บทที่ 140

ร่ำลา

หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างเย่เย่ และมูหลงจบลง แม้ว่าเย่เย่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องนอนพักฟื้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่กิตติศัพท์ของเขาก็ได้ขจรขจายไปทั่วภูมิภาค

หลินซิวเหยียนที่รอผลประโยชน์ผลลัพธ์ของการต่อสู้ เมื่อได้ทราบข่าวเขาก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

“เป็นไปได้ยังไงกัน!?” ทันทีที่ข่าวได้รับการยืนยัน หลินซิวเหยียนลุกขึ้นพรวดก่อนทุบโต๊ะอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ

ในฐานะที่เขาเป็นถึงยักษาตนแรกผู้ถือครองอำนาจสูงสุดในภูมิภาคมาอย่างยาวนาน เขาได้ทำการแสวงหาผู้แข็งแกร่งจากทั่วสารทิศเพื่อชักชวนมาทำงานให้กับเขา ซึ่งมูหลงคือหนึ่งในนั้น เมื่อเขาได้รับรู้พลังที่แท้จริงของมูหลง แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่หลินซิวเหยียนก็ต้องยอมรับว่าชายชรานั้นมีวรยุทธ์ที่แกร่งกล้ากว่าเขาอยู่มาก

เมื่อเย่เย่สังหารมูหลงลงได้ ทำให้หลินซิวเหยียนนั้นรู้สึกอับอายในความโง่เขลาที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับหอการค้าหยูเย่ ถึงแม้ว่าเย่เย่จะพึ่งพลังของค่ายกลจัดการกับมูหลง แต่บทสรุปของการต่อสู้ก็เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าอยู่ดี

“เหอะ! เย่เย่แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!” แม้ว่าหลินซิวเหยียนจะไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เขาก็จำใจเดินทางกลับ หยางเฉิงเพื่อตั้งหลัก และคิดหาวิธีรับมือกับหอการค้าหยูเย่ต่อไป

หลังจากที่เย่เย่นอนไม่ได้สติไปร่วมอาทิตย์ เขาก็ได้ฟื้นขึ้นมาในห้องนอนและกุมแขนข้างซ้ายที่หักด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะแลกยาสมานแผลกายออกมาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด และฟื้นฟูสภาพแขนให้กลับมาดังเดิม เมื่ออาการของเขาเริ่มทรงตัวแล้ว เขาก็ดำเนินการจัดพิธีมอบรางวัล

ต่อจากครั้งที่แล้ว

ในบรรดาผู้เข้าร่วมงานครั้งนี้ หวางฉีเจี่ย ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายได้ขอเข้าพบเย่เย่เป็นการส่วนตัว เพื่อยื่นข้อเสนอในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับหอการค้าหยูเย่

“ท่านเย่ ท่านน่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าตำหนักประกายแสงต้องการรวมภูมิภาคให้เป็นหนึ่งเดียว แม้ว่าวรยุทธ์ของท่านจะแข็งแกร่งกว่าหลินซิวเหยียน แต่ลำพังกองกำลังของหอการค้า หยูเย่ไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับตำหนักประกายแสง ดังนั้นข้าจึงขอเสนอให้หอการค้าของท่านร่วมมือกับสำนักดาบของข้าเพื่อต่อกรกับหลินซิวเหยียน ท่านจะว่าอย่างไร?”

เย่เย่ไม่ได้ให้คำตอบในทันที เขาตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่พักใหญ่ แม้ว่าจะจริงอย่างที่ผู้อาวุโส

หวางกล่าว แต่ทว่าด้วยความสามารถของระบบแลกเปลี่ยนของเขาสามารถทำให้กองกำลังของหอการค้าหยูเย่มีศักยภาพทัดเทียมกับตำหนักประกายแสงได้ในเวลาอันสั้นแม้จะเป็นรองเรื่องกำลังพล เย่เย่จึงมั่นใจว่าเขาจะมีชัยเหนือตำหนักประกายแสงได้ไม่ยาก ดังนั้นเขาจึงไม่อยากผูกสัมพันธไมตรีพร่ำเพรื่อ ยิ่งไปกว่านั้นโลกกำลังตกอยู่ในความโกลาหล ไฟสงครามเริ่มปะทุขึ้นทุกหย่อมหญ้า ต่อให้ตำหนักประกายแสงไม่ก่อสงคราม แต่ก็ต้องมีใครสักคนก่อประกายไฟอยู่ดี ถึงเวลานั้นหอการค้าหยูเย่กับสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายอาจจะต้องเป็นศัตรูกัน ดังนั้นการเป็นพันธมิตรกันในเวลานี้อาจจะส่งผลเสียตามมาในอนาคตก็เป็นได้

“หากท่านเย่กำลังคิดว่า”

“ผู้อาวุโสหวางช่างใจกว้างยิ่งนัก ถ้าศิษย์ในสำนักของท่านคิดได้เช่นเดียวกับท่านคงจะเป็นการดี หอการค้าหยูเย่ของพวกเรายินดีตอบรับข้อเสนอของท่าน แต่ว่าข้อขอดูรายละเอียดข้อเสนอของท่านสักหน่อย”

“ย่อมได้ ข้าหวังว่าหอการค้าหยูเย่และสำนักดาบของข้าควรจัดการประลองขึ้น นอกจากเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและละลายพฤติกรรมแล้ว ยังช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์การต่อสู้จริงให้กับเหล่าสมาชิกของทั้งสองฝ่ายด้วย ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?”

“ท่านอยากจะจัดการประลองงั้นหรือ? ย่อมได้ ข้าเองก็อยากจะชมฝีไม้ลายมือของสำนักดาบที่เลื่องลือของท่านเช่นกัน” เย่เย่คำนึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบรับข้อเสนอของผู้อาวุโสหวาง หลังจากที่ทั้งสองปรึกษาหารือเกี่ยวกับวันเวลาที่จะจัดการประลองจนเสร็จสิ้น หวางฉีเจี่ยก็ขอตัวกลับ

แม้ว่าพิธีมอบรางวัลที่ยาวนานจะจบลง แต่เย่เย่กลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแต่อย่างใด เขาเอาแต่ครุ่นคิดถึงวิธีที่จะสานสัมพันธ์กับเสี่ยวหยูให้กลับมาเป็นดังเดิม

หลังจากที่พวกเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขมานาน ในที่สุดทั้งสองก็ได้ลงเอยกัน แต่ทว่าเสี่ยวหยูกลับล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับตัวตนของเขา ทำให้ความสัมพันธ์อันยาวนานของพวกเขาพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่า แม้ว่าเย่เย่จะรู้ดีว่าเสี่ยวหยูจะไม่เอาเรื่องที่เขาเป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิดไปป่าวประกาศ แต่ท่าทีที่นางมีต่อเขาก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนอื่นคนไกล ต่อให้ความรู้สึกของเย่เย่ที่มีต่อนางยังคงเป็นดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม

“วันพรุ่งยามรุ่งสาง ข้าจะออกจากหลิงเฉิง กลับไปยังบ้านเกิดของข้า และข้าจะไม่กลับมาให้ท่านเห็นอีก” ในขณะที่ เย่เย่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด เสียงที่เย็นชาของสาวใช้ที่เดินเข้ามาในห้องก็ดังขึ้น ทันทีที่พูดจบนางก็ทำความเคารพและเดินออกจากห้องไปอย่างไร้เยื่อใย

เย่เย่ลุกพรวดขึ้นและคว้ามือนางเอาไว้ราวกับอ้อนวอนไม่ให้นางจากไป แต่เมื่อเขาเห็นดวงตาที่สิ้นหวังของนางเขาก็ปล่อยมือเรียวเล็กลง และกล่าวกับนางเป็นครั้งสุดท้าย

“วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก รักษาตัวด้วยนะ…” เย่เย่พูดขึ้นอย่างแผ่วเบา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

เสี่ยวหยูที่เห็นนัยน์ตาของอดีตคนรักเต็มไปด้วยความกังวล นางก็รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการจะพูดอะไรออกมา นางพยายามยิ้มอย่างจริงใจตอบกลับ แต่ความรู้สึกในใจนางนั้นหนักหนาเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆจะรับไหว ร่างของนางจึงสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด แววตาของนางฉายความโศกเศร้าที่ยากจะหยั่งถึงออกมา

บ้านเกิดของเสี่ยวหยูตั้งอยู่ที่ตีนเขาที่สวยงามเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ในเขตชานเมืองเฟิงเจิ้น พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก นางจึงเติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของลุงและป้า แต่ทว่าไม่นานนักลุงผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวก็จากไปจากการถูกสัตว์ร้ายขย้ำขณะที่ออกไปล่าสัตว์ เหลือเพียงป้าที่มีอาชีพเป็นแม่บ้าน เมื่อเงินไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เสี่ยวหยูจึงอาสาที่จะถูกขายให้กับตระกูลเย่ในฐานะคนรับใช้ เพื่อให้ป้าที่อดอยากดำรงชีวิตต่อไปได้

ในปัจจุบันนอกจากที่นางจะเป็นเทพยุทธ์สุดแกร่งแล้ว นางยังเป็นถึงแกนหลักที่คอยขับเคลื่อนกิจการภายในหอการค้า หยูเย่อีกด้วย แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้นางตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดนั้นไม่ได้ทำเพื่อรักษาเยียวยาความรู้สึกของตัวนางเอง แต่เพื่อเก็บตัวตนของเย่เย่เอาไว้เป็นความลับ

ทางด้านเย่เย่แน่นอนว่าเขาไม่อยากแยกจากเสี่ยวหยู แต่เขาก็รู้ดีว่าถึงรั้งนางเอาไว้ก็คงไม่มีประโยชน์

“พรุ่งนี้…ให้ข้าไปส่งเจ้านะ” สุดท้ายแล้วเย่เย่ก็กล้ำกลืนฝืนทนตัดสินใจที่จะปล่อยนางไปตามทางของนาง เขาเงยขึ้นมองดวงตากลมโตของนาง ก่อนจะอาสาไปส่งนางด้วยตัวเอง

เสี่ยวหยูแม้อยากจะปฏิเสธ แต่นางก็ตอบรับเขาเพียงเพราะนี่คงเป็นความทรงจำสุดท้ายของนางและเย่เย่

“ถึงแม้ว่าข้าไม่ใช่นายน้อยคนเดิมของเจ้า แต่ความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้านั้นเป็นเรื่องจริง เสี่ยวหยู เจ้าให้โอกาสข้าอีกสักครั้งได้ไหม” แม้ว่าจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปแล้ว แต่กระนั้นความรู้สึกของเขาก็ยังดึงดันที่จะรั้งนางเอาไว้

“พรุ่งนี้เช้าข้าจะรอท่านข้างล่าง ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะเจ้าคะ…” เสี่ยวหยูโค้งคำนับแก่เย่เย่ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม และเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงแต่เย่เย่ที่ยังคงยืนมองหลังของหญิงที่ตนรักดั่งดวงใจจากไปจนลิบตา

“ฟู่ววววววว”

เย่เย่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เขาใช้ฝ่ามือตั้งสองข้างประกบหน้าของตนเพื่อตั้งสติ และเอนตัวลงนอนที่เตียงนอนของเขาด้วยความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ

ในขณะเดียวกันที่ภูเขาแห่งต้นกำเนิดที่ลั่วเฟิงเฉิง และแม่นางมู่หลู (มู่หรง)อาศัยอยู่ ก็ได้มีกลุ่มชายหนุ่มและหญิงสาวจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

กลุ่มคนเหล่านี้มีบรรยากาศ และการแต่งตัวที่ต่างจากคนในพื้นที่ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขามาจากภูมิภาคอื่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางถึงยอดเขาและได้พบกับชายชราและหญิงสาวคู่หนึ่ง พวกเขาก็ได้อธิบายจุดประสงค์ในการมาแก่ทั้งสอง…