องของตัวเจ้าในชาติภพก่อน พวกเราไม่ล่วงรู้ กระทั่งเย่ว์หลานและอีกหลายคนก็ไม่มีทางทราบกระจ่างชัด!” ปิงชิงกล่าว
ฉินหยุนพลันรู้สึก ว่าตนเองในชาติภพก่อนต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทําให้สวรรค์ต้องสะเทือน
“พี่สาวปิงชิง คนของตระกูลหลงสมควรมาถึงนอกเมืองสร้างปัญหาในไม่ช้า ถึงตอนนั้นหวังว่าท่านจะขับไล่พวกมันไป!” ฉินหยุนขึ้นจากสระเซียนก่อนจะสวมใส่เสื้อผ้า
“แล้วเจ้าคิดทําอันใดต่อ? ตระเตรียมเก็บตัวฝึกฝนอย่างนั้นหรือ?” ปิงชิงกล่าวถาม
ฉินหยุนพยักหน้ารับ “ข้ามีแนวคิดต่อวิธีการเลื่อนระดับพลัง ข้าได้รับอักขระเต๋า นามว่าอักขระเทะยานลึกล้ำ ดังนั้นจึงคิดทดลองใช้งานมันดู!”