ตอนที่ 239 แท่งวารีขั้นสูง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 239 แท่งวารีขั้นสูง โดย Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่คิดๆ ดูแล้ว เขาก็ตัดสินใจเสี่ยงดูสักครั้ง

ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงถอนหายใจ และยกมือปล่อยคมวายุออกไปด้วยเสียงอันดัง

แสงสีเขียวกระพริบผ่านไป คมวายุปาดผ่านแขนของ ‘ตนเอง’

“ฟิ้ว!” ปากแผลขนาดยาวหลายชุ่นปรากฏออกมา โลหิตสีทองพุ่งออกมาจากในนั้น

หลิ่วหมิงยังไม่ทันรู้สึกตกใจ ก็พลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดบนแขนจนต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว รูม่านตาก็หดลงในทันที

บนแขนของเขา มีแผลเล็กๆ ยาวหลายชุ่น โลหิตสีแดงไหลออกมาจากในนั้น

สีหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวเล็กน้อย เขามองดูบาดแผลบนแขนของ ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้า แล้วมองกลับมาที่บาดแผลของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือลักษณะล้วนไม่แตกต่างกันเลย

สมองเขาสับสนไปหมดแล้ว

แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เข้าใจว่า ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้าไม่ใช่ปีศาจแปลงกายมาแต่อย่างใด แต่กลับมีความสัมพันธ์กับเขาเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงไม่เหมือนกับคนทั่วไป หลังจากตัดสินใจแล้ว ก็ควักยันต์ออกมาผืนหนึ่งแล้วนำมาแปะไว้บนปากแผล

จุดแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา บาดแผลสมานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ทิ้งไว้แค่แผลเป็นจางๆ เท่านั้น

หลิ่วหมิงมองไปยัง ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้า ด้วยตาที่เป็นประกาย

บาดแผลของฝ่ายตรงข้ามก็สมานเข้าหากัน และทิ้งรอยแผลเป็นจางๆ ไว้เช่นกัน

หลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกตะลึงงันอย่างสุดขีด

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้หัวเราะอย่างขมขื่น ในที่สุดก็ละสายตาออกจากฝ่ายตรงข้าม และสังเกตดูห้องว่างเปล่าอีกรอบ

เห็นได้ชัดว่าห้องว่างเปล่าลึกลับในตอนนี้กว้างกว่าครั้งก่อนมาก

ดูท่ามันคงจะมีความเกี่ยวข้องกับพลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นของเขาแปดถึงเก้าส่วน

แต่นอกจากขนาดห้องว่างเปล่าที่เพิ่มขึ้นกับ ‘ตนเอง’ คนที่สองที่ปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าแล้ว อย่างอื่นยังคงหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

หลิ่วหมิงคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็หาสถานที่ที่ค่อนข้างห่างจาก ‘ตนเอง’ คนที่สองแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป และทำการคิดไตร่ตรองอย่างเงียบๆ

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งวัน

หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็ออกจากภวังค์ จากนั้นก็มองไปยัง ‘ตนเอง’ อย่างไม่มีทางเลี่ยง

ก่อนหน้านั้นไม่นาน หลังจากที่เขาคิดแทบจะล้มประดาตาย ในที่สุดก็แน่ใจว่าของสิ่งนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับตอนที่เขาสลบไสลอยู่ในแดนลึกลับอย่างแน่นอน

เขาจำได้อย่างแม่นยำ ในความฝันอันแปลกประหลาดที่อยู่ในแดนลึกลับ เขาเคยเห็น ‘ตนเอง’ อีกคนหนึ่งที่มีกลิ่นไอน่าตกใจเป็นอย่างมาก

และสาเหตุที่เขาสลบไสลในครั้งก่อน เขาก็เคยมาวิเคราะห์แยกแยะมาแล้ว คิดว่าคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘มือปีศาจค้ำฟ้า’ ที่หายไปในแดนลึกลับอย่างแปลกประหลาดนั้น

เพราะหลังจากที่มือปีศาจค้ำฟ้าปรากฏออกมา ฟองอากาศลึกลับในร่างเขาถึงปรากฏตัวออกมาอย่างแปลกประหลาด และผิดปกติเป็นอย่างมาก

ไม่แน่ การหายตัวของมือปีศาจค้ำฟ้าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ได้

หลังจากพิจารณา ‘ตนเอง’ ตรงหน้าอย่างครอบคลุมแล้ว คิดว่าคงเกิดจากมือปีศาจค้ำฟ้า แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา ถึงขนาดที่ถ้าฝ่ายตรงข้ามถูกทำร้าย ตัวเองก็จะถูกทำร้ายไปด้วยอย่างน่าประหลาดใจ

แม้ว่าหลิ่วหมิงไม่อาจรู้ได้อย่างชัดเจน แต่สาเหตุคงไม่พ้นไปจากที่คิดไว้

แม้จะหาสาเหตุได้ แต่เมื่อเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ย่อมทำให้เขารู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก ‘ตนเอง’ ตรงหน้าเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ เขาก็ไม่อาจชี้ชัดได้

แต่สิ่งที่หลิ่วหมิงเลี่ยงไม่ได้ก็คือ เขาไม่อาจใช้วิธีการอะไรรุนแรงกับฝ่ายตรงข้ามได้

มิเช่นนั้นด้วยลักษณะนิสัยของเขา ย่อมจัดการกับอันตรายที่ไม่อาจรู้ได้ให้หมดสิ้นไป เขาถึงจะวางใจได้

หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้แต่ใช้วิธีปิดล้อม ‘ตนเอง’ ตรงหน้าไว้ก่อน

ดังนั้นเขาจึงส่ายศีรษะแล้วหยิบธงค่ายกลออกมาปึกหนึ่ง และปักล้อมรอบ ‘หลิ่วหมิง” คนที่สองไว้

เมื่อหลิ่วหมิงปักธงทั้งหมดเรียบร้อย ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว พอชี้นิ้วออกไป ค่ายกลเล็กๆ ตรงหน้าก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ม่านแสงสีขาวแผ่ออกมาปกคลุมร่างของ ‘หลิ่วหมิง’ ไว้

หลิ่วหมิงมองม่านแสงสีขาว และโซ่สีเงินกับยันต์ที่อยู่บนตัวของ ‘ตนเอง’ ตอนนี้สีหน้าเขาถึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้า ‘ตนเอง’ ตรงหน้ามีความเคลื่อนไหวใดๆ ล่ะก็ เขาคงสามารถรู้ได้ในทันที

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเช่นนี้อยู่ในใจ ในที่สุดก็ตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน และเริ่มฝึกฝนตนเอง

แต่ในระหว่างนี้ เขาใช้จิตสื่อสารกับหัวบินก่อน

ภายใต้คำสั่งอันน่าเกรงขามของเขา หัวบินยังคงลอยมาข้างเขาด้วยความเคารพและยำเกรง

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นก็สั่งให้หัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวไปฝึกวิธีการต่อสู้ของตนเองตรงมุมอื่นๆ

ทั้งสองแยกไปทางผนังสีเทา หางตะขอตรงหลังเริ่มเคลื่อนไหวกลายเป็นเงาพุ่งโจมตีไปยังด้านหน้า ทางด้านเส้นผมของหัวบินกลับตั้งตรงขึ้นมา และกลายเป็นไหมดำพุ่งทะลุออกไปด้านหน้า

และหลิ่วหมิงก็เริ่มฝึกวิชาแท่งวารีอย่างเงียบๆ

เวลาในแต่ละวันค่อยๆ ผ่านไป

ตอนแรกที่หลิ่วหมิงระมัดระวัง ‘ตนเอง’ คนที่สอง เพราะกลัวว่าเขาจะมีความผิดปกติอันใด

แต่พอผ่านไปหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ฝ่ายตรงข้ามก็ยังนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เขาถึงรู้สึกวางใจลงไปมาก

ตอนนี้เขาคิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นสิ่งไม่มีชีวิตจริงๆ แล้ว และเขาก็เริ่มใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกฝน

แม้แท่งวารีจะเป็นวิชาระดับกลางที่ฝึกฝนค่อนข้างยาก แต่หลิ่วหมิงในตอนนี้มีพลังเวทย์มากกว่าตอนที่เข้ามาห้องลึกลับในครั้งก่อน แต่ละวันเขาสามารถปล่อยวิชาแท่งวารีได้มากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า

ด้วยเหตุนี้ระดับการฝึกฝนของเขาถึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

สองปีต่อมา หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และร่ายคาถาออกมา จุดแสงสีฟ้าเล็กๆ รวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว แท่งวารีที่ดูธรรมดาก็ก่อตัวขึ้นมา และสีของมันก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเปล่งแสงแพรวพราวออกมาอย่างน่าแปลกใจ

พอสะบัดข้อมือ แท่งวารีก็พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดัง หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาอยู่ห่างจากผนังสีเทาสิบกว่าจั้ง และระเบิดตัวออกมาเป็นลำแสงสีน้ำเงิน

“เพล้ง!” ไอเย็นแปลกประหลาดม้วนตัวออกมา ผนังในระยะหลายจั้งถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเย็นยะเยือก และพริบตาเดียวมันก็หนาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นผนังน้ำแข็งหนาชุ่นกว่าๆ

หลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นมา เขาเปลี่ยนท่ามือแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้น คมวายุเส้นหนึ่งพุ่งไปยังผนังน้ำแข็งตรงหน้า

“เพล้ง!”

คมวายุฟันน้ำแข็งอย่างรุนแรง แต่กลับเหลือทิ้งไว้แค่รอยลึกไม่กี่ชุ่นเท่านั้น จากนั้นก็สลายตัวไปเอง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก พอเขาวาดแขนไปด้านหน้า จุดแสงสีแดงก็ปรากฏออกมา และรวมกันเป็นลูกเปลวไฟหนึ่งลูก

“ไป!”

หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อไปยังฝั่งตรงข้ามก่อนที่ลูกเปลวไฟจะพุ่งยิงออกไป

“ตู๊ม!” ลูกเปลวไฟระเบิดตัวบนผนังน้ำแข็ง แล้วกลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนกระจายไปทั่วทิศ

แต่พอเปลวไฟทั้งหมดดับลง ผนังน้ำแข็งก็แค่ละลายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

รอยยิ้มบนใบหน้าหลิ่วหมิง เพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิม

วิชาแท่งวารีขึ้นสมบูรณ์แบบนี้ มีอานุภาพเกินกว่าที่วิชาชากระสุนไฟกับวิชาคมวายุจะเปรียบเทียบได้

มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ ใช้เวลาในการปล่อยค่อนข้างช้า

เวลาต่อมา ภายใต้สถานการณ์ที่หลิ่วหมิงไม่มีวิชาอื่นให้ฝึกฝน เขาก็เริ่มทำความเข้าใจ ‘เคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง’ อย่างเงียบๆ

ก่อนหน้านี้ เขาได้ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาการบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งไปแล้ว และต่อไปจะดูว่าสามารถเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมได้บ้าง

แต่พอเขาทำความเข้าใจติดต่อกันสิบกว่าวัน ก็จำต้องละทิ้งเรื่องนี้ไป

เห็นได้ชัดว่าส่วนที่เหลือของเคล็ดวิชานี้ พุ่งเป้าไปยังระดับการฝึกฝนของอาจารย์จิตวิญญาณ เคล็ดวิชาในนั้นค่อนข้างล้ำลึกเป็นอย่างมาก ระดับการฝึกฝนของเขายังไม่ถึง จึงไม่อาจทำความเข้าใจได้

เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬก็เช่นกัน

แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ หลิ่วหมิงก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว

เวลาในหลายวันต่อมา เขาก็พิจารณาดู ‘ตนเอง’ คนที่สองอย่างตรงไปมาตรงมา

ผลลัพธ์คือ เขาหาจุดที่แปลกประหลาดของ ‘หลิ่วหมิง’ คนที่สองได้มาบ้างเล็กน้อย

ประการแรก หลังจากที่เขาไปเข้าใกล้ ‘หลิ่วหมิง’ คนนี้อย่างระมัดระวังเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงแต่จะไม่มีการหายใจ แม้แต่สัญญาณชีพอย่างจังหวะการเต้นของหัวใจก็ไม่มี ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่มีชีวิตจริงๆ

นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่เขาได้รับบาดเจ็บแล้ว ‘หลิ่วหมิง’ คนนี้จะได้รับบาดเจ็บด้วยเท่านั้น ถ้าเขามีความเสียหายตรงส่วนไหน ‘หลิ่วหมิง’ คนนี้ก็ดูเหมือนจะได้รับความเสียหายไปด้วย ราวกับว่าเป็นสองร่างในชีวิตเดียว

เขาเคยอ่านเจอในคัมภีร์บางเล่ม มีคาถานอกรีตบางอย่างสามารถดึงจิตวิญญาณส่วนหนึ่งไปไว้ในร่างของหุ่นมนุษย์ได้ จากนั้นเพียงแค่หักแขนขาหุ่นมนุษย์ตัวนั้น เจ้าของหุ่นที่แยกจิตส่วนหนึ่งไปก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงถูกคนอื่นควบคุมมาโดยตลอด

แต่เรื่องที่ปรากฏตรงหน้านี้ หลิ่วหมิงไม่เคยได้ยินมาก่อน

สิ่งนี้ทำให้เขามืดไปแปดด้าน คิดอะไรไม่ออก

แต่เขาได้ตัดสินใจแล้วว่า พอไปจากห้องว่างเปล่านี้ จะรีบหาคัมภีร์กับสอบถามเรื่องที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าจะสามารถหาเส้นสนกลในได้หรือไม่

หลิ่วหมิงใช้เวลาไปหลายวัน ก็ยังไม่อาจค้นหาอะไรจาก ‘ตนเอง’ คนที่สองไปมากกว่านี้ได้ จึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไปก่อน

เวลาต่อมา เขาก็หยิบเตาหลอมโอสถ กับโอสถจิตวิญญาณธรรมดากองหนึ่งออกมา และเริ่มทำการปรุงโอสถ

แม้ว่าโอสถเหล่านี้จะเป็นแค่โอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณธรรมดา และหลิ่วหมิงก็ฝึกฝนไปร้อยกว่าครั้งแล้ว แต่โอกาสในการสำเร็จกลับมีแค่สองถึงสามในสิบครั้งเท่านั้น ความบริสุทธิ์ของโอสถ ก็แค่พอที่จะผ่านเกณฑ์ได้เท่านั้น

ฝานไป๋จื่อได้กล่าวชมเชยโอกาสในการปรุงโอสถสำเร็จนี้แล้ว และคิดว่าหลิ่วหมิงใช้เวลาสั้นๆ มาถึงระดับนี้ได้ นับเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย แต่หลิ่วหมิงกลับยังไม่พอใจมากนัก

สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้ปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณสำเร็จเพียงแค่นี้ ต่อไปถ้าปรุงโอสถอาจารย์จิตวิญญาณ ย่อมไม่มีวัตถุดิบจำนวนมากเช่นนี้ในการฝึกฝน พอถึงตอนนั้นโอกาสในการปรุงโอสถได้สำเร็จคงต่ำจนยากจะรู้ได้

……………………………………….