“อย่างนั้นเองสินะคะ”

ต่างจากคารินที่แนะนำเขาอย่างระมัดระวัง อาเรียกลับตอบออกมาอย่างสุขุม ราวกับว่านั่นไม่ได้มีค่าอะไรเป็นพิเศษสำหรับเธอเลย

แม้จะรู้สึกเหมือนกับเคยได้ยินนามสกุลเปียสต์มาจากที่ไหนสักแห่ง แต่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะถึงจะมีพ่อที่แท้จริงขึ้นมา ชีวิตของเธอก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปอยู่ดี

“…ไม่ตกใจเลยหรือ”

“ก็แม่ทำให้ลูกเดาได้ง่ายๆ เสียขนาดนั้น ลูกไม่มีทางมาตกใจเอาป่านนี้หรอกค่ะ”

ยิ่งไปกว่านั้นหน้าตาก็ออกมาพิมพ์เดียวกันขนาดนี้ จะให้คิดว่าเกี่ยวข้องกันทางอื่นได้อย่างไรล่ะ ท่าทางคารินจะลืมไปเสียแล้วว่าอาเรียได้เอ่ยคำว่า ‘ความสัมพันธ์ทางสายเลือด ’เอาไว้ก่อนหน้านี้ คารินถึงได้มีสีหน้าอับอายเป็นอย่างมาก

“เพราะอย่างไรลูกก็เกิดมาเองไม่ได้อยู่แล้ว การที่มีพ่อบังเกิดเกล้าอยู่จึงไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไรนี่คะ นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าเหตุผลที่มาหาแบบนี้คืออะไรหรือคะ”

ในตอนที่เธออายุใกล้จะครบสิบเจ็ดปี เขาไม่ได้มาหาเธอด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงเลือกมาหาในตอนนี้กันล่ะ

เพราะเรื่องเงินรึเปล่านะ ถึงแม้ว่าอาเรียจะไม่ได้เปิดเผยทรัพย์สมบัติที่เธอมีอยู่ก็ตาม แต่ความจริงที่ว่าเธอสะสมทรัพย์สินและความมั่งคั่งเอาไว้อย่างมหาศาลก็เป็นที่รู้กันไปทั่วผืนแผ่นดิน

เดิมทีแล้วธุรกิจที่เธอเข้าไปลงทุนเป็นธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตทั้งสิ้น เพราะเหตุนั้นจึงทำให้อาเรียโดดเด่นมีบารมีขึ้นมา และทำให้เธอเป็นที่หนึ่งเหนือกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะข้าวของที่พวกผู้หญิงใช้กันนั้น ถึงขนาดมีข่าวลือออกมาว่าหากเป็นของที่อาเรียใช้แล้วละก็ จะกลายเป็นที่นิยมไปในทันทีเลยทีเดียว เพราะพวกเธอต่างคิดว่าหากใช้ของแบบเดียวกับที่อาเรียใช้ ก็จะสวยขึ้นเหมือนกับอาเรีย ทำให้ของเหล่านั้นขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

เพราะเหตุนั้นอาเรียจึงไม่สามารถต้อนรับตัวตนของพ่อบังเกิดเกล้าซึ่งปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่ตัวเธอมีทั้งชื่อเสียงเงินทองได้อย่างสนิทสนม

อย่างไรเสียในตอนนี้เธอก็มีพร้อมทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรที่พ่อบังเกิดเกล้าจะให้กับเธอได้ กลับกันเธอคิดว่าอาจจะเป็นเขาด้วยซ้ำที่จะฝ่ายได้รับอะไรมากมายจากเธอ

แน่นอน หากว่าคารินชอบเขาอาเรียก็คิดที่จะสนับสนุนให้พวกเขาได้คบกันใหม่ แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่เมื่อลองเฝ้ามองอยู่ห่างๆ แล้ว อาเรียก็รู้สึกได้ว่าโคลอีชอบพอคารินเอามากๆ

และทั้งหมดนั่นคือความรู้สึกของอาเรียที่มีต่อโคลอีพ่อบังเกิดเกล้าซึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“นั่นน่ะเป็นเพราะผมเองครับ เลดี้อาเรีย”

โรฮันตอบคำถามของอาเรียอย่างมั่นใจ เขาทำอย่างกับว่ารู้สึกเป็นเกียรติที่ทำให้ครอบครัวที่แยกจากกันได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

“ยังไงคะ”

“ก็ผมเป็นคนที่คอยโน้มน้าวสองพ่อลูกที่ไม่เชื่อว่าเลดี้มีตัวตนอยู่ยังไงล่ะครับ”

“…ตัวตนของดิฉันหรือคะ”

“ครับ โคลอีเขาทำเพียงแค่ตามหาคุณผู้หญิงที่ได้แยกจากกันเมื่อนานมาแล้วเท่านั้นละครับ แต่เขาไม่รู้เลยว่าเลดี้มีตัวตนอยู่”

ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเขาไม่ได้มาหาเธอเพราะชื่อเสียงของเธออย่างนั้นหรือ ในตอนนั้นเองอาเรียนึกถึงสายตาอันเศร้าสร้อยของโคลอีซึ่งมักจะมองไปที่คารินนานๆ ครั้งขึ้นมา แล้วเธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย

เธอคิดว่าหากแม่ชอบเขาอย่างน้อยเธอก็จะไม่คัดค้านการแต่งงานใหม่ของทั้งคู่ แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว

“พอได้รู้แล้วคงจะตกใจไม่ใช่น้อยเลยสินะคะ อยู่ดีๆ ก็ได้ยินว่าตัวเองมีลูกสาวอายุสิบเจ็ดปีขึ้นมาอย่างกะทันหันเสียอย่างนั้น”

อาเรียจ้องมองโคลอี และในขณะที่ถามออกไปแบบนั้น เธอก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา

สีหน้าของเขาเป็นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ อย่างกับว่าสายตาที่เขาใช้มองแม่ของเธอ ได้ย้ายมามองที่เธอทั้งแบบนั้น

สีหน้าที่แม้แต่ท่านเคานต์ มิเอล และเคนไม่เคยแสดงออกมาให้เธอเห็น เป็นสีหน้าของพ่อที่ดูอ่อนโยนและเศร้าหมองเป็นอย่างมาก สีหน้าที่อาเรียไม่เคยได้รู้จักมาก่อน

เพราะแบบนั้น เมื่อเธอได้เห็นสีหน้าอันอ่อนโยนของพ่อบังเกิดเกล้าเป็นครั้งแรกเข้า ก็ยากที่จะรักษากำแพงที่เธอใช้ขว้างกั้นและปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นคนนอกเอาไว้ต่อไป อาเรียพยายามทำหน้าตานิ่งเฉยเท่าที่จะทำได้

“ถ้าจะให้พูดตามตรงแล้วละก็ ตอนแรกผมมาที่ราชอาณาจักรแห่งนี้ก็เพื่อที่จะตามหาคารินมากกว่า…เลดี้อาเรียครับ เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ผมเฝ้าตามหามานานแล้วน่ะครับ พอได้ยินพ่อของผมบอกว่าเจอตัวเธอแล้ว ผมก็รีบมาหาโดยที่ไม่คิดอะไรเลยทั้งนั้น…และก็ไม่ได้สนใจเรื่องลูกสาวเลยครับ”

โคลอีครุ่นคิดคำเรียกอาเรียอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่มองท่าทางของอาเรียไปด้วย เขาก็ตัดสินเรียกเธอว่า ‘เลดี้’ ขึ้นมาในทันที เพราะยังไม่รู้ว่าอาเรียคิดอย่างไรกับตัวเอง เขาจึงยังมีท่าทีระมัดระวังอยู่

“แต่พอได้มาเจอกันจริงๆ แบบนี้แล้ว…ก็รู้สึกแปลกมากจริงๆ ครับ ไม่ใช่สิ บางทีผมคงจะรู้สึกตื้นตันใจอยู่ก็เป็นได้ อีกอย่างก็รู้สึกเหมือนโดนคลื่นแห่งความเสียใจอันใหญ่หลวงและความผิดหวังกับตัวเองถาโถมเข้ามาอย่างไรก็ไม่รู้น่ะครับ”

“…เสียใจและผิดหวังหรือคะ”

“ผมหมายถึงเรื่องที่ไม่มีโอกาสได้เห็นเลดี้อาเรียตอนยังเด็กน่ะครับ พอเจอกันเลดี้อาเรียก็ใกล้จะเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว และทำไมผมถึงไม่รีบตามหาทั้งสองคนให้เร็วกว่านี้น่ะครับ”

“ฉันรับประกันได้เลยค่ะว่าอาเรียเป็นเด็กที่โดดเด่นยิ่งกว่าเด็กคนไหนๆ แน่นอนค่ะ”

“นั่นสินะครับ ก็งดงามออกจะขนาดนี้ คงจะสวยตั้งแต่เกิดแล้วแน่ๆ”

“ใช่ค่ะ ก็สวยเหมือนใครล่ะคะ”

“ดูจากสีผมและสีตาแล้ว เหมือนคารินเลยนะครับ”

“ส่วนหน้าตาก็เหมือนกับท่านโคลอีเลยนะคะ เหมือนขนาดที่ว่าใครได้เห็นก็ต้องคิดว่าเป็นพ่อลูกกันแน่ๆ ”

“…ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็รู้สึกดีใจครับ”

“…”

ระหว่างที่คารินกับโคลอีพูดกันอยู่ อาเรียก็เงียบไป ไม่สิ ที่ถูกก็คือเธอพูดอะไรไม่ออกจึงไม่สามารถตอบโต้อะไรออกไปได้เลย

แม้จะเคยได้ยินคนชมว่างดงามหรือเป็นที่โดดเด่นมามากมายจนชินหูไปแล้วก็ตาม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคนที่เป็น ‘พ่อแม่’ชมลูกตัวเองด้วยคำแบบนั้น

อาเรียหน้าร้อนผ่าวสีหน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ลามไปถึงใบหู แม้จะรู้ว่าตัวเองเขินอายจนเห็นได้ชัดก็ตาม แต่ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะใช้ซ่อนความอายนี้เอาไว้ได้ เพราะหากจะปิดบังมันไว้ละก็คงต้องลุกออกไปจากที่นี่เพียงเท่านั้น

“…เลดี้”

เมื่อได้เห็นอาเรียมีท่าทางเช่นนั้น อาซก็รู้สึกกังวล เขาจับมืออาเรียเอาไว้

การที่เธอได้เจอกับครอบครัวนั้นเป็นเรื่องที่ควรยินดีอย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่อาซหวังเอาไว้เลย เพราะหากว่ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไป อาเรียอาจจะถูกใจโคลอีขึ้นมา จนตามพ่อตัวเองไปอยู่ที่อาณาจักรโครอาก็เป็นได้

แม้ว่าเรื่องที่อาซยุ่งจะเป็นเรื่องจริง แต่การที่เขาไม่เล่าเรื่องโคลอีให้อาเรียฟังก็เป็นเพราะเขาตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้นั่นเอง แต่ถ้าหากโคลอีมาหาเธออย่างนี้และทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวแล้วละก็ อาซจะทำอย่างไรเล่า

และเป็นไปตามคาด โรฮันที่เฝ้ามองสถานการณ์นี้อยู่ ก็พูดคำที่ทำให้อาซรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที

“เลดี้ไม่สนใจอาณาจักรโครอาบ้างหรือครับ”

“อาณาจักรโครอาหรือคะ”

“ครับ เป็นอาณาจักรของผมและก็โคลอีด้วยครับ แม้จะเกิดที่ราชอาณาจักร แต่เดิมทีเลดี้ก็คือบุตรสาวของขุนนางแห่งอาณาจักรโครอานะครับ ฉะนั้นแล้วการไปอยู่ที่อาณาจักรโครอาจึงถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรไม่ใช่หรือครับ ยังไงคุณหญิงเองก็คงจะแต่งงานใหม่กับท่านโคลอีอยู่แล้วนี่ครับ”

แม้คารินจะไม่ได้พูดแบบนั้นเลยสักคำเดียว แต่ก็ไม่มีใครค้านในสิ่งที่โรฮันพูด ไม่สิ บางทีในใจของอาเรียเองก็อาจจะหวังให้คารินได้สานสัมพันธ์กับชายที่เธอรักอยู่ก็ได้

แม้จะเป็นช่วงเวลาที่พบกันสั้นๆ แต่โคลอีคือผู้ชายที่เหมาะสม

เพราะทั้งสายตาและการกระทำแต่ละอย่างของเขามันแฝงไปด้วยความเอาใจใส่ที่มีให้กับคาริน

แม้จะเคยคิดว่าในอดีตนั้นคารินเป็นผู้หญิงฉลาดที่เลือกเงินและชนชั้น แต่ในตอนนี้มันต่างออกไปนิดหน่อย เพราะเธอเข้าใจแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถทำให้มีความสุขได้อย่างแท้จริง นั่นเป็นผลที่เธอได้รับจากการพลิกนาฬิกาทรายย้อนกลับมาในอดีตนั่นเอง

“ไม่รู้สิคะ ดิฉันขอบคุณในข้อเสนอนะคะ แต่เพราะมีคนที่ฉันทิ้งไว้ที่นี่ไม่ได้อยู่น่ะค่ะ”

อาเรียดึงมือของอาซที่จับไว้มาวางบนหน้าตัก และตอบออกไป

นั่นถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับคำตอบ โดยเฉพาะกับโคลอีที่เฝ้าคิดถึงคารินมานานแสนนาน ก็คงจะพอเข้าใจได้

“ถึงยังไงมันก็แค่ปีเดียวเองไม่ใช่หรือครับ ผมว่าเลดี้ไปอยู่ที่อาณาจักรโครอาจนกว่าจะถึงวัยบรรลุนิติภาวะก็ดูจะเป็นการดีนะครับ เพราะหลังจากนั้นหากอยากจะไปอยู่ด้วยกันก็จะไม่สามารถทำได้แล้วนะครับ”

แต่ทว่าโรฮันก็ยังไม่ยอมแพ้และพยายามโน้มน้าวอาเรียต่อไป ด้วยการบอกว่าหากไม่ใช่ตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว

และนั่นทำให้อาเรียยิ้มอย่างอ่อนโยนและตอบกลับไป

“หากว่าแม่แต่งงานใหม่ขึ้นมาจริงๆ อย่างที่ท่านโรฮันพูดแล้ว ดิฉันคงจะไปเยี่ยมเมื่อไหร่ก็ได้สินะคะ ดิฉันเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันหรอกค่ะ”

คำตอบนั้นทำเอาอาซหน้าตาสดใสขึ้นมาเป็นกอง เขาพูดแทรกบทสนทนาราวกับว่าได้รับความมั่นใจมากขึ้น

“ใช่แล้วครับ ผมว่าเราอาศัยช่วงเวลาพักร้อนหรือท่องเที่ยวเพื่อไปเยี่ยมพวกเขาก็ดีนะครับ อีกอย่างมันก็ไม่ไกลด้วย หากอยากจะไปหาขึ้นมาจริงๆ การแบ่งเวลาสั้นๆ เดือนละครั้งเพื่อไปเยี่ยมก็ดูจะดีไม่ใช่น้อยครับ”

.โปรดใช้ผมเถอะครับ อย่างน้อยก็สามารถย่นระยะเวลาไปได้อีกประมาณหนึ่งวัน อาเรียหัวเราะเล็กน้อยให้กับคำที่อาซพูดเพิ่มขึ้นมา ในเมื่อเขาชอบเธอขนาดนี้ แล้วจะให้เธอไปอาณาจักรโครอาได้อย่างไรกันเล่า

“ดิฉันเองก็ไม่คิดว่าเราจำเป็นจะต้องอยู่ด้วยกันเสมอไปหรอกนะคะ ยิ่งไปกว่านั้นดิฉันก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะแต่งงานใหม่หรือไม่ค่ะ”

คำพูดทิ่มแทงคำสุดท้ายของคารินทำเอาโรฮันมีสีหน้างงงวยขึ้นมา เขาหันไปโคลอีอย่างรวดเร็วราวกับจะเร่งให้โคลอีพูดอะไรสักอย่าง

“ผมเคารพความคิดเห็นของคารินครับ”

“…โอย น่าอึดอัดเสียจริงพวกนี้! “

สุดท้ายโรฮันก็อดทนต่อไปไม่ได้ เขาโมโหและออกไปจากห้องรับแขก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครขวางเขาไว้เลย กลับกันพอไร้คนก่อกวนแล้ว บทสนทนาก็ดูมีสาระมากกว่าเดิมขึ้นมาหน่อย

โคลอีดื่มชาและเรียบเรียงคำพูดอยู่สักพัก ก่อนจะเริ่มอธิบายถึงสาเหตุที่เขาถูกไล่ออกมาจากพระราชวัง และเหตุผลที่ไม่สามารถพาคารินมาอยู่ด้วยกันได้ รวมถึงเหตุที่เขาตั้งสติได้ช้าจนไม่สามารถตามหาคารินได้ และบอกอีกด้วยว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงเฝ้าคิดถึงเธออยู่

คารินเช็ดน้ำตาเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่น่าเศร้าจับใจ อาเรียเองก็รู้สึกไหวหวั่นไปกับเรื่องที่ได้ฟังด้วย

“…หากเจอเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ก็คงจะประคองจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัวได้ยากนะคะ ถ้าเป็นดิฉันละก็คงจะสะเทือนจิตใจจนพูดไม่ได้ไปแล้วละค่ะ ดิฉันเข้าใจค่ะ”

“…ขอบคุณที่เข้าใจผมนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะออกตามหาคารินเมื่อมันสายไปแล้ว แต่เพราะเดิมทีนั่นเป็นชื่อที่มีอยู่ดาษดื่น เลยทำให้ไม่สามารถตามหาได้พบครับ นอกจากนั้นการมาที่ราชอาณาจักรก็ค่อนข้างที่จะ…สภาพของผมไม่เอื้อเท่าไหร่น่ะครับ”

“ถ้าเลดี้ไปอยู่อาณาจักรโครอาขึ้นมา ผมเองก็อาจจะกลายเป็นแบบนั้นก็ได้ครับ”

หลังจากที่อาเรียตอบโคลอีไปว่าเธอเข้าใจเขา อาซก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้งที่อาเรียไม่มีความคิดที่จะไปอาณาจักรโครอาเลยแม้แต่น้อย แต่อาซก็ยังแสดงท่าทีเว้าวอนไม่ให้เธอไปอยู่ดี นั่นทำให้เธออยากจะแหย่เขาขึ้นมา

“ถ้าอย่างนั้น คงจะคิดถึงหน้าดิฉันไม่น้อยเลยนะคะ”

“เลดี้…! “

อาซขมวดคิ้วละพูดออกมาว่าถึงแม้จะเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ก็อย่าได้แกล้งเขาด้วยการพูดแบบนั้น นั่นจึงทำให้อาเรียพอใจก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมา

“ถ้าอย่างนั้นแล้ว แม่จะทำอย่างไรต่อจากนี้ไปคะ ตอนนี้ลูกก็โตแล้วไม่ว่าแม่จะตัดสินใจแบบไหนลูกก็จะเคารพต่อการตัดสินใจของแม่ค่ะ”

“แม่เหรอ แม่ก็ไม่รู้สิ ถึงจะมีลูกแล้วก็ตาม แต่การแต่งงานใหม่ขึ้นมากะทันหันมันก็ดูแปลกๆ นะ…”

คารินพูดพลางเหลือบมองโคลอี ราวกับเธอเก็บความตั้งใจของตัวเองเอาไว้และรอให้เขาเป็นคนเบิกทางมาหา

โคลอีที่ตั้งใจมาหาเธอถึงราชอาณาจักรโดยไม่หวั่นต่อความอันตรายใดๆ ตอบรับความตั้งใจของเธอทันที

“ผมจะทำให้คารินเปลี่ยนใจให้ได้ครับ ไม่ว่าจะต้องมาที่ราชอาณาจักรกี่ครั้ง ผมก็จะทำครับ อีกอย่างการหาคฤหาสน์ที่อยู่ใกล้ๆ ไว้สักหลังก็ดูจะเป็นวิธีที่ไม่เลวอีกด้วย”

โคลอีตอบอาเรียด้วยความจริงใจ ท่าทางเอาจริงเอาจังของเขาทำให้แก้มทั้งสองข้างของคารินเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอดื่มชาเงียบๆ แล้วเรียบเรียงเรื่องราวก่อนจะถามเรื่องที่ตนเองสงสัยตั้งแต่เมื่อกี้ในทันที

“จะว่าไปแล้วทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ลูกบอกว่าจะช่วยมิเอลไม่ใช่หรือ แม่หมายถึงเรื่องที่จะส่งคนไปน่ะ ที่จริงแล้วคนที่จะพามิเอลออกมาน่ะคือใครกัน”

“เอ่อ จะว่าไปแล้วก็ใช่สินะคะ อีกไม่นานก็ได้รู้แล้วละค่ะ เพราะเธอคนนั้นจะเป็นคนพามิเอลออกมาเองค่ะ มันอาจจะช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้แย่นี่คะ ยิ่งรอนานเท่าไหร่ก็ยิ่งใจจดใจจ่อมากเท่านั้น นั่นน่ะไม่ดูสนุกยิ่งกว่าหรือคะ”

อาเรียนึกสภาพซอมซ่อของมิเอลที่กำลังร้องไห้โฮๆ และตอบออกมา

นั่นคงจะเทียบได้กับผลงานชิ้นโบแดงที่อยากจะเหลือทิ้งไว้เป็นรูปภาพเลยทีเดียวละ หากได้เห็นกับตาตัวเองก็คงจะดีไม่น้อย แต่น่าเสียดายเพราะคนที่จะได้เห็นภาพนั้นมีอยู่แล้วต่างหาก

ท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขก โคลอีบอกกับทุกคนว่าจะเป็นการดีกว่า หากจะจัดการเรื่องสำมะโนครัวและเรื่องที่เขาเป็นพ่อที่แท้จริงของอาเรียหลังจากที่คารินได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว จากนั้นโรฮันก็กลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกที แล้วบทสนทนาก็จบลงอย่างรวดเร็ว

“…ทำไมพอฉันเข้ามาแล้ว ถึงไม่มีเรื่องพูดคุยกันเลยล่ะ”

โรฮันถามออกมาด้วยหน้าตาโมโห

“ไม่ใช่เพราะท่านโรฮันเข้ามาหรอกครับ แต่พวกเราตั้งใจว่าจะหยุดการพูดคุยไว้แต่ทีแรกอยู่แล้วต่างหากครับ เพราะท่านโรฮันยังไม่เข้ามา พวกเราก็เลยนั่งรอกันอยู่ไงครับ”

โคลอีตอบออกไปอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร หน้าตาของเขาดูสดชื่นแจ่มใสไม่เหมือนคนอมทุกข์อีกต่อไป

“…แหม ท่านโคลอี รู้สึกว่าท่านจะพูดเก่งขึ้นมากเลยนะ ก่อนหน้านี้ยังเอาแต่หมกตัวคร่ำครวญอยู่ในห้องเพราะหาคุณหญิงไม่เจอแท้ๆ”

โรฮันหงุดหงิดขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีเรื่องให้ต้องสานต่อบทสนทนาที่จบลงไปแล้วแต่อย่างใด

จากนั้นอาซก็ขอตัวกลับก่อนด้วยเพราะมีธุระมากมายให้สะสาง และโคลอีก็ชวนคารินไปเดตโดยใช้การเดินเล่นเป็นข้ออ้าง เขาจึงยังอยู่ที่คฤหาสน์เพื่อรอเธอแต่งตัวให้เสร็จ

ส่วนโรฮันที่ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเป็นพิเศษก็ขอตัวกลับไปยังอาณาจักรโครอาและออกไปด้วยความหงุดหงิด ในขณะที่อาเรียกำลังกลับขึ้นไปยังห้องตัวเองนั้น เธอก็ได้สั่งให้คนใช้ที่เดินผ่านมาไปเรียกคนที่จะส่งไปหามิเอลให้เธอ

“แอนนี่อยู่ที่ไหนล่ะ ฉันมีเรื่องจะพูดด้วยน่ะ ช่วยไปบอกให้มาพบฉันที่ห้องทีนะ”

…………………………..