เฮ่อซวินช้อนร่างของอีกฝ่ายขึ้น ขณะที่ทั้งสนามเงียบกริบราวกับป่าช้า
ทุกคนได้แต่นิ่งอึ้ง สายตาจับจ้องพวกเขาแบบไม่วางตา
หยวนคังฉีจึงตะโกนอย่างรู้ทัน “ขอทางหน่อย มีคนเป็นลม เราต้องรีบพาเธอไปห้องพยาบาล” จากนั้นก็หันไปพูดกับมั่วลี่ “ช่วยอธิบายต่อที”
เฮ่อซวินวิ่งพาโจวจิ้งไปห้องพยาบาล ก่อนออกตัวก็ไม่ลืมที่จะเอาเสื้อมาคลุมร่างให้เธอ
ท่าทางแสนอบอุ่นนี้อยู่ในสายตาของทุกคน บ้างก็พยายามเข้าไปมุงดู แต่ก็ถูกแววตาน่าเกรงขามของเฮ่อซวินทำให้ต้องชะงัก
ไม่รู้ว่าเดินไกลแค่ไหน เฮ่อซวินหยุดฝีเท้าแล้วกัดฟันพูด “พอได้รึยัง?”
โจวจิ้งค่อยๆ ลืมตาขึ้นจนเห็นสีหน้ามืดมนของอีกฝ่าย
“ช่วยอุ้มฉันไว้ก่อนได้ไหม มันเลอะออกมาหมดแล้ว”
เสื้อผ้าหน้าร้อนค่อนข้างบาง โจวจิ้งจึงรู้สึกถึงของเหลวที่ไหลทะลักออกมา ถ้าเดาไม่ผิด เสื้อของเขาก็เลอะเลือดแล้วเหมือนกัน
เฮ่อซวินสูดหายใจเข้าลึกแล้วอุ้มโจวจิ้งเดินต่อ
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอถูกผู้ชายอุ้มแบบในละคร เพราะตั้งแต่คบกับซูเจียงไห่ยันแต่งงาน เขาไม่เคยแสดงความโรแมนติกใดๆ เลย
ด้วยความที่เป็นคนร่างสูงใหญ่ พอต้องอุ้มโจวจิ้ง เฮ่อซวินจึงไม่ได้ใช้แรงมากมาย
“แข็งแรงเหมือนกันนะเนี่ย อุ้มฉันปลิวเลย” เธอแซว
“หุบปาก!” เฮ่อซวินทำหน้าดุ
“เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าทำหน้าหงิกสิ” โจวจิ้งอบรม “โตไปจะรู้เองว่าชีวิตช่วงนี้ดีแค่ไหน”
เฮ่อซวินไม่สนใจที่เธอพูดและพยายามสาวเท้าไปที่ห้องพยาบาลให้เร็วที่สุด
เนื่องจากไม่ใช่ห้องพยาบาลสำหรับนักกีฬา จึงมีคนไม่มากนัก
พอไปถึง เฮ่อซวินก็โยนโจวจิ้งลงบนโซฟา แต่เธอรีบเด้งตัวลุกขึ้นเพราะกลัวโซฟาจะเลอะ
ระยะเวลาจากสนามถึงห้องพยาบาลแค่ไม่กี่นาที แต่โจวจิ้งกลับรู้สึกเหมือนนานเป็นปี ใจจริงเธออยากโทรให้มั่วลี่มาช่วย แต่เมื่อล้วงกระเป๋ากลับไม่พบมือถือ เพราะฝากไว้ที่มั่วลี่ก่อนลงแข่ง
“ฉันมีอีกเรื่องอยากให้ช่วย!” โจวจิ้งคว้าแขนเฮ่อซวินขณะกำลังเดินออกจากห้อง
“ไม่ช่วย!” เขาสะบัดแขนราวกับเธอเป็นตัวเชื้อโรค แต่เมื่อมองตามสายตาของอีกฝ่ายลงไปที่ชุดพละ เฮ่อซวินก็พบกับเลือดที่แห้งกรังเต็มไปหมด
บรรยากาศตอนนี้เต็มไปด้วยความอึดอัด เฮ่อซวินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันหลังเตรียมเดินออกไป
“อย่าเพิ่งไป!” โจวจิ้งดึงเสื้ออีกฝ่าย “ช่วย… ช่วยไปซื้อผ้าอนามัยให้หน่อยได้ไหม?” พูดจบก็เหลือบมองเสื้อเปื้อนเลือดของเขา “ถอดเสื้อออกมา ฉันจะเอาไปซักให้ รับรองสะอาดหมดจดแน่นอน! แต่ตอนนี้… นายช่วยไปซื้อของให้ฉันก่อนนะ นะๆๆ”
เฮ่อซวินอดขำคารมและท่าทางวิงวอนของโจวจิ้งไม่ได้
“กำลังขอร้องฉันอยู่เหรอ?” เขาทำหน้ายียวน
เธอรีบพยักหน้า
“จะซักเสื้อให้ด้วย?”
“แน่นอน ถอดกางเกงมาด้วยเลยก็ได้!”
“งั้นขอคิดดูก่อน”
เฮ่อซวินทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่แล้วก็หยุดฝีเท้าลง
ที่หน้าประตูมีนักเรียนจำนวนมากยืนมุงอยู่ ทั้งมั่วลี่ เจ้าเขียว เฝิงเอี้ยน หยวนคังฉี และอีกหลายคนที่เขาไม่รู้จัก
ถ้าเดาไม่ผิด พวกนั้นคงได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่แล้ว
คนในห้องทำตัวไม่ถูก คนนอกห้องก็อึดอัดเช่นกัน พวกเขาสบตากันไปมา แสดงออกถึงความอยากรู้อยากเห็นปนสงสัย
มั่วลี่เหมือนจะพูดอะไร แต่ก็กลืนกลับเข้าไป นานแสนนานจึงถามออกมาว่า “เออ เจ๊…พวกเรามาผิดเวลาใช่ไหม”
หยวนคังฉีจ้องคราบเลือดบนตัวเฮ่อซวินแล้วพูดอย่างรู้ทันว่า “ได้เวลาลงแข่งแล้ว รีบไปกันเถอะ”
เฮ่อซวินรีบส่งสายตาให้โจวจิ้งราวกับต้องการบอกให้เธอไปตายเอาดาบหน้า ก่อนจะเดินตามหยวนคังฉีไปอย่างเงียบๆ
พอพวกเขาคล้อยหลังไป เฝิงเอี้ยน เจ้าเขียว และมั่วลี่ก็รีบเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นลมได้?” เฝิงเอี้ยนเปิดประเด็นก่อน
โจวจิ้งส่ายหน้า “อย่าพูดถึงมันอีกเลย” จากนั้นก็หันไปถามมั่วลี่ “มีผ้าอนามัยไหม ขอยืมหน่อย”
ตั้งแต่เดือนกันยายน ดวงของโจวจิ้งก็ตกลงทุกวัน
ไม่เกิดอุบัติเหตุ ก็กลายเป็นประเด็นดังในโรงเรียน ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าของร่างเดิมต้องเจอสภาพนี้ทุกวันรึเปล่า แต่สำหรับเธอไม่สนุกเลยสักนิด
นอกจากจะถูกนินทาตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่งวิ่ง ครั้นพอได้ที่หนึ่ง กลับถูกประจำเดือนแย่งซีนไปอีก แถมทำให้เฮ่อซวินต้องซวยไปด้วย
ถ้าถูกคนอื่นช่วยไว้ตอนเป็นลมคงไม่มีปัญหา แต่กลับเป็นเฮ่อซวิน เดือนและเด็กเทพห้องกิฟต์ของโรงเรียน บวกกับประเด็นที่ยังคงค้างคาเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างโจวจิ้ง หยวนคังฉี หลินเกา และเถาม่าน เรื่องในวันนี้จึงเป็นประเด็นที่โจวจิ้งต้องแบกรับไปอีกนาน
“ดื่มน้ำก่อน” เฝิงเอี้ยนยื่นน้ำอุ่นให้แก้วหนึ่ง “ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก รีบพักผ่อนเถอะ”
“ฉันแข็งแรงดี แค่นี้เล็กน้อย” โจวจิ้งบ่นพลางจิบน้ำอุ่นในมือ
แม้ร่างกายนี้จะอ่อนปวกเปียก แต่ไม่ปวดท้องตอนมีประจำเดือน ต่างจากเธอตอนเด็กๆ ที่ทรมานแทบตายแต่กลับต้องตื่นมาทำกับข้าวให้น้องชายกินทุกเช้า
“เมื่อตอนบ่าย เฮ่อซวินแข่งบาสชนะขาดด้วยคะแนน 0 ต่อ 27 เลยนะ” เฝิงเอี้ยนเล่า
โจวจิ้งแอบคิดในใจ—คงโกรธที่ชุดพละเปื้อนเลือด เลยระบายอารมณ์ใส่ลูกบาสจนชนะน่ะสิ!
“ว่าแต่ เธอกับเฮ่อซวิน…” เฝิงเอี้ยนถามแบบกล้าๆ กลัวๆ
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น” โจวจิ้งปฏิเสธ “ฉันกับเขาเนี่ยนะ? เป็นไปไม่ได้หรอก”
เมื่อเห็นเฝิงเอี้ยนทำหน้าไม่เชื่อ เธอจึงอธิบายต่อ
“ถ้าเธอเป็นเขา จะอยากฆ่าฉันทิ้งหรือรู้สึกรักมากกว่าล่ะ?”
“ก็จริง ตอนนี้พวกนักเรียนพากันวิจารณ์ไปเรื่อย เธออย่าไปใส่ใจเลยนะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เฝิงเอี้ยนก้มมองนาฬิกา “ฉันต้องไปอ่านหนังสือที่ห้องเรียนแล้ว อยากไปด้วยกันไหม?”
“ไม่เป็นไร” โจวจิ้งตอบ
“หิวรึเปล่า? จะได้ไปซื้อให้”
“ขอน้ำยาขจัดคราบแล้วกัน”
“หือ?”
“ไม่เอาดีกว่า เธอไปก่อนเลย ฉันอยากงีบสักพัก” โจวจิ้งล้มตัวลงนอน
หลังเฝิงเอี้ยนออกไป โจวจิ้งก็คลุมโปงด้วยความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
ชีวิตหนอ ทำไมวุ่นวายขนาดนี้…
เธอรู้ดีว่ากำลังตกเป็นประเด็นอยู่ในกระทู้ ทำให้รู้สึกผิดกับเฮ่อซวินอย่างมาก
เขาไม่ใช่คนอารมณ์ดีเหมือนอย่างหยวนคังฉี แต่กลับถูกเธอสร้างงานให้ครั้งแล้วครั้งเล่า หนักสุดคือทำชุดพละเปื้อนเลือดประจำเดือน สร้างความอับอายให้เขาไม่น้อย
คิดได้เช่นนี้ เธอก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วออกไปหาซื้อน้ำยาซักขจัดคราบให้อีกฝ่ายที่ซอยหลังโรงเรียน
ช่วงเย็น ซอยนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ ยิ่งช่วงเลิกกีฬาสีเด็กนักเรียนจะออกมาเฉลิมฉลองกันจำนวนมาก
โจวจิ้งล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกง แล้วเดินเตร็ดเตร่ไปตามทาง
ขณะกำลังเลือกซื้อของ เสียงเรียกก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง “มาทำอะไรที่นี่?”
หยวนคังฉีเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ออกมาหาอะไรกิน” เธอไม่กล้าบอกความจริง
“แล้ว… ดีขึ้นรึยัง?” เขาถามตะกุกตะกัก
เธอมั่นใจว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว แม้จะรู้สึกอับอาย แต่พอเกิดเรื่องบ่อยๆ ก็ชาชินไปโดยปริยาย
“ปกติน่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอก นายมาหาของกินเหรอ?”
“เปล่า วันนี้วันเกิดเพื่อน กำลังจะรีบไป” เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพูดขึ้นต่อ “ไปด้วยกันไหม?”
“ไปทำไม ฉันไม่รู้จักใครเลย”
“เธอรู้จัก”
“ใครเหรอ?”
หยวนคังฉีหัวเราะ “ก็กลุ่มที่ตามฉันไปห้องพยาบาลเมื่อเช้าไงล่ะ ถือว่าเคยเจอกันแล้วนะ”
ช่างเป็นความทรงจำที่โจวจิ้งอยากจะลืมเหลือเกิน
“ขอบคุณที่ชวน แต่ฉันไม่อยากไป”
“ไปเถอะ เพื่อนๆ อยากรู้จักเธอทั้งนั้น”
“ไม่ไป!” โจวจิ้งปฏิเสธเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำไม
หยวนคังฉีรั้งแขนเธอเอาไว้ “ไปกับฉัน!”
ใต้แสงสลัวในห้องคาราโอเกะ เจ้าอ้วนกำลังอินกับ****เพลงประกอบละครที่ดังอยู่ในช่วงนี้
หลังจบหนึ่งเพลง เจ้าผอมก็ปรบมือให้กำลังใจเพื่อน ส่วนคนอื่นก็กินไปดื่มไป ไม่มีใครสนใจสองคนนี้
“วันนี้เฮียเฮ่อเป็นอะไร ดูอารมณ์ไม่ดี” เจ้าอ้วนถาม
“ก็ใช่น่ะสิ ตอนบ่ายถึงได้ระบายอารมณ์ใส่ลูกบาสขนาดนั้น”
“โกรธเรื่องโจวจิ้งน่ะเหรอ?” เจ้าอ้วนลูบคางครุ่นคิด
“เบาๆ เดี๋ยวระเบิดลงอีก” เจ้าผอมเตือน
“ถอดเขี้ยวออกจากปากเสือได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“พูดอะไรของนาย แบบนี้ถึงได้สอบภาษาไม่ผ่านสักที ระวังจะถูกเตะไปห้องบ๊วยล่ะ”
“อย่าแช่งกันแบบนี้สิ ภาษาไม่ดีไม่ได้แปลว่าวิทย์คณิตจะแย่นะ!” เจ้าอ้วนเถียง
ขณะเจ้าผอมกำลังจะโต้กลับ หยวนคังฉีก็เปิดประตูเข้ามา
“ทำไมเพิ่งมา พวกเรารอตั้ง…” เจ้าอ้วนถึงกับชะงัก “นาน…”
ภาพตรงหน้าคือคนที่ถูกเฮ่อซวินอุ้มท่าเจ้าสาวท่ามกลางสายตาของคนทั้งโรงเรียน คนเดียวกับที่ตามตื๊อหลินเกานานนับสิบปี คนที่เป็นประเด็นใหญ่ในกระทู้ของโรงเรียนช่วงนี้
“โทษทีมาสายไปหน่อย” ทักทายเสร็จหยวนคังฉีก็ลากโจวจิ้งไปนั่งข้างเฮ่อซวิน
เธอรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป—หยวนคังฉี ไอ้เด็กเวร!
โจวจิ้งไม่เคยเจอคนที่ป่วนเธอได้ขนาดนี้ บังคับให้มายังไม่เท่าไหร่ เพราะคิดว่าเป็นปาร์ตี้ธรรมดาๆ แต่พอเปิดประตูออกกลับพบคนมากมายอัดอยู่ในนั้น
ที่ว่างมีเยอะแยะ แต่หยวนคังฉีกลับหาที่ที่อันตรายที่สุดให้เธอนั่ง
เฮ่อซวินยังคงมีสีหน้าเย็นชา ที่น่าโมโหก็คือหยวนคังฉีทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอาน้ำอุ่นสักแก้วไหม?”
“ไม่ๆ ไม่เป็นไร” โจวจิ้งยิ้มตอบ ก่อนจะกระดกดื่มแก้วน้ำตรงหน้าจนหมด
“อันนั้น… แก้วของเฮียเฮ่อ” เจ้าผอมโพล่งขึ้น
เยี่ยมไปเลย เธอประสบความสำเร็จในการยั่วโมโหเฮ่อซวินอีกแล้ว!
โจวจิ้งหันหน้าไปอีกทางแล้วชวนหยวนคังฉีคุยเรื่องการสอบ “คะแนนใกล้จะออกแล้ว ตื่นเต้นไหม?”
“เธอสนใจคะแนนสอบด้วยเหรอ?” หยวนคังฉีทำหน้าตกใจ “ฉันไม่ตื่นเต้นหรอก มีเจ้านี่เป็นคู่แข่งแค่คนเดียว”
ถ้าเฮ่อซวินสอบได้ที่หนึ่ง เขาก็จะได้ที่สอง ถ้าเฮ่อซวินสอบได้ที่สอง เขาก็จะได้ที่หนึ่ง เป็นแบบนี้สลับกันไป
โจวจิ้งแอบคิดในใจ ถ้าคนเรียนสายศิลป์อย่างเธอไม่ถูกจับมาอยู่สายวิทย์ พวกเขาไม่มีทางได้ที่หนึ่งแน่นอน
“ได้ข่าวว่าเธออ่านหนังสือทุกวัน แถมวันสอบก็ไม่ได้ส่งกระดาษเปล่าด้วย” หยวนคังฉีชวนคุยต่อ
“ฉันเหมือนคนที่น่าจะส่งกระดาษเปล่าเหรอ?”
“ใช่” เขาพยักหน้า
โอเค เจ้าของร่างคงเป็นแบบนั้นจริงๆ
โจวจิ้งเหลือบมองเฮ่อซวินที่กำลังตั้งใจฟังบทสนทนาของเธออยู่
“เขาโกรธมากเลยใช่ไหม?” เธอสะกิดหยวนคังฉี
หยวนคังฉียกนิ้วโป้งตอบ “เธอนี่ใจเด็ดมาก นับถือจริงๆ”
“ทำยังไงเขาถึงจะหายโกรธ? ฉันซักชุดพละให้ดีไหม?”
“คิดว่าไงล่ะ”
“น่าจะไม่ได้ผล” โจวจิ้งถอนหายใจ
“ฉันจะช่วยพูดให้แล้วกัน” หยวนคังฉีปลอบ “ถึงเฮ่อซวินจะเข้าถึงไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย”
โจวจิ้งเริ่มใจชื้น “ขอบใจมาก นายเป็นคนดีจริงๆ” เธอซาบซึ้งจนลืมไปว่าคนตรงหน้าคือคนเดียวกับที่ลากเธอมาที่งาน
“ไหนๆ ก็สนิทกันแล้ว บอกความจริงฉันหน่อยได้ไหม?” หยวนคังฉีส่งยิ้มเจ้าเล่ห์
“ความจริงอะไร?”
เขาขยับตัวเข้าใกล้จนอยู่ในระยะประชิด “จีบเฮ่อซวินจริงเหรอ?”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก ทำไมสอดรู้สอดเห็นเหมือนป้าแก่?”
แม้จะมุ่นคิ้วกับคำว่า ‘เด็ก’ แต่หยวนคังฉีก็ไม่ลดละความพยายาม
“บอกมาเถอะ ฉันไม่เล่าให้ใครฟังหรอก ว่าแต่… ที่ล้มใส่เขาวันนี้ จงใจใช่ไหม?”
“ถ้ารู้ว่านายคิดแบบนี้ ฉันล้มใส่นายดีกว่า” โจวจิ้งยักคิ้วแล้วคว้าแก้วเปล่ามารินน้ำใส่ “ตอนนี้ฉันสนใจแค่เรื่องเรียนเท่านั้น”
“เอ่อ อันนั้น…” เจ้าผอมโพล่งขึ้นอีกครั้ง
หลังดื่มจนหมด โจวจิ้งก็หรี่ตามองแก้วในมือ “รสชาติไม่เหมือนน้ำเปล่าเลย?”
“มันคือเหล้า” เจ้าผอมตอบ
“เธอไม่ควรดื่มเหล้านะ” หยวนคังฉีปราม
โจวจิ้งมองอีกฝ่ายด้วยแววตาชื่นชม คนอย่างเขามีคนชอบมากมาย ทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษ อารมณ์ดี นิสัยดี พูดจาฉอเลาะ โตขึ้นคงฮอตน่าดู
“นายคงไม่รู้ ว่าฉันน่ะคอแข็งสุดในวงเหล้าแล้ว”
เธอก็ทำหน้าตกใจเมื่อรู้ว่ากำลังพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
“วงเหล้าอะไร?”
“วงเหล้าไง ฮ่าฮ่าฮ่า” โจวจิ้งขำกลบเกลื่อน
ย้อนไปสมัยเพิ่งเริ่มทำงาน โจวจิ้งต้องตามหัวหน้าไปดื่มกับลูกค้าบ่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายแข็งแรง ตับของเธอคงพังไปแล้ว เหล่าแค่นี้จึงไม่ใช่ปัญหา
พอเห็นโจวจิ้งดื่มเหล้าแบบไม่กะพริบตา เจ้าอ้วนก็หลุดปากชม “แม่เจ้า คอแข็งนะเนี่ย! วันนี้วันเกิดผม มาๆ ชนแก้วกันดีกว่า”
“ได้เลย” โจวจิ้งไม่ปฏิเสธ
“ไม่ดีมั้ง ร่างกายเธอไม่ปกติอยู่นะ” หยวนคังฉีเตือน
“แก้วเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก”
ถึงเธอจะไม่ใช่คนคอแข็ง แต่หากเทียบกับเด็กพวกนี้ ก็นับว่าเหนือกว่ามาก ถึงขนาดคิดจะชวนเฮ่อซวินไปชนแก้วเพื่อปรับความเข้าใจด้วยซ้ำ
เจ้าอ้วนกระดกเหล้าในแก้วจนหมดตามด้วยโจวจิ้ง
“โคตรนับถือการวิ่งของเจ๊เลย ไม่มีเหนื่อยไม่มีหอบ ถึงจะเป็นลมตอนเข้าเส้นชัยก็เหอะ แต่โดยรวมถือว่าวิ่งสวยมาก ผมว่าจะไปวิ่งลดน้ำหนักอยู่เหมือนกัน มีอะไรอยากแนะนำไหม?”
โจวจิ้งตบบ่าเจ้าอ้วน “ลดน้ำหนักด้วยการวิ่งมันไม่พอ ต้องคุมอาหารด้วย จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วต้องดูแลสุขภาพให้มาก ถ้าไม่ขยันออกกำลังกาย แก่ไปโรครุมแน่นอน”
“โอ้โห” เจ้าอ้วนหันมองเจ้าผอม “พูดเหมือนแม่ฉันเลย!”
ร่างหนาใหญ่ของเจ้าอ้วนถูกออร่าของเธอบังจนมิด สภาพตอนนี้เหมือนแม่กำลังสั่งสอนลูกอยู่ ดูกลมกลืนแต่ก็รู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก
เจ้าผอมบ่นกับตัวเอง “แบบนี้ไงถึงได้เป็นเจ๊ใหญ่ของโรงเรียน เท่สุดๆ!”
ได้คุยกับโจวจิ้งแค่สองสามคำ เจ้าอ้วนก็รู้สึกถูกโฉลกแล้ว สำหรับเขา เธอเป็นคนมีเหตุผล น้ำเสียงไพเราะ ไม่เหมือนกับที่คนอื่นเคยนินทาให้ฟังเลย
อาจเพราะกำลังเมา เขาจึงขยับเข้าใกล้เธออย่างสนิทสนมพร้อมออกความเห็น “ผมว่าเจ๊มีทางเลือกอีกเยอะ ถึงหลินเกาจะโอเค แต่เขามีเถาม่านแล้ว เฮียเฮ่อยังน่าสนใจกว่าอีก เห็นจากที่กอดกัน
วันนี้ บอกได้คำเดียวว่าเหมาะสมมาก…”
เจ้าอ้วนยกนิ้วโป้งให้เธอ แต่กลับถูกเจ้าผอมเอามืออุดปาก “พูดบ้าอะไรเนี่ย!” พูดจบก็หันมองเฮ่อซวินที่กำลังจ้องตาเขม็ง
แม้เฮ่อซวินจะนิสัยเย็นชา แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทางอึดอัดรำคาญใส่ผู้หญิงคนไหน คงเพราะถูกตามจีบเยอะขึ้น ความอดทนที่มีจึงลดลงเรื่อยๆ
เนื่องจากเป็นวันเกิดเพื่อน ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหนเขาก็ยอมทนเพราะต้องการให้เกียรติ เจ้าอ้วนเลยกล้ายกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเล่น เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ถือสา
หยวนคังฉีหันไปกระซิบกระซาบกับเฮ่อซวิน “คิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี”
เจ้าอ้วนถึงขนาดเรียกโจวจิ้งว่า ‘เจ๊’ ทั้งที่เจอหน้ากันครั้งแรก อีกไม่นานจักรวาลยวู่เต๋อจะต้องตกอยู่ในกำมือของเธออย่างแน่นอน
“ชวนมาทำไม?” เฮ่อซวินถามด้วยความโมโห
“สนุกดีออก” หยวนคังฉีตอบหน้าตาย “ไม่รู้สึกว่าเธอเป็นคนน่าสนใจเหรอ?”
“ไม่รู้สึก”
หยวนคังฉีทำท่าครุ่นคิด “ฉันแค่ยังไม่เข้าใจที่จู่ๆ เธอก็เลิกชอบหลินเกา แล้วหันมาชอบนายแทน”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย?” เฮ่อซวินจิกตามองอีกฝ่าย
โจวจิ้ง เจ้าอ้วน และเจ้าผอมเล่นเกมกันอย่างสนุกสนาน แม้ในห้องจะมีคนอยู่มากมาย แต่มีเพียงสองคนนี้ที่ดีกับเธอ แต่สิ่งที่โจวจิ้งเธอคาดไม่ถึงก็คือ ร่างใหม่ของเธอร่างนี้คออ่อนมาก แค่เหล้าแก้วเดียวก็ทำเข่าแทบทรุด
เล่นเกมไปได้สักพัก เธอก็รู้สึกมึนหัว จึงเดินไปนั่งที่โซฟาเพื่อสงบสติ แต่กลับง่วงจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ในฝัน โจวจิ้งเห็นประตูบานหนึ่งตรงหน้า เมื่อเดินเข้าไปก็พบตัวเองในสภาพท้องแก่ นั่งถักไหมพรมอยู่บนโซฟาอย่างทะมัดทะแมง
จู่ๆ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ด้านข้างเพื่อเรียกรถพยาบาล
พอรถพยาบาลมาถึง เจ้าหน้าที่ก็หามโจวจิ้งขึ้นไป เธอร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดไปตลอดทาง พอถึงหน้าห้องคลอดก็ได้พบกับแม่และน้องชาย พ่อไม่ได้มาเพราะติดงาน ส่วนสามีก็นอนกอดชู้อยู่ที่บ้าน
โจวจิ้งมองผู้หญิงที่นอนเหงื่อแตกอยู่บนเตียงผ่าตัด เธออยากจะเดินเข้าไปซับเหงื่อบนหน้าผากให้ แต่คุณหมอกลับแจ้งข่าวร้ายเสียก่อน
“น้ำคร่ำอุดตันหลอดเลือด คุณแม่อยู่ในภาวะอันตราย!”
“จะช่วยชีวิตแม่หรือลูก?”
“…”
“เห้ย! ทำไมมานอนตรงนี้?”
เฮ่อซวินเป็นคนแรกที่เห็นเธอหลับ สภาพตอนนอนของโจวจิ้งน่าเกลียดมาก หัวพิงอยู่บนพนัก แขนอ้าซ่ากินพื้นที่ทั้งโซฟา ยังมีเสียงกรนเบาๆ อีก
“ไหน?” หยวนคังฉีเดินเข้าไปเขย่าแขน “โจวจิ้ง”
เธอพลิกตัวไปอีกด้านพร้อมสะบัดมือของเขาออก
“นอนตรงนี้ไม่ได้ ให้ฉันไปส่งนะ” หยวนคังฉีเสนอ
ดูเหมือนโจวจิ้งจะไม่ได้ยินอะไรเลย
“เมาเหรอ? เธอดื่มไปแก้วเดียวเองนะ” เจ้าผอมขมวดคิ้ว
“คออ่อนจัง” เจ้าอ้วนมองอย่างไม่เชื่อสายตา
เฮ่อซวินหัวเราะ “นึกว่าจะแน่!”
สภาพของโจวจิ้งตอนชนแก้วกับเจ้าอ้วนนั้นเท่อย่าบอกใคร แต่ในความเป็นจริงคือได้เท่านี้
เจ้าอ้วนเกาหัวแล้วแก้ต่างให้ “เธอเป็นผู้หญิง พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ว่าแต่ตอนนี้ต้องทำยังไง เฮียหยวนจะแบกเธอกลับใช่ไหม?”
หยวนคังฉีมองไปที่โจวจิ้ง “ไม่น่าไหว”
ทุกคนพอจะเข้าใจคำตอบนี้ แม้หยวนคังฉีจะมีรูปร่างสูงเพรียว เล่นกีฬาเก่ง แต่เขาไม่เคยยกของหนักมาก่อน ขนาดเปลี่ยนถังกดน้ำยังต้องออกแรงเยอะมาก แล้วโจวจิ้งทั้งคน หนักกว่าถังน้ำแน่นอน
เมื่อสายตาของหยวนคังฉีหยุดอยู่ที่เฮ่อซวิน ทุกคนในห้องจึงมองตาม
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาถึงกับร้อนตัว “ไม่ต้องมอง ฉันแบกไม่ไหว!”
หยวนคังฉีทำสายตาอ้อนวอน “ดูพวกเราแต่ละคนสิอ่อนปวกเปียกทั้งนั้น เหลือแค่นายแล้ว”
“ใช่ๆ” เจ้าอ้วนพูดเสริม “ตอนเช้ายังเห็นอุ้มถนัดมืออยู่เลย แบกอีกสักรอบคงไม่เป็นไร”
“เป็นโอกาสดีที่จะได้พัฒนาความสัมพันธ์นะ” เจ้าผอมเห็นด้วย
“ไม่!” เฮ่อซวินตอบสั้นๆ
“ฉันแบกเองก็ได้ แต่ถ้ากลางทางไม่ไหว นายต้องช่วยฉันนะ” หยวนคังฉีพูดพลางถกแขนเสื้อ “อย่าคิดมาก ถือว่าแบกกระเป๋าเดินทางแล้วกัน”
“มีเฮียหยวนไปด้วยไม่เป็นข่าวแน่นอน” เจ้าผอมออกความเห็น “เฮียเฮ่อก็อย่าใจร้ายไปเลย เจ๊เขายังไม่ถือสา แล้วเราจะถือสาทำไม”
เฮ่อซวินสูดหายใจเข้าลึก รู้ดีว่าถ้าไม่ช่วยต้องถูกประณามว่าเป็นคนใจดำแน่นอน
เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปหาโจวจิ้ง ยืนมองท่านอนของเธอด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะหันไปพูดกับหยวนคังฉี “ตามมา!”
ดูเหมือนคนเมาจะหนักกว่าคนปกติ เพราะเมื่อเช้าเขายังอุ้มเธอได้สบายๆ แต่ตอนนี้กลับหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
เฮ่อซวินหันไปส่งสัญญาณให้หยวนคังฉีช่วยประคองโจวจิ้งขึ้นหลัง
จังหวะที่พวกเขาช่วยกันแบบร่างของเธอขึ้นหลังอย่างทุลักทุเล โจวจิ้งก็สะลึมสะลือตื่นและละเมอบางอย่างออกมา
“เธอพึมพำอะไรน่ะ?” เจ้าอ้วนถาม
“ลูก… อะไรสักอย่าง” เจ้าผอมตอบพลางยื่นหูเข้าไปใกล้ๆ “ลูกชิ้น…”
พูดยังไม่ทันจบดี โจวจิ้งก็ตะโกนเสียงดังลั่น “ช่วยลูกฉันด้วย!”
เฮ่อซวินตกใจจนเผลอปล่อยมือ โจวจิ้งจึงหล่นลงไปกองกับพื้น
เจ้าอ้วนเคยพูดไว้ว่า ที่เธอชอบยั่วโมโหเฮ่อซวินเพราะต้องการถอดเขี้ยวเล็บเสือ มาวันนี้กลับหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะกำลังขี้ใส่หัวเสืออยู่
โจวจิ้งที่นั่งมึนงงอยู่บนพื้นเข้าไปกอดขาเฮ่อซวินแล้วอ้อนวอนราวกับคนอกหัก “ช่วยลูกฉันด้วย นายไม่เอาเด็กคนนี้แต่ฉันจะเอา!”