บทที่ 679 : ซาตานหลิงหยุน!
“ในที่สุดก็มีเลือดไหลออกมาเหมือนกันสินะ!”
เลือดที่เปื้อนกระบี่โลหิตแดนใต้นั้น ถูกกระบี่ดูดซับเข้าไปจนเกลี้ยงไม่เหลือร่องรอยของเลือดแม้แต่หยดเดียว!
แวมไพร์ไม่มีวันตาย.. แต่ก็ไม่สามารถเสียเลือดจํานวนมากได้เช่นกัน! ลูกกระสุนธรรมดาๆยังไม่สามารถทําอะไรพวกมันได้ และไม่สามารถทําให้พวกมันเสียเลือดจํานวนมากได้!
การจะฆ่าแวมไพร์นั้นต้องใช้วิธีตัดศรีษะเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องใช้ดาบฟันเพื่อให้พวกมันเกิดการสูญเสียเลือดจํานวนมากๆ พวกมันจึงจะตาย! แต่ถึงแม้จะไม่ตาย แต่อย่างน้อยก็สามารถทําให้พวกมันหลับยาวได้สักระยะหนึ่ง
แต่หลิงหยุนเองไม่ต้องการทําอะไรที่ยุ่งยากถึงเพียงนั้น เพราะกระบี่โลหิตแดนใต้ของเขานั้นไม่เพียงคมกริบอย่างมาก แต่คุณสมบัติที่น่ากลัวและน่าสยดสยองของมันก็คือ มันดื่มเลือด!
ตัวกระบี่ดําเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง แขนทั้งสองข้างของจิมถูกตัดขาดทันที ทําให้ เส้นเลือดใหญ่สองเส้นถูกตัดขาดพร้อมกัน แม้ภายในร่างกายของมันจะไม่มีเลือดมากนักแต่กระบี่ โลหิตแดนใต้ก็ดูดเข้าไปจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว!
ร่างที่ซีดขาวยิ่งกว่าเดิมนั้นลอยละลิ่วตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง จนร่างทั้งร่า งเปื้อนฝุ่นไปหมด
ในเมื่อทั่วทั้งร่างไม่มีเลือดเหลือแม้แต่หยดเดียว ก็เท่ากับตายโดยไม่ต้องตาย!
“แบบนี้เรียกว่าตายได้หรือยัง?!” หลิงหยุนอึ้งไปเล็กน้อย และในที่สุดเขาก็ค้นพบวิธีที่จะสั่งหารแวมไพร์ให้ตายได้
หลิงหยุนยกมือซ้ายที่ถือกระบี่โลหิตแดนใต้ขึ้นดู ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่กระบี่สีดําพร้อมกับคิดในใจว่า “กระบี่นี่ดูดเลือดได้จริงๆด้วย…”
“แก.. แกมันซาตาน! ฉันไม่เคยเห็นมนุษย์อย่างแกมาก่อน! แกต้องเป็นซาตานแน่ๆ!”
จิมกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว และในที่สุดเขาก็ถูกฆ่าตายด้วยน้ํามือมนุษย์
เมื่อเจสเตอร์เห็นเพื่อนที่แข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่มถูกหลิงหยุนนั่นเป็นชิ้น เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง และรีบลุกขึ้นยืนอยู่ที่ก้อนหินห่างไกลออกไปพร้อมกับร้องตะโกนออกมา
“ร่างกายของแวมไพร์แข็งแกร่งยิ่งกว่าอะไร? แต่ดาบนั้นกลับตัดร่างของพวกเราขาดไม่ต่างจากหันผัก พระเจ้า! ดาบนั้นต้องเป็นอาวุธสําหรับเอาชีวิตแวมไพร์อย่างพวกเราแน่ๆ!”
“พระเจ้า! นี่ฉันเห็นแวมไพร์ถูกฆ่าตายเหรอนี่”
เจสเตอร์หวาดกลัวจนคลุ้มคลั่งและแทบเป็นบ้า แม้แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของแวมไพร์ทั้งสิบสามสายพันธุ์ในตํานานอย่างมีดและขวาน ก็ยังไม่น่าขนพองสยองเกล้าเท่ากับกระบีสีดําในมือของหลิงหยุน..
มีดศักดิ์สิทธิ์ – ตามตํานานเล่าว่า มีดศักดิ์สิทธิ์นั้นได้สังหารผู้คนมาแล้วถึงห้าล้านคน และวิญญาณของผู้คนที่ถูกฆ่าตายนั้น ก็ได้เข้ามาสิงสู่อยู่ในมีดเล่มนี้ และกลายเป็นทาสของมีดเล่มนี้หากผู้ใดได้ครอบครองมีดเล่มนี้ ก็เท่ากับว่ามีผู้ช่วยถึงห้าล้านคนเลยทีเดียว
ขวานศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ครอบครองขวานด้ามนี้ จะมีพลังเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นสิบๆเท่า แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องหลั่งเลือดของตนเองด้วย
และนี่คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองชิ้นที่เหล่าแวมไพร์ทั้งหลายต่างก็หวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ หรือแวมไพร์ชั้นต่ําที่เป็นเพียงเหล่าข้าทาสบริวาร เรียกได้ว่าแวมไพร์ไม่ว่าจะสายเลือดแท้หรือไม่แท้ เมื่อได้ยินชื่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองชนิดนี้ต่างก็ต้องถึงกับผงะไปตามๆกัน!
แต่ตอนนี้ ในสายตาของเจสเตอร์นั้น กระบี่สีดําในมือของหลิงหยุนดูเหมือนจะน่ากลัวยิ่งกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองชนิดที่พูดมาเสียอีก และนี้นับว่าเป็นฝันร้ายและนรกของเหล่าแวมไพร์เลยที เดียว!
จิมตายแล้ว! ร่างของเขาแห้งเหี่ยวไปในพริบตา หลิงหยุนเห็นเจสเตอร์กรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ก็ถึงกับยิ้มออกมา..
ร่างใหญ่เหมือนหมีของพอลนั้นยังคงฝังอยู่ในหิน และไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เจส เตอร์อ้าปากที่เหลือเขี้ยวอยู่เพียงข้างเดียวนั้นกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน
ในเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงหยุน มีหรือที่เจสเตอร์จะหนีรอดไปได้ เพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตร หลิงหยุนก็สามารถจับตัวเขาได้ในชั่วพริบตา
“แวมไพร์อย่างพวกเจ้าก็เลือดไหลได้เหมือนกันนี่” หลิงหยุนจ้องมองร่างของจิม ที่กลับกลายเป็นร่างปกติแล้ว พร้อมกับพูดด้วยน้ําเสียงนิ่งเรียบ
“หลิงหยุน.. กระบี่ กระบี่ในมือของคุณเป็นกระบอะไรกันแน่? ทําไมถึงได้ทรงพลังแบบนั้น? ทําไมกระบี่นั่นถึงได้ฆ่าแวมไพร์ได้?”
เกาเทียนร้องถามออกมาอย่างตกอกตกใจ ความจริงแล้วเขาตั้งใจจะร้องบอกหลิงหยุนว่าการสังหารเหล่าแวมไพร์นั้น จะต้องใช้แสงอาทิตย์หรือไม่ก็ไฟเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะสามารถสังหารจิมได้ด้วยกระบี่
เป็นที่รู้กันว่าแสงอาทิตย์และเปลวไฟเป็นศัตรูของเหล่าแวมไพร์ บรรดาแวมไพร์ธรรมดาๆล้วนแล้วแต่ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสหากโดนแสงอาทิตย์เป็นเวลานาน และอาจถึงแก่ชีวิตได้ในที่สุด และเปลวไฟก็จะทําให้เหล่าแวมไพร์กลายเป็นเพียงแค่กลุ่มควัน
หลิงหยุนเพิ่งจะฝึกวิชาหยางพิสุทธิ์ถึงระดับที่หนึ่งได้เท่านั้น หากเขาฝึกถึงระดับที่สามได้เมื่อใดแน่นอนว่าเขาต้องสังหารเหล่าแวมไพร์ได้ง่ายดายอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ในแหวนพื้นที่ของหลิงหยุนก็ยังมียันต์อัคนี้ระดับห้าอยู่มากมาย แต่หลิงหยุนยังไม่นําออกมาใช้ เพราะหากเขานําออกมาใช้จริงๆ นั้นจะยิ่งเป็นฝันร้ายของเหล่าแวมไพร์มากกว่านี้ และเจสเตอร์คงต้องขนพองสยองเกล้ายิ่งกว่านี้เช่นกัน!
ไม่เพียงเท่านั้น ในแหวนพื้นที่ของหลิงหยุนยังมีเข็มเงินอีกหลายร้อยเล่ม และหากเขาใช้เข็มเงินซัดเข้าที่หัวใจของเหล่าแวมไพร์แล้วล่ะก็ ต่อให้พวกมันไม่ตาย ก็ต้องหลับใหลอย่างยาวนาน และเมื่อใดที่พระอาทิตย์ขึ้น ร่างของพวกมันก็จะถูกแสงอาทิตย์แผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
หลิงหยุนอาจจะสามารถสังหารเหล่าแวมไพร์ได้ก็จริง แต่นั่นไม่สามารถทําให้เขารู้และเข้าใจแวมไพร์ได้มากขึ้น เขาจึงยังไม่ต้องการจัดการขั้นเด็ดขาดกับพวกมัน!
“นี่เป็นสมบัติล้ําค่า มันสามารถตัดเหล็กกล้าได้ราวกับตัดดินตัดโคลนเลยทีเดียว..” หลิงหยุนไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับกระบี่เล่มนี้ให้เกาเทียนหลงฟังมากนัก
จากนั้นร่างของหลิงหยุนก็ไปยืนอยู่ด้านหน้าเจสเตอร์ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป พร้อมกับ กวัดแกว่งกระบโลหิตแดนใต้ในมือไปมา และพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ. เลิกโวยวายเสียงดังหนวกหูได้แล้ว! ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ตอบข้ามาว่าเจ้าอยากตายหรืออยากมีชีวิตอยู่?”
เจสเตอร์นั้นรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าหลิงหยุนอย่างแน่นอน หากเขาคิดจะหนี้ก็เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี เขาจึงเลือกที่จะไม่หนี..
เจสเตอร์ที่หวาดกลัวจนตัวสั้นนั้นรีบปากตอบไปทันที “ฉัน ฉันอยากมีชีวิต..”
หลิงหยุนพอใจกับคําตอบของเจสเตอร์อย่างมาก จึงร้องสั่งยิ้มๆ “ถ้างั้นก็คืนร่างเดิมได้แล้ว!”
เจสเตอร์อยู่ในจุดที่ต้องการรักษาชีวิตของตนเองไว้ และตอนนี้หลิงหยุนก็เปรียบเหมือนหายนะของเหล่าแวมไพร์ทั้งหลาย มันรู้ตัวดีว่าชีวิตได้ตกอยู่ในเงื้อมือของหลิงหยุนเรียบร้อยแล้ว จึงรีบคืนกลับไปอยู่ในร่างเดิมทันที แต่เพราะเสื้อผ้าของมันได้ฉีกขาดจนหมดแล้ว และไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียวไว้ปกปิดร่างกาย มีเพียงเขี้ยวเล็บเท่านั้นที่เหลืออยู่
หลิงหยุนเห็นว่าเจสเตอร์ไม่มีทีท่าต้องการจะหลบหนีแล้ว จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปีบคั้นมันอีกจึงได้กระโดดเข้าไปยืนข้างพอลแทน..
พอลเองก็กลับคืนร่างเดิมแล้วเช่นกัน แต่ยังคงมีรูขนาดเท่ากําปั้นอยู่ที่หน้าท้องซีดขาวของมันฟันของมันกระทบกันด้วยความหนาวสั้น และไม่สามารถพูดอะไรได้
“ยังไม่แข็งเป็นน้ําแข็งอีกงั้นรึ? ข้าจะทําให้เจ้าอุ่นก็แล้วกัน…”
หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมเดินเข้าไปใกล้ร่าง และทําให้อุณหภูมิในร่างกายของพอลสูงถึง 70 องศา..
“อ๊าก.” ท้องของพอลเริ่มมีควันออกมา และมันก็โกรธอย่างมาก!
พลังหยางบริสุทธิ์ของหลิงหยุนนั้น ทําให้แวมไพร์อย่างพอลเจ็บปวดรวดร้าวราวกับตกนรก!
“โอ้ว… พระเจ้า! นั่นมันอะไรกัน? นั่นมันแสงศักดิ์สิทธิ์ นับว่าเป็นหายนะของแวมไพร์อย่างพวกเราจริงๆ!”
เจสเตอร์ถึงกับกรีดร้องออกมาอย่างตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นแสงสีขาวพุ่งออกจากฝ่ามือของหลิงหยุน มันตกใจกลัวจนแทบคลุ้มคลั่งอีกครั้ง!
“ได้ผลจริงๆด้วย?!”
หลิงหยื่นร้องออกมาอย่างตื่นเต้น เมื่อพบว่าการจัดการกับเหล่าแวมไพร์ก็ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด.
หลิงหยุนไม่ฆ่าแวมไพร์ที่เหลืออีกสองตน เขาต้องการไปช่วยตระกูลเกา จึงต้องการสอบถามพวกมันเกี่ยวกับเรื่องของเกาเฉินเฉิน เขาต้องการรู้ว่าตอนนี้เกาเฉินเฉินอยู่ที่ใหนกันแน่ และดูเหมือนแวมไพร์สองตัวนี้จะรู้และเข้าใจเรื่องราวของเหล่าแวมไพร์ด้วยกันได้ลึกซึ้ง
“เจ้ามาจับมันลุกขึ้นประเดี๋ยว” หลิงหยุนหันไปสั่งเจสเตอร์ ให้มาช่วยพยุงร่างของพอลขึ้น
เจสเตอร์ยกมือขึ้นกุมของสงวนส่วนล่างพร้อมกับพูดอย่างหวาดกลัว “ฉัน ฉันไปช่วยพยุงก็ได้แต่.. แต่ท่านสุภาพบุรุษที่เคารพกรุณาอย่าปล่อยแสงสีขาวเมื่อครูใส่ข้าจะได้มั้ย?”
เพียงแค่ชั่วพริบตา. จากมนุษย์ต่ําต้อยตัวเล็ก กลับกลายมาเป็นสุภาพบุรุษที่น่าเคารพ
ไม่ว่าจะเป็นโลกใหนๆ หรือการแข่งขันใดๆ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือผู้ที่จะได้รับ การยกย่องนับถือและในเมื่อหมัดของหลิงหยุนรุนแรงถึงเพียงนั้น มีหรือที่เขาจะไม่ได้รับ การยกย่อง
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “ตราบใดที่เจ้าเชื่อฟังข้า ข้าก็จะไม่ทําเจ้า”
หลิงหยุนพูดโดยไม่หันไปมองเหล่ากุยกับเกาเทียนหลง และเดินตรงเข้าไปที่ร่างของจิม
“บอกมา.. ข้าจะทําลายศพของหมอนี่ได้อย่างไร?” หลิงหยุนถามแวมไพร์ทั้งสองตน
“ท่านสุภาพบุรุษที่เคารพ. ท่านเพียงแค่ใช้แสงสีขาวเมื่อครู่ หรือจะจะใช้ไฟเผาเลยก็ได้”
เจสเตอร์ตอบอย่างไม่กล้าปิดบัง และรีบระส่ําระลักอ้อนวอนต่อว่า “ท่านสุภาพบุรุษที่เคารพ.. ถ้าไม่เป็นการรบกวน หากท่านจะเผาร่างของจิม ได้โปรดอย่าให้พวกเราต้องมองดูเลย มันเป็นความรู้สึกที่น่าสยดสยองเกินไป…”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะเสียงดังพร้อมกับร้องสั่ง “งั้นพวกเจ้าก็รีบกลับไปที่รถ! แต่อย่าได้คิดหนี้ล่ะไม่เช่นนั้นข้าจะระเบิดรถของพวกเจ้าทิ้งพร้อมกับเผาพวกเจ้าไปกับรถ ถ้าไม่เชื่อ.. อยากจะลองดูก็ได้!”
ทั้งเจสเตอร์และพอลต่างก็รีบตอบไปว่าพวกเขาไม่กล้าหนี้อย่างแน่นอน แล้วรีบวิ่งหนีออกจากปาไปนั่งอยู่ในรถสีเงินทันที
แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่กังวลเรื่องที่พวกมันสองตัวจะหนีไป แต่เขาก็ได้ใช้จิตหยั่งรู้จับ ตาพวกมันทั้งคู่อยู่อย่างไม่คลาดสายตา พวกมันทําอะไรกันในรถนั้นหลิงหยุนจึงเห็นหมดและทันที่ที่พวกมันเข้าไปในรถได้ ก็รีบเบิดกระบอกที่บรรจุเลือดขึ้นดื่มทันที!
“ที่แท้พวกมันก็ต้องดื่มเลือดเพื่อรักษาชีวิต!” หลิงหยุนคํารามเบาๆ จากนั้นจึงเรียกยันต์อัคนีระดับห้าออกมาเผาร่างของจิมทันที
ทันทีที่ยันต์อัคนีร่วงลงใส่ร่างของจิมมันก็กลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ทันที และเมื่อเปลวไฟสีน้ําเงินปรากฏขึ้น ร่างของจิมก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในพริบตา
“ไปกันได้แล้ว!”
หลิงหยุนหันไปพูดกับเหล่ากุยและเกาเทียนหลง ที่กําลังยืนตกตะลึง!
ทั้งสามคนรีบหันกลับและเดินไปที่ถนนไฮเวย์ทันที หลิงหยุนให้เกาเทียนหลงขับรถของตนเองไปพร้อมกับเหล่าปุย ส่วนตัวเขานั้นเข้าไปนั่งในรถสีเงิน
พอลกับเจสเตอร์ไม่กล้าหลบหนี และไม่กล้าแม้แต่จะกระซิบกระซาบกัน เพราะ สําหรับพวกมันนทั้งคู่นั้นหลิงหยุนไม่ต่างจากซานตานที่มีพลังอํานาจน่ากลัว!
“ดีมากที่พวกเจ้ารู้จักรักษาคําพูด… เอาล่ะตอนนี้พวกเจ้าสองคนใครจะทําหน้าที่ขับรถ?”
หลิงหยุนถามแวมไพร์ทั้งสองตน